ตอนที่ 75 สุราข้าวครึ่งกาหลั่งลงกลางแม่น้ำ
เรือเล็กซึ่งสร้างจากไม้ทั้งลำเช่นนี้ ด้วยตัวเรือเองค่อนข้างเบา ยามเจอคลื่นลมใหญ่บนผิวแม่น้ำราบรื่นย่อมมีความรู้สึกโคลงเคลงบ้าง
จุดโยกโคลงที่สุดก็คือหัวเรือและท้ายเรือ จี้หยวนอยู่หัวเรือแต่กลับเพลิดเพลินกับความรู้สึกเช่นนี้ บางครั้งจะวางตำรามองวิวแม่น้ำกับสองฟากฝั่ง มองเรือลำอื่นสัญจรไปมา
หลังแล่นออกจากท่าเรือมาช่วงหนึ่ง พวกเขาชักใบเรือขึ้นแล้ว เมื่อล่องตามลมฝีพายเฒ่าไม่แจวเรืออีก แค่คัดท้ายควบคุมทิศทางเรือก็พอ เพลงหาปลาหยุดลงแต่เพียงเท่านี้
สองฝีพายหนุ่มเฒ่าบนเรือเป็นคู่พ่อลูกกันจริงๆ พวกเขาอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านข้างเขาคทาแห่งนั้น คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านพายเรือข้ามฟากเลี้ยงชีพ เมื่อกิจการไม่ดีก็จับปลา บนเรือจึงไม่ขาดอุปกรณ์ตกปลา จี้หยวนยังคิดว่าหากมีโอกาสจะยืมมาตกปลาหน่อย
หลังจากออกเรือมาประมาณสองเค่อ จี้หยวนเพิ่งคิดย้ายจากหัวเรือมานั่งด้านใน
ภายใต้ประทุนโค้งมนติดลำเรือนับว่ากว้างขวาง ท้ายลำยังมีห้องไม้อีกแห่ง สิ่งที่วางอยู่คือของจิปาถะ เก้าอี้ยาวสองแถวติดลำเรือพอนั่งได้สิบกว่าคนจริงๆ เพียงแต่พิจารณาถึงช่องว่างยามนอนกลางคืนแล้วจึงบอกว่าผู้โดยสารสิบคนเต็ม
ผู้โดยสารหกคนอื่นต่างนั่งแบ่งแยกกันชัดเจนอยู่บ้าง บัณฑิตคู่หูสองคนพูดคุยกันเสียงเบาเป็นครั้งคราว เด็กคนนั้นพิงท่านปู่อย่างเซื่องซึม
ความจริงเมื่อครู่ตอนอยู่ข้างนอกจี้หยวนก็รู้สึกว่าบรรยากาศนี้มีปัญหาอยู่บ้าง เมื่อเดินเข้าใกล้ประทุนความรู้สึกนี้ก็ยิ่งเด่นชัด เหตุผลทั้งหมดน่าจะมาจากตัวชายฉกรรจ์เคราเฟิ้มคนนั้น
แม้ว่าการมองเห็นของจี้หยวนมักเหมือนคั่นด้วยฝ้าหนา แต่ยังเห็นโครงร่างพื้นฐานกับรูปพรรณซึ่งไม่ลงรายละเอียดบางอย่าง ก่อนหน้านี้ยามชายคนนั้นขึ้นเรือก็พบว่าร่างเขากำยำ ไม่แพ้เว่ยอู๋เว่ยจริงๆ
แต่ความรู้สึกแรกของเว่ยอู๋เว่ยคืออ้วน ทว่าชายคนนี้แค่กำยำเท่านั้น บนตัวยังเจือกลิ่นสุราเสี้ยวหนึ่ง หน้าเหี้ยมหรือไม่จี้หยวนดูไม่ออก แต่คนอื่นต่างพยายามกดเสียงต่ำ
หากไม่ใช่ว่าชายคนนี้ขึ้นเรือเป็นคนสุดท้าย จี้หยวนสงสัยนักว่าจะมีคนอื่นกล้าขึ้นเรือหรือไม่
อย่างน้อยก็ต้องร่วมทางกันสามวัน บรรยากาศนี้ไม่น่าอภิรมย์นัก
เมื่อจี้หยวนก้าวเข้ามา บางคนมองเขาตามจิตใต้สำนึก ยังมีคนคิดว่าผู้อ่านตำราอยู่หัวเรือตลอดเป็นญาติของฝีพาย
เห็นว่าเก้าอี้ข้างชายฉกรรจ์สองด้านยังว่างอยู่ช่วงใหญ่ จี้หยวนนั่งลงใกล้เขาอย่างสบายๆ
“พี่ชายท่านนี้เพิ่งดื่มสุรามาหรือ”
ชายฉกรรจ์มองจี้หยวนอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง เหมือนต้องการยืนยันว่ากำลังพูดคุยกับตนหรือไม่ เห็นใบหน้าจี้หยวนหันมาทางตนจริงๆ เขาจึงเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงหยาบกระด้าง
“ก่อนเดินทางผู้อาวุโสเลี้ยงส่งที่โรงสุราตรงท่าเรือ นำยอดสุราบ่มเองมาด้วย ประเดี๋ยวดื่มสักสองสามจอก”
“อ้อ พี่ชายเป็นคนตรงทางเข้าอำเภอเก้าสายหรือ เห็นว่าท่านค่อนข้างกำยำล่ำสัน เคยฝึกยุทธ์หรือไม่”
จี้หยวนถามถึงตรงนี้ คล้ายกระตุ้นความสนใจของชายฉกรรจ์ เห็นชัดว่าน้ำเสียงยามพูดจาเจือความตื่นเต้นเสี้ยวหนึ่ง
“ข้าหลี่ต้าหนิวเป็นคนหมู่บ้านตงไหว่ รูปร่างกำยำตั้งแต่เด็ก คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าข้าทำเกษตรจนชนะวัวเทียมตัวหนึ่ง ตั้งแต่เด็กข้าหวังว่าจะมีจอมยุทธ์เหาะเหินเดินอากาศรับข้าเป็นศิษย์ สอนวิชายุทธ์ข้าเพื่อขจัดภัยรักษาความสงบ น่าเสียดายว่ายังไม่เคยเจอ… จากนั้น…”
ชายฉกรรจ์พูดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกหดหู่ลง
“หลายปีก่อนยามเข้าอำเภอ อาจารย์สำนักยุทธ์ในอำเภอเห็นข้าแล้วพูดว่าน่าเสียดาย ข้าเลยวัยฝึกยุทธ์สร้างพื้นฐานแล้ว ชาตินี้ยากจะมีวิชายุทธ์สร้างคุณูปการ…”
ความฝันพังทลายแล้ว
“อะ อ้อ พี่ชายไม่ต้องหมดกำลังใจ ฟ้าย่อมมีทางออกเสมอ เท่าที่ข้าคนแซ่จี้รู้ บนยุทธภพอายุไม่ส่งผลต่อทักษะมากนัก ด้วยพรสวรรค์ของพี่ชายอนาคตย่อมไม่ต้องกลัวอะไร”
“หึๆ คุณชายไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก เลิกคิดนานแล้ว ครั้งนี้ไปจังหวัดชุนฮุ่ยเพื่อเยี่ยมญาติเท่านั้น ท่านลุงมีเรื่องติดขัดที่นั่นเล็กน้อย ขาดคนกำลังมาก รอเก็บเงินแต่งภรรยาค่อยใช้ชีวิตอย่างสงบ!”
คนที่ภายนอกดุดัน แม้ว่าพูดจาเสียงดัง แต่กลับเจือความซื่อตรงและสำรวม ไม่ใช่คนชั่วร้ายแน่นอน เป็นชาวบ้านซื่อสัตย์เจียมตน มีความมุ่งหวังและเป็นห่วงบ้านเมือง
“ดี รู้จักพอเป็นความสุขยั่งยืน!”
จี้หยวนยิ้มน้อยๆ ประสานมือให้ทุกคนซึ่งอยู่ภายใต้ประทุนรอบหนึ่ง
“ข้าน้อยจี้หยวน มุ่งหน้าไปจังหวัดชุนฮุ่ยเพื่อเที่ยวเล่น สามวันนี้ต้องลงเรือลำเดียวกับทุกท่านแล้ว!”
เห็นจี้หยวนท่าทางเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ กอปรกับเมื่อครู่กำจัดความรู้สึกหวาดกลัวชายฉกรรจ์แล้ว คนที่เหลือพากันแนะนำตัวเอง บรรยากาศภายในเรืออบอุ่นขึ้นมาก เริ่มพูดคุยสนทนากัน
สองบัณฑิตถือว่าเดินทางหาความรู้ หนึ่งแก่หนึ่งเด็กมีญาติจังหวัดชุนฮุ่ยเสียชีวิตจึงรีบไปช่วยงานศพ ส่วนชายวัยกลางคนผอมซูบคนนั้นบอกแค่ว่าไปจังหวัดชุนฮุ่ยด้วยมีธุระ
บางครั้งบุตรชายฝีพายเฒ่าก็เข้ามาคุยด้วยสองสามประโยค มาฟังเรื่องราวแปลกใหม่
ล่องเรือมาจนเกือบพลบค่ำ ทางเข้าปากแม่น้ำอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว เห็นแม่น้ำวสันต์ซึ่งกว้างกว่าแต่ไกล
“จ้วงจื่อ เตรียมทอดแห!”
“ได้เลย…!”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารได้ยินเสียงตะโกนระหว่างฝีพาย หลายคนออกมาดูอย่างสนอกสนใจยิ่ง เห็นฝีพายหนุ่มหยิบแหมาอยู่ข้างหัวเรือพอดี
“ทางเข้าปากแม่น้ำนี้จับปลาใหญ่ง่ายที่สุด ทุกท่านโปรดรอก่อน คืนนี้จะให้พวกท่านกินของสดใหม่!”
ฝีพายเฒ่าทำให้เรือทรงตัวอยู่ท้ายเรือ ยิ้มพลางตะโกนบอกผู้โดยสาร เก็บใบเรือลงมาแล้ว
ฝีพายหนุ่มจับแหปากใหญ่มั่น บิดตัวทำมุม จากนั้นพลันออกแรง เหวี่ยงตาข่ายไปข้างหน้าอย่างช่ำชอง ลอยออกไปปกคลุมผิวแม่น้ำเป็นวงกว้าง
ซ่า…
เสียงตาข่ายลงน้ำไพเราะยิ่ง หลังจากรอแหทอดลงไปครู่หนึ่ง ฝีพายเริ่มดึงเชือกตาข่ายขึ้นมาเต็มกำลัง
พึ่บพั่บ… พึ่บพั่บๆ…
เพิ่งลากตาข่ายขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ปลาภายในตาข่ายดีดจนเกิดละอองน้ำมากมายแล้ว
“โอ้… วันนี้โชคไม่เลว ปลาใหญ่หลายตัวเชียว! ใครก็ได้มาออกแรงช่วยหน่อย!”
ฝีพายหนุ่มดีใจจนเรียกผู้โดยสาร จี้หยวนซึ่งเดิมสนใจยิ่งเดินตรงไป ชายฉกรรจ์หลี่ต้าหนิวก็รีบมาช่วย
ซ่า…
พึ่บพั่บๆ… พึ่บพั่บๆ…
หลังจากเก็บแห ปลาบนหัวเรือดีดตัวไปมา
“ฮ่าๆๆๆ เก็บเกี่ยวได้ไม่เลว!”
“ทุกท่านรอกินน้ำแกงหัวปลากับปลานึ่งผักแห้งฝีมือพ่อข้าแล้วกัน!”
“โอ้ๆๆ ดียิ่งนักๆ มีปลากินแล้ว มีปลาใหญ่กินแล้ว!”
เสียงอุทานของผู้ใหญ่กับเสียงโห่ร้องยินดีของเด็กประสานกัน
ปลาชิงฮื้อ[1]ราวยี่สิบกว่าชั่งตัวหนึ่ง ปลาเฉา[2]ราวสิบชั่งตัวหนึ่ง ยังมีปลาหัวโต[3]สองตัวกับกุ้งแม่น้ำบางส่วนกระโดดไปมา ทำให้คนบนเรือต่างตื่นเต้น หากนั่งเรือใหญ่คงไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้
ท้ายเรือเริ่มก่อเตาดิน หุงข้าวนึ่งปลาต้มน้ำแกง ยามรัตติกาลหลังจากเคลื่อนเข้าแม่น้ำวสันต์มาไม่นาน ฉวยโอกาสยามผิวแม่น้ำนิ่งสงบ เรือโดยสารลำเล็กนี้ทอดสมอนำอาหารขึ้นโต๊ะ
เวลานี้ริมแม่น้ำมีเรือประดับหอลำหนึ่งจอดพักอยู่เช่นกัน เทียบกับเรือเล็กแล้วถือว่าแสงโคมสว่างไสว เสียงหยอกล้อหัวเราะชอบใจดังไม่หยุด มีเสียงฉินเส้อบรรเลง คล้ายออกเรือจัดงานเลี้ยงร้องรำทำเพลง
แม้ว่าเรือเล็กที่จี้หยวนอยู่จะเรียบง่าย แต่ยังมีห้องโดยสารด้านหลัง ประทุนเปิดหน้าหลังไม่แขวนม่านบังด้านหน้าก็กันลมได้ แสงโคมห้องโดยสารเล็กโบกไหวบนผิวแม่น้ำเช่นกัน คนกลุ่มหนึ่งที่กลางวันยังแบ่งแยกกันชัดเจน ตอนนี้กลับกินข้าวบนโต๊ะเดียวกันอย่างสนิทสนมยิ่ง
ฝีมือฝีพายเฒ่าดึงความเลิศรสของสัตว์น้ำออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งมีสุราข้าวบ่มเองร่วมเคียง โดยเฉพาะเมนูปลานึ่งผักแห้ง ไม่จำเป็นต้องใช้ขิงแก่ต้นหอม เพียงโรยเกลือเล็กน้อย ทั้งอร่อยและไม่คาว พวกเขากินกันอย่างอบอุ่น
ตู้ม…
เสียงน้ำไม่ค่อยชัดเจนหนึ่งดังขึ้น คนอื่นยังกินอยู่ แต่จี้หยวนกลับหันหน้ามองไปข้างนอกแล้ว
“มีคนตกน้ำ!! มีคนตกน้ำ!!!”
ด้านนอกมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น คราวนี้คนอื่นภายใต้ประทุนต่างได้ยินแล้ว พากันออกไปดูสถานการณ์
“ดูเหมือนว่าเรือประดับหอลำนั้นมีคนตกน้ำกระมัง”
“อืม เหมือนจะใช่”
“โธ่เอ๋ย คนผู้นั้นถูกช่วยขึ้นมาหรือยัง”
เรือประดับหอห่างจากตรงนี้เกือบร้อยจั้ง มองจากมุมไกลไม่ชัดเจน รู้เพียงทางนั้นวุ่นวายกันไปหมด ส่วนจี้หยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไกลขนาดนี้เขาเหมือนเสียการมองเห็นจริงๆ ได้ยินแค่เสียงตะโกนตกตะลึง
แต่เพราะทักษะการฟังโดดเด่น รู้ว่าคนตกน้ำยังไม่ถูกช่วยขึ้นมา คล้ายเป็นคุณชายสักตระกูลดื่มจนเมา ทั้งยังว่ายน้ำไม่เป็นด้วย
ตู้ม…
ตู้ม…
ตู้ม…
…
เรือประดับหอที่ห่างไกลมีคนถอดเสื้อกระโดดลงแม่น้ำ ต้องการช่วยคนในน้ำขึ้นมา แต่ผิวน้ำที่ค่อนข้างห่างเรือออกไปมืดสนิทจนเห็นไม่ชัด รัศมีแสงโคมซึ่งคนด้านบนถืออยู่มีจำกัด
“โอ้ กระโดดลงไปอีกสองสามคนแล้ว ดูท่าว่ายังช่วยขึ้นมาไม่ได้!”
“นั่นน่ะสิ…”
นอกจากเมาสุราตกน้ำแล้วยังว่ายน้ำไม่เป็น จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย ถ้าโชคร้ายหน่อยคงยากจะช่วย น่าเสียดายว่าเขาไม่ใช่เทพเซียนต้าหลัววิชาแก่กล้า ต่อให้สำแดงวิชาเลี่ยงวารีกระโดดลงน้ำไปช่วยตามหา ย่อมไม่มีทางเก่งกว่าฝีพายว่ายน้ำแข็งสองสามคน
“หืม!?”
ทันใดนั้นจี้หยวนลืมตาเล็กน้อย มองภายใต้ผิวแม่น้ำที่ห่างออกไปเขม็ง
“คุณชายอยู่ตรงนั้น! คุณชายอยู่ตรงนั้น! ลอยอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปช่วยเขาเร็ว! เจ้าพวกโง่ไม่เห็นหรือ อยู่ตรงนั้น!”
มีคนบนเรือประดับหอร้องอย่างตื่นเต้น พวกฝีพายในน้ำได้แต่ว่ายกลับไปยังทางที่วนมารอบหนึ่งเมื่อครู่ เห็นคุณชายชุดขาวคนนั้นลอยแหงนหน้าบนผิวน้ำจริงๆ รีบว่ายน้ำถีบขา พาเขาไปตรงกราบเรือประดับหอ
ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีดังมาจากเรือใหญ่รางๆ พวกเขาบนเรือเล็กเป่าปากโล่งอกเช่นกัน
“ยังดีๆ ช่วยคนกลับมาได้แล้ว!”
“แค่ครู่เดียวน่าจะยังไม่จม”
“เช่นนั้นก็ดีๆ!”
“อืม พวกเรากินต่อเถอะ”
“ใช่ๆ กินต่อ!”
จี้หยวนกลับเข้าห้องโดยสารมาพร้อมกัน แต่อ้างว่าอยากปลดทุกข์จึงเดินออกมาอีกครั้ง
ภายในห้องโดยสาร ฝีพายเฒ่าเพิ่งยกขวดสุราข้าวเล็กจิ๋วเติมสุราให้ตัวเอง แต่กลับพบว่าเทได้สองหยดก็ไม่มีสุราไหลออกมาอีก
“แปลกจริง ดื่มหมดแล้วหรือ”
“หา? หมดแล้วหรือ เพิ่งดื่มไปเท่าไหร่เอง!”
“ไม่ต้องรีบร้อนๆ ข้ายังมีอยู่ ไปตักจากไหอีกหน่อยก็พอ!”
…
ลมกลางคืนพัดโชย จี้หยวนมาถึงหัวเรือลำพัง สุราข้าวซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เขาสะบัดมือขวาไปข้างหน้า สุราเหมือนมังกรน้ำสายเล็กบิดตัวทะยาน หลั่งลงกลางแม่น้ำโดยไร้สุ้มเสียง
“สุราข้าวครึ่งกาของคนหาปลา โปรดรับไว้ด้วย!”
จี้หยวนพูดจบแล้วกลับเข้าห้องโดยสาร หยิบกาสุรารินสุราข้าวซึ่งฝีพายเฒ่าเพิ่งตักมาเหมือนไม่มีอะไร ภายใต้แม่น้ำปลาชิงฮื้อยักษ์ตัวหนึ่งรีบว่ายมาตรงจุดรินสุราอย่างเบิกบาน
[1] ปลาชิงฮื้อ คือ ปลาน้ำจืด ไม่มีหนวด ลำตัวยาว ท้องกลม เกล็ดใหญ่ ลำตัวและครีบสีออกดำ
[2] ปลาเฉา คือ ปลาน้ำจืดทรงกระบอก หัวเล็กกลมมน ไม่มีหนวด เกล็ดบนลำตัวส่วนมากมีสีคล้ำ
[3] ปลาหัวโต คือ ปลาน้ำจืดวงศ์ปลาตะเพียน ส่วนหัวโต ตาเล็ก ปากและข้างแก้มกว้าง