ตอนที่ 79 มีแต่ความจนใจ
ท่าทางร้อนใจของเต่าเฒ่าทำให้ทุกคนตกใจไม่น้อย คนตระกูลเว่ยล้วนเตรียมป้องกันด้วยความตึงเครียด หลายคนกำอาวุธมีคมจนแน่นขนัด ทว่าการต่อสู้มีประโยชน์แค่ไหนก็ไม่มีใครรู้เลย
ความกดดันที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แตกต่างกับความกดดันจากยอดฝีมือในยุทธภพโดยสิ้นเชิง นี่คือเต่ายักษ์ ปีศาจที่ไม่รู้ฝึกปราณมาแล้วกี่ปี ถึงแม้ผู้นำตระกูลเว่ยอู๋เว่ยจะเรียกว่า ‘ท่านเซียน’ ทว่าไม่มีใครรู้สึกว่านี่คือเซียนทั้งนั้น
ลุงใหญ่และอาสามของตระกูลเว่ย ไปจนถึงพ่อบ้านคนนั้นแยกกันยืนเป็นสามเหลี่ยม เมื่อเข้าใกล้ ลมปราณในกายพุ่งพล่าน เตรียมพร้อมสู้ตายด้วยกำลังทั้งหมดทุกเมื่อ
เว่ยอู๋เว่ยแทบจะอาศัยปณิธานแน่วแน่เพียงอย่างเดียวถึงกลั้นใจไม่ถอยหลัง อีกทั้งยื่นมือไปหยุดยั้งคนอื่น บ่งบอกว่าอย่าบุ่มบ่าม
“ทะ ท่านเซียนใจเย็นก่อน! ข้าคนแซ่เว่ยเคยเจอผู้วิเศษคนหนึ่งจริง…”
ครั้นเห็นเว่ยอู๋เว่ยพูดจา เต่าเฒ่าคล้ายกับรู้ตัวว่าเสียกิริยา จึงสงบจิตใจลงบ้าง ร่างกายที่แข็งเกร็งผ่อนคลายขึ้นแล้ว
“ผู้นำตระกูลเว่ยตกใจกลัวแล้ว ข้าเต่าเฒ่าร้อนใจชั่วขณะ เชิญกล่าวต่อ!”
เว่ยอู๋เว่ยกลืนน้ำลาย ในใจกำลังรีบร้อนครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดเรื่องการมีอยู่ของท่านจี้แล้ว แต่เป็นต่อให้พูดจริงๆ แล้วจะยังมีชีวิตรอดได้หรือไม่ต่างหาก
ท่านจี้ออกเดินทางไกลแล้ว ใครเล่าจะรู้ว่าจะกลับไปหรือไม่ ต่อให้กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปเมื่อใด การรับรู้เวลาของเทพเซียนจะเหมือนกับมนุษย์หรือไม่
ทว่าเต่าเฒ่าจะคิดเช่นนั้นหรือไม่ หากเขาคนแซ่เว่ยพูดออกไปตามตรง กระนั้นเต่าเฒ่าคิดว่าเขาบ่ายเบี่ยงหลอกลวงเล่าจะทำอย่างไร
ความคิดโลดเล่นราวกระแสไฟฟ้าอยู่สองอึดใจ เว่ยอู๋เว่ยรู้ว่าต่อให้ไม่พูดก็เกรงว่าปีศาจตนนี้จะกลั้นโทสะไว้ไม่ได้แล้ว
“ท่านเซียน ข้ามีโอกาสได้พบผู้สูงส่งจากข้างนอกคนหนึ่ง แต่เกรงว่าเปิดเผยฐานะของเขาตามใจชอบแล้วจะทำให้เขาไม่พอใจ ข้าจะเลือกบอกท่านในสิ่งที่บอกได้ ท่านลองฟังดูก่อนแล้วค่อยใคร่ครวญเป็นอย่างไร”
เต่าเฒ่ายกศีรษะขึ้นสบตาในระดับเดียวกับบุรุษจ้ำม่ำที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
“ดี เชิญพูด!”
“ฟู่…”
เว่ยอู๋เว่ยใช้แขนเสื้ออันสั่นเทาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นี่บ่งบอกว่าเขาเครียดเกร็งอย่างแท้จริง และเป็นการแสดงออกถึงความอ่อนแอด้วย ทำให้เต่าเฒ่ารู้แจ้งว่าเขาในตอนนี้ไม่กล้าพูดปดแน่
“ตอนนั้นข้าน้อยได้ยินมาว่ามีจอมยุทธ์จังหวัดเต๋อเซิ่งฆ่าเสือร้ายกินคน ได้รับหนังสือขาวสมบูรณ์แผ่นหนึ่ง กอปรกับใกล้ถึงวันเกิดผู้อาวุโสในตระกูล จึงคิดจะไปซื้อมัน ถึงตระกูลเว่ยจะไม่ขาดหนังเสือ ทว่าหนังเสือขาวนั้นหายากจริงๆ”
“และข้าน้อยได้พบกับท่านผู้นั้นเป็นครั้งแรกตอนอยู่ในจังหวัด ขณะสนทนากับนายอำเภอ”
เต่าเฒ่าเบิกตาโตเล็กน้อย เขาจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากการเลือกใช้คำของเว่ยอู๋เว่ยด้วยจิตใต้สำนึกอันว่องไว เกิดความเคารพนบนอบจากใจจริง
“ตอนนั้นท่านมองข้าน้อยครั้งหนึ่งด้วย เดิมทีคิดว่าเพียงเพราะข้าน้อยพูดถึงท่านขณะพูดคุยกับนายอำเภอ จึงชำเลืองมองมาโดยไม่ได้ตั้งใจครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้คิดดูแล้วท่านจะต้องรู้ว่าตอนนั้นข้าน้อยกำลังจะเจอภัยร้ายเป็นแน่!”
เต่าเฒ่าหัวใจกระตุก เอ่ยปากถาม
“เป็นเจิ้งเชียนชิวไปหาเจ้าหรือ”
“ถูกต้อง เจิ้งเชียนชิวผู้นั้นร่วมกับอันธพาลสามสิบคนและยอดมือจากยุทธภพคนหนึ่งสร้างกับดักเพื่อจับข้า แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าข้าน้อยแสร้งทำเป็นคนไม่เป็นวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก เขาพลันประมาทในช่วงเวลาสำคัญ ถูกข้าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถูกพิษร้าย กลับกลายเป็นข้าที่จับเขาแทน!”
ณ ที่ตรงนี้เว่ยอู๋เว่ยไม่ได้พูดว่ายอดฝีมือผู้นั้นชื่อเสียงเรียงนามอะไร ดูเหมือนเต่าเฒ่าไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่กลับเป็นเว่ยอู๋เว่ยที่หยั่งเชิงถามด้วยความระมัดระวังครั้งหนึ่ง ด้วยอยากแน่ใจว่าปีศาจตนนี้พอจะมองทะลุทุกคำพูดได้หรือไม่
“ถึงกำลังคนตระกูลเว่ยของข้าจะเอาชนะได้ แต่ก็รีบร้อนเร่งเดินทางไม่ได้อีก จึงย้อนกลับไปที่อำเภอ และข้าได้มีโอกาสคารวะผู้วิเศษด้วย!”
เห็นเต่าเฒ่าตั้งอกตั้งใจฟัง ไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใด เว่ยอู๋เว่ยก็ถอนใจโล่งอก
“ตอนนั้นข้าได้ยินว่าในอำเภอเคยมีจิ้งจอกแดงราวกับไฟตัวหนึ่ง มันถูกสุนัขกัดทำร้ายจนน่าเวทนา อีกทั้งถูกบุรุษไล่ตีบนถนนอีกต่างหาก ด้วยอยากจะตีจิ้งจอกให้ตายเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังของมัน”
“คนในอำเภอเล่าว่า ตอนนั้นท่านผู้นั้นกำลังเดินเล่นอยู่บนถนน จิ้งจอกแดงแกล้งตายหลอกอันธพาลและหนีจากถนนได้ในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อเห็นท่านแล้วมันก็อ้อนวอนท่านไม่ยอมหยุด หมอบกราบไม่ยอมหยุด!”
เต่าเฒ่าได้ฟังถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมา เบิกตาโพลง ลมหายใจเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยินหยาบหนักขึ้นเล็กน้อยในเวลานี้
“ท่านผู้นั้นช่วยจิ้งจอกแดงไว้หรือไม่”
จิ้งจอกแดงไม่ใช่จิ้งจอกธรรมดาแน่นอน อย่างน้อยตื่นรู้มีปัญญาแล้ว ต้องรู้ว่าปีศาจมักถูกเซียนรังเกียจ ถึงแม้เป็นเต่าเฒ่าที่สงบจิตใจฝึกปราณก็อาจจะไม่มีทางมีใบหน้าน่ามอง บวกกับปีศาจไม่น้อยเคยฝึกปราณอย่างมั่นคง ทว่าเมื่อบรรลุแล้วกลับกลายเป็นชั่วร้าย คำพูดที่ว่า ‘ปีศาจล้วนยากฝึกให้เชื่อง’ จึงครอบคลุมภูตและปีศาจทั้งหมด
เว่ยอู๋เว่ยผ่อนลมหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ย่อมช่วยไว้ ท่านผู้นั้นจ่ายเงินไถ่ตัวมัน อีกทั้งพูดโน้มน้าวสุนัขดุตัวนั้นจนถอยหลังไปเอง จากนั้นก็อุ้มจิ้งจอกแดงโชกเลือดไว้ในอ้อมแขน พามันไปพันแผลและรักษาที่โรงหมอในอำเภอแล้ว ถึงค่อยพากลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน…”
เว่ยอู๋เว่ยพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่ลืมหรือกลัว แต่เขารู้สึกได้ว่าเต่าเฒ่าเผยสีหน้าอิจฉาเหมือนมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง
ใช่ แค่รู้สึก อย่างไรเสียหน้าเต่าและหน้าคนก็แตกต่างกันมากโข สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงเพราะอารมณ์ก็แค่คาดเดาเอาเท่านั้น
“ข้าเคยได้ยินจากเด็กที่มักไปเล่นที่บ้านของท่านผู้นั้นหลังจากท่านออกพเนจร ว่าหลังจากจิ้งจอกแดงหายดีแล้วก็คิดถึงบ้านมาก ท่านจึงพาจิ้งจอกแดงไปปล่อยคืนสู่ป่า”
“อะไรนะ?!”
เต่าเฒ่าตกตะลึงหาใดเปรียบ ลมหายใจเจือกลิ่นคาวที่พ่นออกมาจากปากพัดจอนผมของเว่ยอู๋เว่ยกระพือ ตื่นเต้นจนเท้าทั้งสี่จับคว้าบนฐานฝั่ง
“จิ้งจอกตัวนั้นคิดจากไปเองหรือนี่! ช่าง ช่าง อา…ช่างน่าโมเสียจริง!!!”
คำพูดช่วงท้ายยิ่งเหมือนเป็นเสียงคำรามทุ้มต่ำที่กดกลั้นมาก เสียงไม่นับว่าดังกังวาน แต่ไม่ว่าใครในที่นี่ล้วนรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวชนิดที่อยากให้เป็นตนเองไปอยู่ตรงนั้นแทบขาดใจ
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าบอกว่า ‘ท่านผู้นั้น’ ออกพเนจรหรือ”
หลังจากสงบอารมณ์ได้ ในที่สุดเต่าเฒ่าคล้ายรับรู้ถึงครึ่งประโยคหน้าของคำพูดเว่ยอู๋เว่ย
“ถูกต้อง!”
เว่ยอู๋เว่ยตึงเครียดอยู่บ้างอีกครั้ง รีบพูดต่อไป
“ท่านเซียนฟังข้าพูดให้จบก่อน วันนั้นพวกข้าได้รับบาดเจ็บและกลับไปพักฟื้นที่อำเภอ เมื่อได้ยินข่าวประหลาดนี้เข้า รวมถึงเพิ่งเค้นถามได้เรื่อง ‘วาสนาเซียน’ จากปากเจิ้งเชียนชิว ข้าอดรนทนไม่ไหว จึงอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ในอำเภอให้พาข้าไปคารวะท่านผู้นั้น”
พอพูดถึงตรงนี้ เว่ยอู๋เว่ยหวนนึกถึงภาพในตอนนั้น รู้สึกซาบซึ้งใจทีเดียว
“ภายในลานบ้านมีบุรุษสวมเสื้อสีขาวแกมเทา นั่งเดินหมากอย่างสงบอยู่ใต้ต้นพุทรา…ตอนนั้นข้าไปรบกวน บุ่มบ่ามอยู่บ้าง…”
เว่ยอู๋เว่ยถอนใจเสียงหนึ่ง คราวนี้ถึงได้ตระหนักว่าอะไรคือเขาล้อมหยก อะไรคือวาสนาเซียนที่ส่งทอดกันในตระกูล เขาอาจจะพลาดโอกาสที่ยิ่งกว่าล้ำค่านี้ไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มียาแก้เสียใจให้กิน
“ข้าอธิบายเจตนาและอ้อนวอนอย่างหนัก ท่านผู้นั้นรับปากอย่างใจกว้าง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้วิธีใด พอข้าลูบหยกประดับครั้งหนึ่ง หยกฟ้านี้ทอแสงเล็กน้อย แสดงตัวอักษรเล็กสี่ตัวแห่งแดนปรัชญาล้อมหยกออกมา ท่านผู้นั้นบอกว่ามันมาจากเขาล้อมหยก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรมากอีก พูดเพียงเท่านั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“แล้ว ‘ท่าน’ ออกพเนจรเมื่อใด รู้หรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด”
เต่าเฒ่าถามต่ออย่างเร่งร้อน
“ข้าคนแซ่เว่ยก็ไม่รู้ เล่ากันว่าหลังจากข้าคนแซ่เว่ยกลับไปในวันนั้น ท่านผู้นั้นคุยกับสหายว่าจะเดินทางไกล จริงสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง! วันนั้นท่านผู้นั้นบอกว่าเตรียมตัวออกพเนจร กำชับสหายว่าให้รอจนฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ต้นพุทราในลานบ้านออกผลสุกแล้วก็แบ่งให้พวกชาวบ้านกิน ทว่าต้นพุทราในลานบ้านคืนนั้นกลับดอกร่วงและออกผล รอจนฟ้าสาง ผลพุทราที่แต่เดิมควรจะสุกในฤดูใบไม้ร่วงกลับสุกงอมเต็มทุกกิ่งก้าน! เฮ้อ ตอนที่ข้าน้อยรู้เรื่องนี้ก็เป็นสองสามวันให้หลังแล้ว ท่านผู้นั้นออกเดินทางนานแล้ว…”
เต่าเฒ่าเงียบอยู่นานถึงค่อยพูด
“คนที่เล่นหมากกับ ‘ท่านผู้นั้น’ น่าจะเป็นเพียงคนธรรมดากระมัง”
“ถูกต้อง เขาเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาประจำอำเภอ สนิทสนมกับท่านผู้นั้นทีเดียว เป็นสหายหนึ่งเดียวในอำเภอของท่านผู้นั้น”
เว่ยอู๋เว่ยพูดจบแล้ว เห็นเพียงเต่าเฒ่าพยักหน้าน้อยๆ ผ่านไปนานก็ยังไม่ส่งเสียงใด
เต่าเฒ่าไม่พูดจา คนตระกูลเว่ยก็ไม่กล้าขยับ ได้แต่คอยท่าเช่นนั้น
น่าจะผ่านไปราวครึ่งถ้วยชาได้ ตอนที่คนตระกูลเว่ยรู้สึกหนาวจากลมพัดเพราะก่อนหน้านี้เหงื่อแตกจนเสื้อแนบตัว เต่าเฒ่าถึงจะถอนใจส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้อ…มีผู้วิเศษจริงๆ ด้วย ได้พบช่างเป็นโชคดีนัก!”
ความจริงแล้วตอนนี้คนตระกูลเว่ยทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวน นอกจากพ่อบ้าน รวมถึงลุงใหญ่และอาสามของเว่ยอู๋เว่ยแล้ว คนตระกูลเว่ยคนอื่นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกอัศจรรย์ใจนัก ตอนนั้นผู้นำตระกูลประสบเรื่องนี้ด้วยตนเองจะรู้สึกอย่างไรกันนะ
“เอ่อ…ท่านเซียน ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด ยิ่งไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นจะกลับไปเมื่อใด…อำเภอนั้นชื่อว่า…”
“ผู้นำตระกูลเว่ยไม่ต้องพูดแล้ว…ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”
เต่าเฒ่ามองเว่ยอู๋เว่ยอย่างจริงจัง
“หากอยากเข้าเขาล้อมหยก หนึ่งคือลูกหลานปรากฏทายาทที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศ และยังมีอีกวิธีใช้เสี่ยงโชคได้ หากในทายาทสายตรงของบรรพบุรุษตระกูลเว่ยมีเด็กอายุไม่ครบห้าขวบปี ก็ส่งไปที่จวนเซียนของเขาล้อมหยก กระเรียนเซียนเฝ้าเขาจะเปลี่ยนกะทุกยี่สิบปี เมื่อถึงเดือนอ้ายปีหน้า ก็จะเป็นคนผู้นั้นที่เคยสนิมสนมกับตระกูลเว่ยของเจ้าพอดี…”
“พกหยกประดับไว้ให้ดี กระเรียนเซียนนั่นจะต้องปรากฏตัวแน่ ถึงตอนนั้นต้องขอให้เจ้าส่งเด็กเข้าแดนเซียน และพยายามอ้อนวอนให้ผู้อาวุโสเข้าเขาอยู่เป็นเพื่อนเด็กสามปี เพื่อตอบแทนบุญคุณแล้ว กระเรียนเซียนช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่ โอกาสประสบความสำเร็จมีถึงเจ็ดส่วนเชียว! เขาล้อมหยกอยู่ที่…”
คำพูดหลังจากนี้เต่าเฒ่าพูดเสียงเบามาก มีเพียงเว่ยอู๋เว่ยเท่านั้นที่ได้ยิน ครั้นพูดจบแล้วก็มองเว่ยอู๋เว่ย จากนั้นคลานลงแม่น้ำไปทันที
เพียงจนใจที่วาสนามาไม่ถึงตัว ไม่มีโอกาสได้พบโอกาสดี ปีนี้ก็ต้องไปขอเทพแม่น้ำอีกกระมัง!
ตูม
เสียงลงน้ำปลุกเว่ยอู๋เว่ยให้ตื่นจากภวังค์ รีบตะโกนบอกแม่น้ำที่หลงเหลือเพียงน้ำวนเล็กๆ
“ขอบคุณท่านเซียนมาก ปีหน้าข้าคนแซ่เว่ยจะเตรียมสุรารสเลิศมาที่นี่!”