ตอนที่ 81 เต็มใจต่อสู้
หลงจู๊จัวเปิดช่องลับข้างใต้ตู้สินค้า แล้วหยิบวสันต์พันวันที่หมักไว้ยี่สิบปีเพียงไหเดียวออกมาจากในนั้น
วสันต์พันวันมีชื่อเสียงได้ไม่ถึงสามสิบปี สุราเก่ายี่สิบปีนับได้ว่าเป็นสุดยอดในบรรดาวสันต์พันวันแล้ว แทบจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการตั้งชื่อสุราในปีนั้น สุราเช่นนี้ซ่อนอยู่ในโรงสุราขนาดใหญ่ของร้านสวนดอกไม้น้อยมาก และมีอยู่ที่หน้าร้านทางนี้เพียงไหเดียวเท่านั้น
หวังจื่อจ้งเคยชิมอยู่สองครั้ง ครั้งแรกตอนที่บุตรีเจ้าเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยอภิเษกเข้าวังหลวงและได้รับการแต่งตั้งเป็นเจาหรง[1] วสันต์พันวันที่ยังไม่มีชื่อเสียงของร้านสวนดอกไม้ถูกตั้งอยู่ในงานเลี้ยงยี่สิบไห ครั้งที่สองตอนที่เขาหวังจื่อจ้งหน้าหนาขอวสันต์พันวันจากหลงจู๊ขณะไปยังบ้านพักตากอากาศ เสียห้าสิบตำลึงเงินซื้อมาไหหนึ่ง
ของหายากยิ่งมีราคาแพง วสันต์พันวันสั่งสมชื่อเสียง ส่วนสุราเก่าหลือน้อยลงทุกที
ตอนนี้เห็นหลงจู๊จัวจะขายสุราชั้นเลิศเช่นนี้ให้คนนอกผู้หนึ่ง เขาพลันนั่งไม่ติดที่ วางถ้วยสุราเดินไปเจรจากับหลงจู๊ที่ตู้สินค้าทันที
“หลงจู๊จัว สุรานี้ข้าขอเจ้าไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หากจะขายก็ต้องขายให้ข้าก่อนกระมัง”
ในสายตาของจี้หยวน รูปร่างของหวังจื่อจ้งนับว่าสูงใหญ่แข็งแรง แน่นอนว่าเทียบกับหลี่ต้าหนิวที่อยู่บนเรือก่อนหน้านี้แล้วเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง ฟังจากคำพูดของเขาก็รู้ว่าสุรานี้น่าจะแพงมาก
หากเป็นสุราอื่นก็ช่างเถอะ ทว่านี่คือวสันต์พันวันเก่ายี่สิบปี จี้หยวนโลภอยู่บ้าง ไหนเลยจะพลาดไปได้ รีบเข้าไปภายในร้านเช่นกัน
“หลงจู๊ สุรานี้ชั่งละเท่าไร ใช่สองตำลึงหรือไม่”
หลงจู๊ตัวมองหวังจื่อจ้งที่อยู่ข้างๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงยื่นหน้าเอ่ยว่า
“ถูกต้อง สองตำลึงต่อหนึ่งชั่ง หากลูกค้าเงินไม่พอก็ติดบัญชีไว้ก่อนได้!”
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในยุทธภพด้วยวัยสี่สิบปีอย่างหวังจื่อจ้ง บัดนี้ถลึงตาจ้องหลงจู๊จัวเขม็ง ฝ่ายหลังถูกเขามองจนคันหน้ายุบยิบ แต่ก็ยังใจแข็งดันสุราไปทางอื่น
ทว่าตอนนี้หวังจื่อจ้องก็มองเห็นหนทางแล้ว เมื่อครู่บุ่มบ่ามร้อนใจไปชั่วขณะ ตอนนี้คิดดูแล้วฐานะของผู้ซื้อสุราจะต้องไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ถึงทำให้หลงจู๊จัวไม่ไว้หน้าตนเช่นนี้ได้ เขาจึงไม่ได้ขัดการค้าขายครั้งนี้อีก
จี้หยวนอยากลิ้มลองวสันต์พันวันเก่ายี่สิบปีนี้ ทว่าก็ไม่ใช่ขี้เมากระหายสุราเท่าชีวิต ย่อมหยิบขวดสุรากระเบื้องก่อนหน้านี้ออกมาจากช่องแขนเสื้อ
“ข้านำกาสุรามาเอง หนึ่งชั่งราคาเท่าไหร่หรือ”
หลงจู๊จัวชะงักก่อน ทว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ตอบไปว่า
“ในเมื่อลูกค้านำกาสุรามาเอง ย่อมต้องคิดราคาถูกลงหน่อย สุรานี้แปดร้อยอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ลูกค้าอยากซื้อกี่ชั่งหรือ”
“เฮือก…”
หวังจื่อจ้งส่งเสียงสูดลมหายใจแปลกประหลาดออกมาจากในลำคอ ตัดใจเบือนหน้าหนีไม่มองไหสุรา แม้หลงจู๊จัวจะไม่ได้ยิน แต่จี้หยวนกลับได้ยินชัดเจน
จี้หยวนมองท่าทางจริงจังที่หลงจู๊ร้านแสร้งทำและสีหน้าค่อนข้างน่าสนใจของคนที่อยู่ข้างๆ แล้วก็ยิ้มออก ตอนที่รู้สึกสนใจขนาดนี้เมื่อครั้งก่อน เป็นตอนที่ฟังบทสนทนาของนักพรตชิงซงกับศิษย์ของเขาที่หอรวมแขก
“เอาล่ะ รบกวนหลงจู๊ร้านเทสุราด้วย ข้าจะซื้อหนึ่งชั่ง”
การชั่งตวงแบบนี้มีชื่อเรียกว่าทำสี่ตักสอง ความหมายตรงตัวก็คือตักหนึ่งกระบวยเต็มๆ เท่ากับสุราสี่ตำลึง สี่ครั้งเท่ากับหนึ่งชั่ง ทว่าครั้งนี้หลังจากหลงจู๊ร้านตักครบสี่ครั้งก็ตักเพิ่มอีกครึ่งกระบวย จนกระทั่งเติมสุราจนเกือบปริ่มปากกาถึงจะหยุด
จากนั้นก็หยิบก้อนเงินมาชั่งข้างๆ แล้วดีดลูกคิดดังก๊อกแก๊ก
“เงินหนักสองตำลึงยี่สิบเอ็ดบาท จำนวนเงินทั้งหมดคือแปดร้อยเจ็ดสิบห้าอีแปะ ลูกค้า นี่คือเงินทอนสิบห้าอีแปะอันถือเป็นของสมนาคุณ”
จี้หยวนรับเงินทอนมา แล้วหยิบสุราขึ้นลองชั่งน้ำหนักบ้าง
“เยี่ยมเลย ขอบคุณหลงจู๊จัว เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
จี้หยวนประสานมือคารวะเห็นหลงจู๊ร้านที่อยู่ข้างโต๊ะรีบประสานมือคารวะกลับเหมือนกัน จึงยิ้มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แปลกคนจริงๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก ยกกาสุราก้าวออกจากร้านสวนดอกไม้ ไปยังทิศทางที่ออกห่างจากความวุ่นวาย แม้จะบอกว่าการพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็ทำให้จี้หยวนจำหลงจู๊ร้านนี้ได้อย่างแท้จริงแล้ว
“เฮ้อ ลูกค้าค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เดินนะ! ครั้งหน้าลูกค้ากลับมาอีกนะ”
หลงจู๊จัวยังร้องตะโกนอยู่ตรงนั้น รอจนมองไม่เห็นเงาหลังของจี้หยวนแล้ว เขาถึงเลิกเกร็งหน้า ปรากฏรอยยิ้มสดใสในทันที แล้วประสานมือขออภัยหวังจื่อจ้งที่อยู่ข้างๆ อยู่หลายครั้ง
“ท่านซานเยี่ย ข้าน้อยจะชดใช้ให้ท่านเอง เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ท่านดูสิวสันต์พันวันเก่านี้ยังเหลืออีกสี่ชั่ง ข้าจะขายให้ท่านทั้งหมดเลย!”
ถึงหวังจื่อจ้งจะยังสงสัยฐานะของจี้หยวน ทว่าได้ยินคำพูดของหลงจู๊จัวแล้วก็ยังอยากบันดาลโทสะ
“เช่นนั้นข้าต้องซื้อในราคาเท่าไหร่ต่อหนึ่งชั่ง”
“สองตำลึงๆ!”
ตอนนี้หลงจู๊จัวอารมณ์ดีมาก ต่อให้ต้องให้ไปเปล่า ขอเพียงหวังจื่อจ้งเอ่ยปากเขาก็ไม่ติดขัด
“ฮ่าๆๆๆ ใช้ได้! แต่หลงจู๊จัวพอจะบอกได้หรือไม่ว่าผู้มาเยือนเมื่อครู่นี้เป็นใคร”
“แหะๆๆ พูดไม่ได้ๆ ไม่ใช่ว่าข้าคนแซ่จัวไม่อยากพูด แต่ไม่สะดวกพูด พอขายสุราชั่งนี้ไปแล้ว ข้าคนแซ่จัวชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง หากวันหน้าซานเยี่ยพบเขา…ลูกค้าท่านนั้น ปฏิบัติกับเขาอย่างมีมารยาทเสมอก็ไม่เลวแล้ว”
เรื่องบางเรื่อง เมื่อเป็นคนที่เกี่ยวข้องย่อมรู้สึกผิดปกติ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ส่วนบางสถานการณ์กลับตรงกันข้าม หลงจู๊จัวในตอนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่า
…
ผ่านเที่ยงวันไปแล้ว จี้หยวนเคี้ยวซาลาเปาไส้ผักลูกละหนึ่งอีแปะ ขณะเดียวกันก็เดินจากประตูเมืองตะวันออกไปทางใต้
แม่น้ำวสันต์ยาวเหยียดคดเคี้ยว อารามเทพแม่น้ำย่อมไม่อาจมีอยู่แห่งเดียว แต่หากจะพูดถึงศาลที่ใหญ่และดั้งเดิมที่สุด นั่นต้องเป็นอารามเทพแม่น้ำที่อยู่นอกกำแพงเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยแน่นอน
จะว่าอย่างไรก็มาถึงจังหวัดชุนฮุ่ยแล้ว ควรไปชมทิวทัศน์ของอารามแรกแห่งแม่น้ำวสันต์สักครั้ง และยิ่งเข้าใกล้อารามเทพแม่น้ำ ผู้คนรอบข้างก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ได้กลิ่นธูปจันทน์โชยมาแต่ไกล เสียงจอแจทางฝั่งอารามก็ดังมาเช่นกัน ยังไม่ถึงอารามเลยด้วยซ้ำ ริมถนนและริมแม่น้ำมีก็พ่อค้าคอยตะโกนขายของไม่ขาดสายแล้ว
ขายธูปจันทน์ ขายเทียน ขายถังหูลู่ ขายผลไม้เชื่อม แม้แต่ร้านขายของสวยงามอย่างพัดกลม ชาด หรือแป้งน้ำก็ยังมี ทำให้จี้หยวนเปิดหูเปิดตาแล้ว
“พุทธศาสนิกชนทุกท่านมาดูเถอะ เครื่องรางที่ได้รับการปลุกเสกจากอาราม…”
“เทียนราคาถูก เทียน เข้าอารามกราบไหว้เทพอย่าลืมจุดธูปด้วย…”
“กระเป๋าเงิน กระเป๋าเงินสวยๆ…”
…
“ลูกค้าท่านนี้ ดูท่านเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ อยากซื้อธูปหรือไม่ ท่านเทพแม่น้ำจะได้ประทานพรให้ท่านประสบความสำเร็จในการเรียน!”
ถึงหน้าประตูอารามแล้ว พ่อค้าขายของประเภทเครื่องสักการะมีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีพ่อค้าเรียกจี้หยวนด้วย
จี้หยวนหยุดถามพ่อค้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“เทพแม่น้ำช่วยให้ประสบความสำเร็จด้วยหรือ”
“หืม ดูลูกค้าพูดเข้าสิ ขอให้ประสบความสำเร็จ ขอให้ร่ำรวยมีเกียรติยศ ขอให้มีความสุข ขอให้สมหวังในความรัก ขอเพียงท่านขอ ท่านเทพแม่น้ำล้วนประทานให้ท่านทั้งนั้น ซื้อธูปหรือไม่”
แม้แต่เรื่องความรักก็ด้วยหรือนี่
จี้หยวนเบิกบานใจ ทว่าเหมือนกับคล้ายกับชาติก่อนเช่นกัน อารามไหนๆ ก็ประทานพรให้ได้
“ขอธูปชุดหนึ่งแล้วกัน”
“ได้เลย ธูปหนึ่งชุดสองอีแปะ กลิ่นหอมด้วยนะ!”
จี้หยวนจ่ายเงินค่าธูปแล้วเข้าไปในเขตอาราม รู้สึกเหมือนกับเข้าไปในสวนสาธารณะที่พิเศษแห่งหนึ่ง ระเบียงใต้ชายคาอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของสวน กำแพงจารึกอักษรและบทกวี มีท่าน้ำให้ปล่อยสัตว์ มีศาลาให้นั่งพัก ไปจนถึงกระถางธูปและหีบบริจาคเงิน ตลอดจนผู้คนที่มาจุดธูปไม่ขาดสาย
ตำหนักเทพแม่น้ำที่แท้จริงคือห้องขนาดใหญ่ที่มีชายคาสูงเกินจริง ภายในและภายนอกอารามไม่มีรูปปั้นดินเผาใดของทางการ ตรงที่ว่างเกือบสองร้อยตารางนอกจากกระถางธูป โต๊ะของเซ่นไหว้ทรงกลม และรั้วไม้แล้ว ก็มีเพียงรูปปั้นเทพแม่น้ำสูงห้าจั้งเพียงรูปเดียวเท่านั้น
สีหน้าและเรียวคิ้วเคร่งขรึมของเทพแม่น้ำถูกสลักอย่างดีโดยเหล่าช่างเหมือนกับริ้วคลื่น บนด้านนอกของหมวกมวยผมปักไว้ด้วยปิ่นยาวๆ บนตัวสวมชุดคลุมยาวราวกับกระแสน้ำห่อหุ้มกาย โดยรวมแล้วแกะสลักได้ถึงจิตวิญญาณมากๆ
จี้หยวนก็ตามกลุ่มผู้แสวงบุญไปจุดธูปตรงตะเกียงน้ำมัน แล้วไปยังตรงหน้ารูปปั้นเทพแม่น้ำตามคนอื่น หูได้ยินเสียงขอพรต่างๆ นานาของผู้แสวงบุญ บ้างก็ปกติธรรมดา บ้างก็แปลกพิสดาร บ้างก็น่าสนใจ บ้างก็ฟังดูแล้วเคร่งเครียดทีเดียว
การขอให้ล่องเรือได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยนั้นไม่เลว ขอพบเจอสภาพอากาศดีเยี่ยมตามแม่น้ำก็พอจะเข้าใจได้ แต่ขอให้มีเงินทอง อายุยืนยาว ขอให้มีเกียรติยศ ชื่อเสียง และสมหวังในความรักนั้นไปกราบไหว้เทพหลักเมืองยังจะดีเสียกว่า
เทพอย่างเทพแม่น้ำเหมือนกับเทพหลักเมือง ทว่าแตกต่างกับเทพเจ้าที่อยู่บ้าง นอกจากสถานการณ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่แล้วล้วนฝึกตนอย่างแท้จริง ถ้าไม่ได้ผ่านการฝึกฝนเชื่อมต่อภูเขาและสายน้ำอันยากลำบากเป็นเวลานานปี ก็ต้องผ่านการสืบทอดและได้รับตำแหน่งเทพจากเทพภูเขาและแม่น้ำดั้งเดิม
การจุดธูปเป็นเพียงการเสริมประกอบสำหรับพวกชาวบ้าน จัดการเรื่องเกี่ยวกับแม่น้ำได้ก็นับว่าเป็นความขยันหมั่นเพียรแล้ว
ผู้ที่ครอบครองภูเขาและแม่น้ำที่แน่นอน ได้รับภูเขาและแม่น้ำเล็กน้อยและต้องการพึ่งพาพลังกำยานเพื่อเป็นเทพดั้งเดิม กลับอาจจะตอบสนองต่อคำอธิษฐานบางอย่าง
ส่วนเทพแม่น้ำแห่งแม่น้ำวสันต์เป็นมังกรเจียวขาวไร้เกล็ดที่มีอายุยืนยาว คัมภีร์นอกรีตเล่าเอาไว้พอดีว่า ‘ล้มเหลวในการกลายร่างเป็นมังกรถึงสองครั้ง เกล็ดจึงร่วงหล่นจนหมด’
ถึงจะเป็นอย่างนั้น มังกรเจียวขาวก็เป็นเทพแม่น้ำตัวจริงที่หาได้ยากยิ่ง เป็นเทพดั้งเดิมที่ดูแลแม่น้ำวสันต์อย่างแท้จริง
จี้หยวนไม่ได้ขอพรอะไรทั้งนั้น ประสานมือก้มกราบสองครั้งอย่างไม่เสียมารยาทแล้วก็ปักธูปในกระถางธูปใบใหญ่
เมื่อปักธูปเสร็จสิ้น จี้หยวนมองเห็นควันสีเหลืองรางๆ สายหนึ่งลอยวนเวียนขึ้นด้านและหายไป เทียบกับกลิ่นอายเล็กน้อยในอารามทั้งอารามแล้วอลังการกว่ามาก
ตัวจี้หยวนเริ่มรู้สึกตาลายขึ้นมาในขณะนี้
[1] เจาหรง หมายถึง สนมขั้นที่ 2 จากทั้งหมด 9 คนของฮ่องเต้