ตอนที่ 91 ดีใจจนเนื้อเต้น
สัมภาระของจี้หยวนในตอนนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ในห่อผ้าสีเทามีตำราวิชายุทธ์ลับแห่งยุคที่พอจะทำให้คนในยุทธภพต่อสู่หลั่งเลือดแย่งชิงกันเล่มหนึ่ง ร่มกระดาษน้ำมันยังคงเสียบไว้ใต้รักแร้ ส่วนกระบี่เครือเขียวได้รับการเสียสละจากเสื้อผ้าในห่อผ้า จี้หยวนใช้ผ้าจากเสื้อสีเขียวพันมันแล้วสะพายไว้ข้างหลัง กล่องไม้หนานมู่หนักอึ้งที่มีขนาดเท่ากล่องรองเท้าไม่สะดวกอยู่ในห่อผ้า ทำได้แค่ถือไว้บนมือแล้วเดินไป
ก่อนหน้านี้แม้จี้หยวนจะเร่งเดินทางชนิดเดินๆ หยุดๆ แต่สุดท้ายก็ยังคิดถึงสิ่งที่จอมยุทธ์จั่วทิ้งไว้ องค์ประกอบของการเร่งเดินทางจึงเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้ในเมื่อได้ตำราลับและกระบี่ล้ำค่ามาแล้ว จี้หยวนยิ่งวางใจลงไม่น้อย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเมื่อตอนเรียนประถม ที่ทำการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนเสร็จก่อนที่ปิดเทอมฤดูร้อนจะจบลง
ดูจากเทียบเจตกระบี่ บ้านเกิดของจั่วหลีอยู่ที่จังหวัดจวินเทียนแห่งรัฐอี๋ เติบใหญ่ที่จังหวัดจวินเทียน
โบราณกล่าวว่าคนจนใช้วาจา คนรวยใช้กำลัง สิ่งที่ทำให้จั่วหลีสัมผัสกับวิชาวรยุทธ์อย่างอิสระ และทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ได้ นอกจากตัวจั่วหลีเองเป็นผู้มีพรสวรรค์แล้ว ตระกูลจั่วจะต้องเป็นตระกูลใหญ่ด้วยอย่างแน่นอน
หากลองถอยไปก้าวหนึ่ง จั่วขวงถูน่าจะยังพอมีชื่อเสียงอยู่ในจังหวัดจวินเทียน ไม่รู้ว่าตอนนี้ตระกูลจั่วเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากจั่วหลีเร้นกายและจากโลกนี้ไปก็น่าจะมีช่วงเวลาที่ถูกจอมยุทธ์ขี้แพ้มารังแกบ้าง
เดินมุ่งหน้าตามทางหลวงไปเรื่อยๆ ฝีเท้าของจี้หยวนยังคงอยู่ในสภาวะดูเหมือนก้าวย่างอย่างเชื่องช้า แต่ความจริงก้าวขายาวมากเสมอ ฝ่าเท้าห่างพื้นไม่มาก นี่ไม่เพียงต้องใช้ความรู้เรื่องวรยุทธ์ระดับลึกซึ้งเท่านั้น จะทำให้ได้แบบจี้หยวนยิ่งต้องชักนำเจตจำนงของมังกรเหิน ความขัดแย้งของการเดินช้าๆ แต่ความจริงเดินด้วยความเร็วสูงไปข้างหน้าเช่นนี้ หากคนอื่นเห็นเข้าอาจจะเกิดความเข้าใจผิดอย่างหดดินหนึ่งชุ่น[1]ขึ้นได้
เดินทางหนึ่งคืนและผ่านไปอีกครึ่งวัน มองเห็นแสงแรกและดวงอาทิตย์เจิดจ้าหลังเที่ยงวัน เขาท้องเตี้ยถูกจี้หยวนทิ้งระยะห่างไกลมากอยู่ข้างหลังแล้ว
หลังจากเดินอยู่นานขนาดนั้น ในที่สุดในหูก็ได้ยินเสียงคนเดินถนนดังมาแต่ไกล น่าจะเป็นคนเดินถนนอีกกลุ่มหนึ่ง
จี้หยวนถอนใจเสียงหนึ่ง ทางหลวงข้างหน้าน่าจะเป็นสถานที่ที่มีคนรวมตัวกันหนาแน่นแล้ว เขาจึงผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ใช้ความเร็วที่เร็วกว่าคนทั่วไปเร่งเดินทางไปข้างหน้า
ไกลออกไปเล็กน้อยมีคนสี่คนกำลังเดินไปพลาง สนทนากันไปพลาง ฟังจากคำพูดของพวกเขาแล้วน่าจะเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านใดสักแห่งหนึ่งแถวนี้ เหมือนกับกำลังจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเสียด้วย
“ได้ยินมาว่าเพื่อครั้งนี้ ในบ้านฆ่าแกะสองตัวและหมูอีกหนึ่งตัว ต้องมีเนื้อให้กินเยอะแยะแน่!”
“ไม่ต้องพูดแล้วๆ พูดจนข้าน้ำลายไหลออกมาแล้วเนี่ย!”
เมื่อฟังที่คนข้างหน้าพูด ข้างๆ ก็มีคนกลืนน้ำลายเหมือนกัน พวกเขากินดื่มได้อย่างอิสระเฉพาะในงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้เท่านั้น
“เจ้าหนูจ้าวตงมู่ก็มีโชคเหมือนกันนะ ได้แต่งกับสาวงามจากหมู่บ้านข้างๆ อยู่ในระดับแนวหน้าเหมือนกับบุรุษที่ทำไร่ไถนาทีเดียว!”
“จริงด้วย มีคนตั้งเท่าไหร่ที่บอกว่าการดูตัวล่มไม่เป็นท่า โชคเข้าข้างเขาแล้วจริงๆ!”
คนข้างๆ เห็นด้วย
“เดินเร็วหน่อยเถอะๆ ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว พวกเราต้องรีบกลับไป ไม่เช่นนั้นลุงจ้าวน่าจะต้องร้อนใจเป็นแน่แท้!”
“อืม อีกเดี๋ยวจะเริ่มกินกันแล้ว หากสุราไม่พอลุงจ้าวต้องตำหนิพวกเราแน่นอน!”
“นี่ๆ วางใจเถอะ ไปทันแน่นอน อีกเดี๋ยวพวกเราสี่คนจะได้ถืออั่งเปาดวงดีด้วยนะ”
“ฮ่าๆๆ ข้าคิดถึงแต่เรื่องกิน ลุงจ้าวออกโรงเองเช่นนี้เป็นลาภปากแล้ว!”
“ฮ่าๆ จริงของเจ้า”
…
ทั้งสี่คนเดินไปด้วย คุยเล่นกันไปด้วย ฟังจากการหายใจและน้ำหนักฝีเท้าน่าจะแบกของหนักเอาไว้ด้วย
จี้หยวนเดินเข้าไปใกล้แล้ว ถึงมองเห็นได้รางๆ ว่าน่าจะเป็นสองคนช่วยกันแบกไหหนึ่งไห จากบทสนทนาก่อนหน้านี้พอจะเดาได้ว่าเป็นไหบรรจุสุรา
งานเลี้ยงหรือ ต้องไปกินข้าวด้วยสักหน่อยหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าตัวเองจะไม่ให้อั่งเปาเสียหน่อย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้หยวนเร่งฝีเท้าขึ้นแล้ว อีกทั้งส่งเสียงเรียกเป็นอันดับแรก
“พี่ชายหลายท่านข้างหน้า…เดินช้าหน่อยเถอะ…!”
สี่คนที่กำลังยกสุราข้างหน้าได้ยินเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ต่างก็ผ่อนฝีเท้าลงและหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นมีคนท่าทางเหมือนปัญญาชนสวมเสื้อแขนกว้างและชุดคลุมยาวเร่งมาทางนี้จากถนนหลวงข้างหลัง มือหนึ่งหนีบร่ม อีกมือหนึ่งหนึ่งถือกล่องไม่ใบหนึ่งเอาไว้
จี้หยวนทำท่าเหมือนหอบหายใจอยู่บ้าง บนใบหน้ามีเหงื่อผุดเล็กน้อย
“พี่ชายทั้งหลาย ข้าเร่งเดินทางมานานแล้ว ข้างหน้าไม่มีหมู่บ้าน ข้างหลังไม่มีร้านค้า แต่ในที่สุดก็เจอคน อีกสองชั่วยามฟ้าถึงจะสว่าง ถนนเส้นนี้วังเวงเหลือเกิน!”
“โอ้ ท่านมาจากที่ใดหรือ”
พวกเขาแค่เดินช้าลงให้จี้หยวนตามทัน แต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า
“ข้ามาจากอำเภอหย่งไท่ กำลังจะไปจังหวัดจวินเทียน”
“อย่างนั้นหรือ! เส้นทางนี้ห่างกับสถานที่ที่จะไปไกลทีเดียว ท่านเดินทางคนเดียวใจกล้าไม่เบาเลยนะ!”
จี้หยวนเพียงหัวเราะ
“จริงสิ พวกเจ้าเป็นชาวบ้านแถวนี้ใช่หรือไม่ ให้ข้าไปดื่มน้ำและกินข้าวเย็นสักมื้อได้หรือไม่ ข้าจะจ่ายค่าที่พักให้!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชาวบ้านหนุ่มหลายคนย่อมเชิญจี้หยวนไปที่บ้านตระกูลจ้าว
“ท่านผู้นี้ ถ้าท่านไม่รังเกียจก็ตามพวกข้าไปที่บ้านตระกูลจ้าวเถอะ ในบ้านกำลังจัดงานเลี้ยง ดูท่าเจ้าเหมือนปัญญาชนคนหนึ่ง ลุงจ้าวจะต้องอยากให้เจ้าร่วมงานเลี้ยงด้วยกันแน่”
“ใช่แล้ว แต่เจ้าต้องรีบหน่อยนะ พวกข้ากำลังรีบกลับไป สุราที่บ้านลุงจ้าวไม่ค่อยพอ กำลังรอไหขนาดใหญ่สองไหนี้อยู่”
“ได้ๆ ข้ามั่นใจในฝีเท้าของตัวเองทีเดียว พวกพี่ชายเดินต่อไปเถอะ ข้าตามทันแน่!”
จี้หยวนยิ้มพลางเดินเร็วๆ เดินเข้าไปใกล้พวกเขามากยิ่งขึ้น คาดหวังอยู่บ้างว่าหมู่บ้านทางนี้มีอาหารขึ้นชื่ออะไรบ้างหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสชวนชายหนุ่มพวกนี้คุยเล่นเป็นการตีสนิท
“เหตุใดพวกเจ้าไม่ใช่รถเทียมวัวเล่า แบกเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือ”
“พวกข้าปีนเขาไปซื้อสุราจากเมืองบนเขาหมวกเหล็ก ใช้รถเทียมวัวไม่สะดวก ใช้คนแบกยังจะเร็วเสียกว่า!”
“โอ้ คงเดินทางไกลมากกระมัง”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้ เดินมานานแล้วแหละ!”
ชายหนุ่มหลายคนก็เป็นคนช่างพูดเหมือนกัน หลังจากแน่ใจแล้วว่าจี้หยวนเป็นผู้รู้หนังสือที่อ่านออกเขียนได้ อีกทั้งเคยไปสถานที่ที่อยู่ไกลโพ้นอย่างรัฐจีก็ยังเบิกบานใจ ต่างพูดว่าลุงจ้าวจะต้องเชิญเขาดื่มสุรามงคลแน่นอน
เดินไปคุยไปเช่นนี้ บวกกับจี้หยวนรู้จักพูด จึงคุ้นเคยกับสี่คนนี้มากขึ้นไม่น้อย
ความอ้างว้างตลอดทางลดน้อยลง ที่นาและคูคลองยิ่งมายิ่งมากขึ้น ยิ่งมายิ่งหนาแน่นขึ้น
หลังจากเดินไปตามทางขนาดเล็ก ออกจากถนนหลวงและเดินไปอีกครึ่งเค่อกว่า มองเห็นเค้าโครงของบ้านตระกูลจ้าวอยู่ข้างหน้าแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังชะเง้อมองมาทางถนน และเห็นสี่คนกลับมาแล้ว
“ไอ้หยา ไยพวกเจ้าเพิ่งกลับมา ขืนช้ากว่านี้อีกนิดเดียวงานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว!”
จากนั้นเขาพลันพบว่าจี้หยวนก็อยู่ด้วย จึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านนี้คือ?”
จี้หยวนย่อมรีบประสานมือ
“ข้ามีนามว่าจี้หยวน ผ่านทางมาแถวนี้ ฟ้ามืดแล้วจึงคิดขอน้ำ อาหาร และที่พักสักคืน”
“ลุงรอง ท่านจี้ผู้นี้เป็นปัญญาชนมาจากรัฐจีเชียวนะ!”
มีชายหนุ่มรีบเอ่ยเตือน จากนั้นมองการแต่งกายของจี้หยวนที่แม้จะติดดิน แต่กลับสง่างามก็เชื่อแล้วหลายส่วน ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริงก็ไม่อาจไล่คนไปในวันมงคลของตระกูลเช่นนี้
“อืม…ท่านมาไกลขนาดนี้เชียว วันนี้เป็นวันมงคล มาดื่มสุรามงคลถือว่าเหมาะเจาะทีเดียว มาๆๆ…”
คนผู้นั้นประสานมือให้จี้หยวนแล้วก็ยื่นมือเชื้อเชิญ
“รบกวนแล้วๆ!”
ทั้งหกคนต่างก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมด้วยความเกรงใจ ข้างในครึกครื้นรื่นเริง เจ้าบ่าวและเจ้าสาวบูชาฟ้าดินตามฤกษ์ดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านนอกและด้านในกำแพงของลานบ้านแห่งหนึ่งจัดวางโต๊ะไว้ยี่สิบกว่าตัว โต๊ะทรงกลมหรือเหลี่ยมล้วนมีทั้งสิ้น ทั่วบริเวณตกแต่งด้วยสีแดง ตัวอักษรซวงสี่มีให้เห็นทั่วไป พวกชาวบ้านต่างก็คุยเล่นและกินเลี้ยงกันอย่างมีความสุข ผู้อาวุโสสิบกว่าคนง่วนอยู่กับการล้างผักและต้มผัดแกงทอด บรรยากาศอบอุ่นมาก
“มีแขกมาเยือน…”
เสียงข้างในดังมาก ไม่นานเท่าไรนัก เจ้าของงานมงคลข้างในก็รู้ฐานะของแขกผู้เดินทางมาไกลอย่างจี้หยวน จึงเข้ามาไถ่ถามเป็นการเฉพาะ อีกทั้งให้จี้หยวนเข้าสู่ใจกลางงานเลี้ยงอีกด้วย
แม้ท้องฟ้าจะยังสว่างโร่ แต่ยุคนี้ไม่มีหลอดไฟ เมื่ออยู่กลางแจ้งเช่นนี้ต้องจัดงานเลี้ยงก่อนมืดอย่างแน่นอน
งานเลี้ยงนี้ยังไม่เริ่มต้นขึ้น จี้หยวนนั่งอยู่โต๊ะตรงริมงาน ถึงส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ไม่รู้จัก ทว่ามีชายหนุ่มที่ยกสุรากลับมานั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย คอยชวนจี้หยวนคุยไม่หยุด ถามเรื่องราวทางฝั่งรัฐจี โหยหาโลกข้างนอกหมู่บ้านเต็มที่
ขณะพูดคุยกัน ทางฝั่งเรือนหลักมีเสียงหัวเราะดังมาระลอกหนึ่ง จี้หยวนได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “เขียนผิดแล้วๆ เหตุใดเขียนทางฝั่งซ้ายมากกว่าฝั่งขวาสองตัวเล่า”
อีกทั้งมีเสียงบ่นว่า “เลอะเลือนแล้วๆ…” อีกด้วย
“เมื่อครู่มีปัญญาชนมาจากนอกหมู่บ้านไม่ใช่หรือ เขาเขียนหนังสือเป็นหรือไม่ ให้เขาเขียนดีกว่ากระมัง”
“จริงด้วยๆ ท่านผู้นั้นคล้ายกับเป็นอาจารย์จากในอำเภอ จะต้องรู้หนังสือเป็นแน่!”
“ลุงจ้าวรีบไปเชิญท่านผู้นั้นเถอะ!”
เขียนกลอนมงคลก่อนเริ่มงานเลี้ยงเป็นประเพณีของที่นี่ หากไม่ใช่เพราะเงินไม่พอ ครอบครัวมีหน้ามีตาจัดงานมงคลสมรสล้วนไม่อาจขาดไปได้
เสียงทางนั้นดังขึ้น ชายหนุ่มหลายคนและชายฉกรรจ์ค่อนข้างมีอายุเดินมาหาจี้หยวน บนใบหน้าแต้มรอยยิ้มเขินอาย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร จี้หยวนก็ยิ้มและลุกขึ้นยืนแล้ว
“จะเขียนกลอนมงคลใช่หรือไม่ ให้ข้าคนแซ่จี้เขียนกลอนบทหนึ่งแทนการขอบคุณสุรามงคลจากท่านจ้าวดีกว่า”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง!”
“ไปเร็วๆ ดูท่านจี้เขียนกลอนมงคลดีกว่า!”
“ข้าก็อยากดูด้วย!”
ทั้งบ้านตระกูลจ้าวมีแค่หัวหน้าหมู่บ้านชราที่รู้หนังสือ ก่อนหน้านี้มีเรื่องใหญ่อะไรต้องเขียนหนังสือล้วนให้หัวหน้าหมู่บ้านจัดการ ถึงจะไม่ค่อยมีน้ำหมึกสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เขียนหนังสือชัดเจน กระนั้นตอนนี้สายตาฝ้าฟางขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จี้หยวนได้รับอิทธิพลจากความเรียบง่ายและกระตือรือร้นของชาวบ้าน มีแรงบันดาลใจสูงมากอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเดินไปถึงโต๊ะแปดเซียนของเรือนหลัก เห็นกระดาษสีแดงที่ตัดแล้วหลายแผ่น มีตัวหนังสือสองแถวที่เขียนลงบนกระดาษอย่างถูกหลักเกณฑ์ ข้างซ้ายคือ ‘คู่แต่งงานใหม่มีแต่ความสุข’ ข้างขวาคือ ‘ให้กำเนิดเด็กจ้ำม่ำโดยเร็ว’ คำว่า ‘เด็ก’ อาจจะใหญ่กว่าตัวหนังสือตัวอื่นไม่น้อย ทำให้จี้หยวนเกิดรอยยิ้มเช่นกัน
“ท่านจี้ พู่กัน!”
จี้หยวนมองครั้งหนึ่ง เจ้าบ่าวสวมชุดสีแดงฉานผูกดอกไม้ผ้าแดงส่งพู่กันให้ด้วยตัวเอง มีท่าทีเป็นสุขอย่างแท้จริง
“เจ้าบ่าวดูดียิ่งนัก!”
จี้หยวนถือพู่กันด้วยมือขวา มือซ้ายถกแขนเสื้อขึ้น วาดพู่กันลงบนกระดาษสีแดงราบเรียบเป็นกลอนมงคล
‘รักกันไปอีกร้อยปีตลอดไป’
‘ห่างกันพันลี้อย่างไรก็ได้เคียงคู่’
จากนั้นเขาก็ขยับไปหากระดาษสีแดงที่วางอยู่ข้างๆ เขียนอีกว่า ‘คู่แต่งงานใหม่จงมีความสุข’
ตวัดพู่กันดุจมังกรเหิน ความหมายหนักแน่นซึมผ่านกระดาษ ยิ่งมีปราณวิญญาณสายหนึ่งซุกซ่อนอยู่โดยที่ตาเนื้อของคนธรรมดามองไม่เห็น
ขณะเขียนอยู่นั้น หัวหน้าหมู่บ้านชราที่อยู่ข้างๆ ก็คอยอ่านออกมาเสียงดัง ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้หนังสือ แต่ก็มองออกว่าลายมือของท่านจี้งดงามเป็นพิเศษ เป็นตัวหนังสือที่ดีอย่างแน่นอน
เด็กที่อยู่ข้างๆ ปรบมืออย่างต่อเนื่อง ผู้ใหญ่ก็ร้องว่าดีกันถ้วนหน้าเช่นกัน
ชายชราตระกูลจ้าวผู้นั้นดึงดันจูงจี้หยวนไปที่ยังที่นั่งประธาน ภายใต้การเร่งเร้าจากคนรอบข้าง ในที่สุดงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นแล้ว แต่ละคนต่างก็เริ่มยกอาหารออกมาจากในครัว
“เริ่มงานเลี้ยงได้…”
เสียงเพื่อนเจ้าบ่าวโห่ร้องดังขึ้น ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็นทอสีแดงเจิดจ้า งานเลี้ยงวันมงคลเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
จี้หยวนเบิกตาโตครั้งหนึ่ง มองข้างในและข้างนอกงานเลี้ยงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ‘กลิ่นอายแห่งความสุข’ ลอยสูงขึ้น เมื่อติดกลอนมงคลแล้วยิ่งเป็นเช่นนั้น
เขาจับตัวหมากในแขนเสื้อเพราะหัวใจกระตุกวูบ มีกลิ่นอายแห่งความสุขที่กำลังจะสลายไปรวมตัวกันอีกครั้ง กำลังมุ่งมาทางตัวหมาก
“ดีๆๆ บรรยากาศดี!”
กระบี่เครือเขียวที่อยู่ในห่อผ้าและสะพายอยู่ข้างหลังตลอดก็มีจิตวิญญาณไหลเวียนเช่นกัน
[1] หดดินหนึ่งชุ่น หมายถึง การใช้พลังหดพื้นดินให้เล็กลง เพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นในระยะทางไกล