ตอนที่ 105 คนแปรหมาก
ต่อให้เดินโซซัดโซเซ แต่จี้หยวนกลับเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ
‘พิบัติเคราะห์… พิบัติเคราะห์…’
ยามความคิดปั่นป่วนจี้หยวนเดินโซเซไปข้างหน้า ไร้จุดหมายเหมือนวิญญาณเร่ร่อน ความเจ็บปวดสาหัสของดวงตาทั้งสองไม่มีสัญญาณว่าจะบรรเทา สายตาซึ่งเดิมเลือนรางยิ่งปกคลุมด้วยสีโลหิตชั้นหนึ่ง
มือขวาจี้หยวนกดดวงตาทั้งสองแน่น คล้ายว่าหากไม่ทำเช่นนี้ดวงตาจะระเบิด
สภาพร่างกายแย่มาก แต่สมองจี้หยวนกลับพยายามใคร่ครวญความรู้ทั้งชีวิตจากสองชาติเต็มกำลัง มุ่งหวังว่าจะเจอคำตอบ เข้าใจกระดานหมากฟ้าดินและวิธีคลี่คลาย
ในใจความคิดสับสน ร่างกายระหกระเหินพร้อมนัยน์ตาแดงก่ำไร้แวว จี้หยวนซวนเซพุ่งชนข้าวของอยู่บนถนนจังหวัดจวินเทียน จิตใต้สำนึกตามหาของอย่างหนึ่ง แต่หาอะไรตัวเขาเองก็อยากรู้แน่ชัด
‘ต้องมีแน่ๆ…’
ทันใดนั้นเขาพบว่าแผงลอยข้างทางแห่งหนึ่งมีหมากล้อมวางขายอยู่ ความคิดกระจ่างแจ้งชั่วพริบตา จี้หยวนพุ่งตรงเข้าไปคว้ากระดานหมากกับกล่องตัวหมากจากไป แม้แต่เงินก็ยังไม่ได้จ่าย
“เฮ้ยๆๆ เจ้า… ปล้นหมากของข้า…”
พ่อค้าเร่ซึ่งเดิมไม่ตื่นตัวอะไรเห็นว่ามีคนปล้นของ เขาตอบสนองทันที แต่กลับถูกท่าทางน่ากลัวดวงตาสีเทาหลั่งเลือดของจี้หยวนทำให้ตกใจ จากเสียงแข็งเป็นแผ่วเบา ถึงขั้นไม่กล้าตามไปชิงกระดานหมากและกล่องตัวหมากกลับมา
“ฮู่… ฮู่… ฮะ ฮู่…”
จี้หยวนลมหายใจสั่นสะท้าน พึมพำประโยคหนึ่งในใจอย่างขาดสติอยู่บ้าง
‘เราคือคนวางหมาก… เราคือคนวางหมาก…’
จี้หยวนซึ่งเหมือนมารคลั่งวิ่งโซเซออกจากเมือง เห็นชัดว่าการทรงตัวไม่เสถียร แต่กลับเร่งฝีเท้าต่อเนื่อง สุดท้ายยิ่งเกือบกลายเป็นเสี้ยวเงา พุ่งตรงเข้าป่าเขารกร้าง
ห้อตะบึงข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน กระทั่งมุ่งตรงออกจากจังหวัดจวินเทียนมาสามร้อยกว่าลี้ พุ่งขึ้นเขาสมดุลเวิ้งว้างร้างผู้คน ตลอดทางไม่สนเถาวัลย์พุ่มหนามต้นหญ้ารกชัฏ ตรงไหนรกร้างวิ่งไปตรงนั้น
จี้หยวนวิ่งพล่านอยู่กลางป่าเขาครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้ามีถ้ำผนังหินลึกไม่เกินสองจั้งแห่งหนึ่ง คล้ายเจอดาวช่วยชีวิตทันที เขากอดกระดานหมากพุ่งตัวไปทางนั้น
ฝีเท้าซวนเซก้าวเข้าไปในถ้ำ ผ่อนมือวางกระบี่เครือเขียวข้างถ้ำ วางกระดานหมากกับกล่องตัวหมากลง จี้หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นเหมือนมารเขลา สลัดภาพและความหวาดกลัวเต็มสมองก่อนหน้านี้ไม่ออก
เขาเปิดกล่องตัวหมากพลางหยิบหมากดำหมากขาวออกมา ตรงหน้าไม่ใช่กระดานหมากธรรมดาอีก แต่เป็นอานุภาพฟ้าดินตามเจตจำนง เมื่อวางตัวหมากลงดังเผียะ เขตแดนพาดขวางกลางอากาศอีกครั้ง จี้หยวนเริ่มเดินหมากเพื่อแปรหมาก
เมื่อหยั่งรู้การเปลี่ยนแปลงฟ้าดินครั้งใหญ่ จี้หยวนไม่อาจทั้งไม่กล้าบอกใครโดยสิ้นเชิง
เขามีสัญชาตญาณค่อนข้างแม่นยำอย่างหนึ่ง สิ่งที่คนเล่นหมากอย่างตนรู้คือการเปลี่ยนแปลงของโลก สิ่งที่ปฏิบัติคือการลักฟ้าแลกตะวันสร้างชื่อทั่วฟ้าดิน ถ้าบอกความจริงกับคนอื่น จุดจบคงอนาถกว่านักพรตชิงซงหลายเท่านัก เกรงว่าเขาคนแซ่จี้รวมถึงผู้ฟังเรื่องนี้คงกลายเป็นเถ้าธุลีทันที!
แรงกดดันหนักหน่วงราวกับภูผาสูงตระหง่าน กดดันจนจี้หยวนหายใจไม่สะดวก เขาต้องหาคำตอบเอง ไม่อาจร้องขอจากผู้ใด!
ตอนอยู่กลางลานเรือนสันติอำเภอหนิงอัน จี้หยวนเล่นหมากกับอิ๋นจ้าวเซียน ครึ่งวันเล่นหลายกระดาน แต่ตอนนี้ทุกตัวหมากล้วนผ่านการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วนท่ามกลางพลังขับเคลื่อนในเขตแดนภูผาธารา ฉายภาพกระดานหมากฟ้าดินเลือนรางบนกระดานหมากล้อมตรงหน้าแล้ว การวางหมากหนึ่งตัวก็เหมือนการแบกภูเขาลูกหนึ่ง
เตาโอสถกลางเขตแดนเปลวไฟลุกโชนอยู่ตลอด โคจรพลังภายในกายอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดแม้เพียงครู่ เพียงเพื่อประคองการแปรหมากครั้งนี้จนจบ
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงทางเวลาไม่มีความหมายต่อการรับรู้ของจี้หยวน แต่กลับเผยชัดเจนบนร่างกาย
ดาราเคลื่อนคล้อย จันทราเด่นตะวันลับ ฝนอสนีคลื่นลม อาทิตย์ยามเช้าหมอกสายัณห์…
ต่อให้สภาวะจิตและเจตจำนงตอนนี้ช้ามากเป็นพิเศษ แต่จี้หยวนกลับซูบผอมลงเรื่อยๆ…
คืนวันหนึ่ง
บรู๊ว…
มีเสียงหมาป่าหอนชวนรันทดดังอยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นไม่นานหมาป่าโดดเดี่ยวแก่หง่อมซึ่งถูกขับออกจากฝูงตัวหนึ่งเข้าใกล้ถ้ำหินกลางป่าอย่างระวัง เห็นคนผู้หนึ่งนั่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
คนผู้นั้นตัวแน่นิ่งไม่ไหวติง มือหนีบตัวหมากลอยอยู่เหนือกระดานหมาก เสื้อผ้าบนตัวมอมแมมอยู่บ้าง กิ่งใบร่วงหล่นกองสุมข้างกาย
กรร…
หมาป่าเฒ่าหมอบตัวเข้าใกล้ถ้ำอย่างระวัง ยามแยกเขี้ยวยังมีน้ำลายหยด
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวซึ่งพิงอยู่นอกผนังถ้ำส่งเสียงครวญขึ้นมาเอง คมกระบี่โผล่ออกจากฝักแค่ไม่ถึงครึ่งชุ่น แสงเยียบเย็นของกระบี่ทำให้หมาป่าเฒ่าราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
หงิง… หงิงๆ…
หมาป่าเฒ่าซึ่งตกใจอย่างมากม้วนหางหนีหัวซุกหัวซุน…
…
ต้าเจินหยวนเต๋อปีสิบห้า ภายในสำนักศึกษาอำเภอหนิงอัน วันนี้ไม่มีเสียงอ่านตำรา
บรรดาศิษย์ในห้องเรียนโตขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หนึ่งไตรมาส นอกจากแยกย้ายกลับบ้านไปใช้ชีวิตแล้ว ศิษย์ที่เหลือต่างได้รับโอกาสเลื่อนชั้นเรียน มุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาบางแห่งของจังหวัดเต๋อเซิ่ง
ยามนี้เหล่าศิษย์น้อยภายในห้องเด็กสุดคือเจ็ดปี อายุมากสุดสิบหกปี ทั้งหมดล้วนมองอาจารย์ของตนด้วยสายตาเทิดทูนและอาวรณ์ อิ๋นชิงที่อายุสิบห้าปีนั่งตัวตรงอยู่ในนั้นเช่นกัน
อิ๋นจ้าวเซียนไม่พูดจา ถือพู่กันเขียนบทความอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์ ผ่านไปนานกว่าจะเขียนบทหนึ่งเสร็จ เขาเป่าลมแผ่วเบาสองสามครั้ง ทำให้หมึกเขียนแห้งเร็วขึ้น จากนั้นค่อยวางลงข้างโต๊ะ
เห็นว่าตัวอักษรบนกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งวางอยู่เหนือตำราบนโต๊ะแห้งแล้ว เขาหยิบมาพับทบอย่างระวัง ใส่เข้าไปในซองจดหมาย จากนั้นค่อยหยิบพู่กันเขียนลงบนซองว่า ‘อาจารย์มอบให้ตู้หมิง’
เมื่อเขียนเสร็จเขาผนึกซองจดหมายวางลงด้านข้าง ซ้อนทับบนซองกระดาษหนาเป็นตั้งบนโต๊ะนั่น
เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ อิ๋นจ้าวเซียนหยิบพู่กันอีกครั้ง จุ่มน้ำหมึกเริ่มเขียนฉบับต่อไป
วันนี้อาจารย์อิ๋นแห่งสำนักศึกษาอำเภอหนิงอันต้องการเขียนจดหมายหนึ่งฉบับมอบให้ศิษย์ทุกคน คล้ายจดหมายซึ่งศิษย์ผู้พักการเรียนกลับบ้านพวกนั้นได้รับก่อนจากไป และคล้ายจดหมายซึ่งศิษย์ผู้ไปเรียนต่อสำนักศึกษาที่ห่างไกลพวกนั้นได้รับก่อนลาจาก
ทั้งห้องเรียนเงียบสนิท ไม่มีเด็กคนใดรบกวนอาจารย์ของตนเขียนอักษร นั่งด้วยความเคารพนับถือไม่มีใครกระซิบกระซาบ
วินัยห้องเรียนเช่นนี้เป็นความเคารพจากก้นบึ้งหัวใจ ตอนนี้ความน่าเกรงขามของอาจารย์อิ๋นจ้าวเซียนไม่ต้องการบรรทัดทัณฑ์ บรรทัดทัณฑ์ของสำนักศึกษาอำเภอหนิงอันเลือนหายไปนานแล้ว
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม อิ๋นจ้าวเซียนวางพู่กันพลางเก็บเข้าชั้น รอรอยหมึกบนกระดาษแผ่นสุดท้ายแห้งค่อยพับเข้าซอง
“เอาล่ะ จดหมายรวมหกสิบเจ็ดฉบับ ทั้งหมดล้วนเขียนเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวช่วงกวดวิชาค่อยส่งมอบให้พวกเจ้าทีละคน”
วิธีนี้อิ๋นจ้าวเซียนเอาอย่างจี้หยวนสหายคู่ใจของตน การรับรู้เองดียิ่งนัก ทำให้ศิษย์มีปณิธานอุดมคติแน่วแน่ไม่มากก็น้อย
บรรดาศิษย์ตรงหน้าต่างมองอิ๋นจ้าวเซียน มองจนอิ๋นจ้าวเซียนสงสารอยู่บ้าง เขาลุกขึ้นยิ้มน้อยๆ
“อ่านตำราอริยบุคคลเพราะเหตุใด แน่นอนว่าเพื่อตอบแทนใต้หล้า บนโลกปัจจุบันคิดผลักดันมรรคปราชญ์เมธีไม่ง่ายนัก ใช่ว่าข้าชาวบ้านคนเดียวจะทำสำเร็จ”
อิ๋นจ้าวเซียนหยิบ ‘วาทหมู่ปักษา’ ซึ่งเป็นตำราทำมือเล่มหนึ่งขึ้นมา
“อย่างน้อยอาจารย์ก็เคยได้อันดับสองของการเขียนบทความระดับเมืองเอก คราวนี้สอบใหม่ย่อมพยายามขึ้นอีกขั้น วันหน้าต้องสำแดงปณิธานในใจ อาจารย์อบรมคนนับร้อยพันทั้งชีวิต เป็นขุนนางสร้างสันติดูแลคนเรือนหมื่น!”
“อาจารย์… ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่าแวดวงราชการเหี้ยมโหดนัก การต่อสู้ราชสำนักตายไม่เห็นเลือด…”
เด็กชายวัยสิบสามคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องเรียนลังเลสักพักก่อนเอ่ยปาก นี่คือบุตรคนรองของเฉินเซิงนายอำเภอหนิงอัน นามว่าเฉินอวี้ชิง ทั้งเป็นหนึ่งในศิษย์ซึ่งอิ๋นจ้าวเซียนค่อนข้างชื่นชม
ความจริงสองปีมานี้อิ๋นจ้าวเซียนอาจารย์แห่งอำเภอหนิงอันมีชื่อเสียงในอำเภอใกล้เคียงรวมถึงสำนักศึกษาสองสามแห่งบ้างแล้ว สาเหตุเพราะเขามีแนวทางอบรมสั่งสอน ลูกศิษย์ซึ่งได้รับการสอนส่วนใหญ่เข้าใจตำราพร้อมความหมาย ทั้งมีความคิดเห็นเป็นเอกลักษณ์ เหล่าศิษย์อายุมากต่างอาศัยความสามารถและความคิดของตนสอบเข้าสำนักศึกษา
ทำให้มีคนต่างอำเภอส่งบุตรมาเรียนที่หนิงอันเป็นครั้งคราว ทั้งทำให้ศิษย์สำนักศึกษาเพิ่มขึ้นไม่น้อย
เฉินอวี้ชิงได้ยินบิดาเฉินเซิงวิจารณ์อาจารย์อิ๋นเมื่อปลายปีก่อน บอกว่าเขามีปณิธานยิ่งใหญ่แน่นอน ‘วาทหมู่ปักษา’ และ ‘ธรรมรู้แจ้ง’ แม้ว่ายังไม่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ตำราทั่วไป คนแบบนี้ยึดมั่นคุณธรรม มักพ่ายแพ้ราบคาบในแวดวงราชการ
คำพูดพวกนี้เฉินอวี้ชิงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนนี้เขากลับไม่กล้ากล่าวออกมา เกรงว่าพูดออกมาแล้วอาจารย์ของตนจะไม่กลับมาจริง
แน่นอนว่าอิ๋นจ้าวเซียนไม่รู้ความคิดซับซ้อนในสมองศิษย์ รับรู้แค่เหล่าลูกศิษย์อาวรณ์และเป็นห่วงตน ภายในใจรู้สึกอบอุ่น
“อืม แม้ว่าอาจารย์เป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง แต่เคยคุยเรื่องราชสำนักกับสหาย แน่นอนว่ามีความเข้าใจในเรื่องนี้บ้างบางส่วน แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล บางทีอาจารย์อาจมีความรู้ไม่พอจนถูกปัดตกก็เป็นได้!”
อิ๋นจ้าวเซียนกล่าวหยอกล้อประโยคหนึ่ง ทำให้ศิษย์ภายใต้การอบรมขบขัน แต่คนคิดจริงอาจมีแค่เหล่าศิษย์อายุน้อยสุด ในใจเด็กคนอื่นคิดว่าอาจารย์ของตนต้องสอบผ่านแน่
อิ๋นจ้าวเซียนถือตำราไพล่หลัง มองไผ่เขียวขจีกลางสวนนอกห้องเรียน ผ่านมาเก้าปีเข้าร่วมการสอบระดับเมืองเอกอีกครั้ง ตอนนี้ตนอายุสามสิบหกแล้ว ไม่ถือว่าอายุมากนัก แต่ไม่ใช่บัณฑิตหนุ่มอีกแล้ว
ทว่าครั้งนี้ความกระวนกระวายใจน้อยลงมาก
หลังจากเขียนบทความสองเล่มจบ อิ๋นจ้าวเซียนยิ่งรู้สึกว่าการสั่งสอนอบรมสำคัญ แต่การอบรมคนแค่ภายในสำนักศึกษาอิทธิพลน้อยเกินไป น้อยจนยากเปิดตัวตำราสองเล่มนี้