ตอนที่ 115 กระบี่เซียนลอยกลางอากาศ วายุดำสั่นสะเทือน
ย้อนเวลากลับไปกลางดึกวันก่อน
รัฐจี เขตเชื่อมจังหวัดชุนฮุ่ยกับจังหวัดตู้หมิงมีเขาช่องลมแห่งหนึ่ง ภายในมีหุบเขาลึกชื่อว่าเหววายุดำ ได้ชื่อมาเพราะยากเห็นแสงตะวันและลมภูเขาพัดผ่านนานปี
ต่อให้คนท้องถิ่นเข้าป่าก็ไม่มีทางไปที่นั่น ด้วยหากไม่ระวังลื่นตกเหววายุดำ ย่อมยากปีนกลับออกมาได้ ด้วยเหตุนี้คนเดินเขาซึ่งสิ้นชีพจึงมีไม่น้อย
ค่ำวันนี้ก้นเหววายุดำมีแสงสลัวหมุนวน ฮูหยินแดงซวนเซพุ่งออกมาจากชั้นดิน ยันต์เหลืองในมือซ้ายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ฮู่… อึก…”
ยกมือสั่นเทามองแขนขวาของตน เล็บไหม้เกรียมขดงอหมดแล้ว ด้านหลังเล็บรวมถึงแขนขวาดำไหม้ หลายจุดเผยกระดูกสีโลหิต บนตัวดำไหม้เกรียมไม่น้อย ความรู้สึกยิ่งเจ็บลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ
“ฮูหยินแดง? เจ้าเป็นอะไร”
คล้ายสัมผัสถึงปราณปีศาจปั่นป่วน มีเงาคนปรากฏ มองฮูหยินแดงซึ่งอนาถถึงขีดสุดอย่างตกตะลึง
“ฮู่… ฮู่… ไม่ระวังจนติดกับ รีบประคองข้าเข้าไป…”
ผู้มาเยือนไม่กล้าอืดอาด รีบประคองฮูหยินแดงเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งตรงก้นเหววายุดำ เมื่อเข้าไปในถ้ำกลับมีความเร้นลับแฝงซ่อน
กลางหมอกโลหิตอบอวลมีโพรงเขากว้างแห่งหนึ่ง แม้ว่าภายในไม่มีศาลาพลับพลา แต่ยังมีโต๊ะหินเก้าอี้หินทั้งมีพรมปูลาด ตรงทางถ้ำคดเคี้ยวยังมีห้องหับทุกเส้นทาง
“หืม?”
“ฮูหยินแดง?”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
“เทพหลักเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยนั่นมีฝีมือขนาดนี้เชียวหรือ”
“หรือว่าเป็นเจียวเฒ่าตัวนั้นลงมือ”
“ไม่มีทาง หากเจียวเฒ่านั่นลงมือ หึๆ เกรงว่าฮูหยินแดงคงไม่กลับมาแล้ว!”
เมื่อรับรู้ถึงพลังขับเคลื่อนของฮูหยินแดง ภายในถ้ำมีเสียงตกตะลึงมากมายดังขึ้น ล้วนตกใจว่าเหตุใดนางถึงบาดเจ็บหนักเช่นนี้
“ฮู่… อย่าเดาส่งเดช อาการบาดเจ็บนี้ส่วนหนึ่งมาจากเทพหลักเมืองจังหวัดชุนฮุ่ย แต่ส่วนใหญ่ติดกับบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว!”
“คนธรรมดา?”
“ไม่ผิด บัณฑิตนั่นครองปราณต้านทานยิ่งใหญ่จนแผ่กลิ่นอาย คิดว่าเคยได้รับวิชาป้องกันตัวอะไรจากผู้สูงส่งมรรคเซียน ข้าตะกละชั่วขณะ โดนเพลิงบางอย่างผลาญเพราะไม่ตรวจสอบ…”
หวนคิดถึงกำลังไฟนั่น ฮูหยินแดงนึกกลัวอยู่บ้างเช่นกัน แม้ว่าเพลิงนี้จะน่ากลัวแต่ใช่ว่าต้านทานไม่ได้ ต่อให้ตนไม่ทันตั้งตัวจนถูกซัดด้วยอานุภาพทั้งหมด แต่ก็แค่บาดเจ็บไม่มากไม่น้อย มีแค่ความเจ็บปวดจากการแผดเผาที่ยากเกินทน สลัดไม่หลุดตลอด
เพียงแต่พริบตานั้นฮูหยินแดงเหมือนเกิดภาพมายารางเลือน คล้ายว่าสิ่งที่ตนโดนเป็นแค่แสงเพลิงรอบนอกของทะเลเพลิงล้นฟ้าเท่านั้น
เห็นปราณปีศาจบ้างเก็บงำบ้างหยิ่งผยองโดยรอบมองมาทางนางจากแต่ละประตูห้อง คำถามซึ่งไม่ถึงขั้นเป็นมิตรพวกนั้นทำให้ฮูหยินแดงขายหน้าหงุดหงิด ก่อนเอ่ยถามชายด้านข้างที่ประคองตนมา
“ข้ากลับห้องรักษาบาดแผลก่อน ภายในถ้ำยังมีอาหารหรือไม่”
ตอนนี้ภายในถ้ำมีแสงโลหิตเล็กน้อย เห็นชัดว่าสว่างกว่าเหววายุดำด้านนอก ชายคนนั้นมีแค่ครึ่งหน้า ใบหน้าครึ่งล่างเป็นขนปุกปุย คล้ายสัตว์ป่ามีเขี้ยวบางชนิด
“ยังมีอีกสี่คน ล้วนซื้อมาจากพรรคบนยุทธภพจังหวัดติ้งหยวน สองคนในนั้นเป็นจอมยุทธ์ธรรมดา เลือดลมถือว่าเปี่ยมท้น”
หลอกใช้ความโลภและความไม่รู้ของปุถุชน มีวิธีหลบเลี่ยงการตรวจตราของวิญญาณเทพปฐพี เห็นชัดว่าปีศาจพวกนี้ไม่ใช่ภูตป่าเขาโลกแคบซึ่งลำบากฝึกปราณแสวงมรรคแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรก
“อืม ส่งมาห้องข้าทั้งหมด รอข้ารักษาตัวอีกหน่อย ค่อยไปหาอาหารใหม่ด้วยตัวเอง”
ฮูหยินแดงได้ยินว่ายังมีอีกสี่คนก็สบายใจ
“หึๆ ฮูหยินแดงต้องการแน่นอนว่าย่อมได้!”
ชายหนุ่มประคองร่างงามอ่อนช้อยเมื่อวันวาน ตอนนี้ฮูหยินแดงกลับหมดสภาพเดินเข้าส่วนลึกถ้ำสถิต มองส่งนางเข้าห้องเจือกลิ่นเครื่องแป้งค่อยจากไป
ส่วนลึกตรงทางแยกอีกฝั่งของถ้ำปีศาจมีห้องศิลาหนึ่ง ภายในห้องซึ่งกั้นด้วยประตูหินแน่นหนามีเหล่าหนุ่มสาวสีหน้าสิ้นหวังขดตัวอยู่ตรงมุมอย่างหดหู่
เดิมมียี่สิบคนถูกขังอยู่ที่นี่ ผ่านไปครึ่งเดือนเหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คน
ไม่มีอาหาร ทุกวันมีแค่น้ำสะอาดสองถัง แต่ความหิวโหยเป็นเรื่องรองแล้ว ความหวาดกลัวต่างหากที่เป็นสาเหตุหลักทรมานพวกเขาทุกวัน ด้วยพวกเขารู้แล้วว่าตนถูกปีศาจจับมา เดิมคิดว่าเป็นมารปีศาจกินคนไม่กะพริบตาซึ่งคนแก่เล่าลือกันปากต่อปาก
ก่อนหน้านี้คนที่ถูกพาไปไม่เคยกลับมา ไม่มีเสียงใดดังขึ้นเช่นกัน แต่จุดจบเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดมาก
แต่ใช่ว่าทุกคนล้วนตายเพราะปีศาจ มีสามคนกลัวจนทนไม่ไหวกระทั่งฆ่าตัวตาย
ติ๋ง… ติ๋ง… ติ๋ง…
หินย้อยเหนือห้องศิลามีเสียงน้ำดังทีละหยด กลับทำให้ห้องศิลามืดสลัวเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
ห่างออกไปมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทั้งสี่คนในห้องศิลาตึงเครียดทันที ลมหายใจสั่นระรัวเล็กน้อย
“ปะ ปีศาจมาแล้ว… ปีศาจมาแล้ว!”
“ฮือ… ฮือๆ…” “เฮือก… ข้าไม่อยากตาย…”
ปีศาจหน้าครึ่งคนตนนั้นเดินมาถึงนอกห้องศิลาแล้วมองเข้ามาด้านใน ได้กลิ่นปัสสาวะคละคลุ้งออกมา แต่เดิมห้องศิลาปิดสนิท ทุกวันการระบายไม่ถ่ายเท ไม่แน่ว่าอาจมีคนกลั้นไม่อยู่
“หึๆ”
ปีศาจหัวเราะพลางยื่นมือผลัก ประตูหินถูกเปิดออกเนิบช้า ครูดหินบนพื้นดังครืดจนเกิดประกายไฟ
“ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป วันนี้พวกเจ้าจะหลุดพ้นแล้ว…”
สายตากวาดมองจอมยุทธ์ชายสองคน ปีศาจครึ่งหน้าแสยะยิ้มอีกครั้ง
“ไม่แน่ว่าก่อนตายพวกเจ้าสองคนอาจได้เสพสุขหน่อย… เอ่อ ดูท่าว่าวันนี้คงไม่ค่อยมีโอกาส…”
ปีศาจครึ่งหน้านึกถึงสภาพของฮูหยินแดง เกรงว่าวันนี้คงไม่มีอารมณ์
ผ่านไปไม่นานหนุ่มสาวหมดสติสี่คนมาถึงห้องของฮูหยินแดง ฮูหยินแดงจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งสี่ รอชายครึ่งหน้านั่นจากไป นางก้าวมาข้างหน้าอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ฮูม…”
ฮูหยินแดงอ้าปากสูดกลืน เสียงสูดหายใจดังขึ้น หมอกสีเลือดลอยออกจากเจ็ดทวารของชายหญิงสี่คน พวกเขาซึ่งหมดสติมือเท้ากระตุกอยู่บนพื้น ผิวหนังแห้งเหี่ยวทีละน้อย การดิ้นรนอ่อนแอลงเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา พวกเขากลายเป็นซากไร้วิญญาณโดยสมบูรณ์ ภายในห้องฮูหยินแดงอบอวลด้วยหมอกสีเลือดเข้มข้น
นางนอนบนเตียงหินซึ่งปกคลุมด้วยหนังสัตว์ ฮูหยินแดงเริ่มสูดกลืนช้าๆ เหววายุดำมีปราณวิญญาณมากมายรวมตัวตรงถ้ำสถิต ทั้งลอยมาถึงห้องฮูหยินแดง
ปราณวิญญาณผสานหมอกเลือด รวมตัวเข้าสู่ร่างกายเมื่อปากเล็กแดงก่ำของฮูหยินแดงสูดลมอีกครั้ง ร่างไหม้เกรียมครึ่งซีกเริ่มอบอวลด้วยแสงโลหิตซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เหนือเขาช่องลมฟ้าสว่างแล้ว มุมดวงอาทิตย์ยิ่งลอยสูงขึ้นตามการล่วงเลยของเวลา แต่ส่วนลึกของหุบเขากลับมีปีศาจร้ายสิงสู่
กระทั่งเวลาล่วงมาถึงยามเว่ยช่วงบ่าย ในที่สุดฮูหยินแดงก็หยุดฝึกปราณเยียวยา ในถ้ำหมอกสีเลือดหายไปหมดแล้ว นางพอฝืนข่มความเจ็บปวดจากการแผดเผา หรือพูดว่าพอฝืนถึงขั้นทนต่อความเจ็บปวด
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจกลับกระสับกระส่ายอยู่รางๆ คล้ายเคราะห์ใหญ่ใกล้มาเยือน!
“หรือเกี่ยวข้องกับแผลจากเปลวเพลิงนี้”
สุดท้ายก็เป็นปีศาจกระดูกโลหิตซึ่งฝึกปราณมานานปี แม้ว่าเป็นวิญญาณร้ายจอมล่อลวงโดยสันดาน แต่ยังมีความรู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง
เทพหลักเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยนั่นมองยันต์อำพรางดำดินไม่ออก ย่อมไม่มีทางนำมาซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ เจียวเฒ่าในแม่น้ำตัวนั้นแต่ไหนแต่ไรไม่สนเรื่องนอกแม่น้ำ แม้มีตำแหน่งเทพแต่อย่างน้อยก็เป็นเผ่าปีศาจ อีกอย่างคือตอนนี้เจียวเฒ่านั่นคงยังไม่รู้เรื่องราว
…
กลางมรสุมเหนือฟ้าสูง กระบี่เซียนเครือเขียวล่องทะยานมาใกล้รัฐหนึ่ง บนฝักกระบี่สลักอักษรแปดคำ ‘วิญญาณก่อเกิดเครือเขียว ซ่อนคมประกายหมื่นจั้ง’ คำว่าซ่อนแฝงตัวกลางลำแสง เจตกระบี่พลุ่งพล่านอบอวลทั่วตัวกระบี่เหมือนคงอยู่จริง แหวกผ่านมรสุมรัศมีสิบจั้งโดยรอบ
…
ภายในถ้ำปีศาจ ความรู้สึกเด่นชัดในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้ฮูหยินแดงถึงขั้นไม่อาจนั่งเฉยแล้ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนไม่สนใจหน้าตา ออกจากห้องมานั่งหน้าโต๊ะหินตรงโถงถ้ำ
“ออกมาให้หมด ข้ามีเรื่องถามพวกเจ้า!”
ฮูหยินแดงตวาดคราหนึ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งมีเสียงดังมาจากแต่ละถ้ำสถิต
“หึๆ ฮูหยินแดงฟื้นตัวแล้วหรือ”
“ข้าว่าไม่แน่หรอก!”
“มีเรื่องอะไรกันแน่”
ปราณปีศาจสามสายแผ่อบอวล มีเงาคนสามสายมาถึงโถงถ้ำ สายตากวาดมองฮูหยินแดงซึ่งดูเหมือนฟื้นคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
“หึ อาหารฤดูกาลหน้าข้ารับผิดชอบเอง ตอนนี้อยากถามพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
ฮูหยินแดงพูดถึงตรงนี้ก่อนรำลึกพลางกล่าวอย่างครุ่นคิด
“พวกเจ้าเคยรู้จักเปลวเพลิงบางอย่าง ไม่เผาโต๊ะเก้าอี้เตียงไม้ ไม่เผาผ้าม่านหินดิน ตรงกลางเป็นสีแดงเจือเทาอ่อนหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ปีศาจด้านข้างเคยเห็นอาการบาดเจ็บของฮูหยินแดงเช่นกัน แต่ยังมองไม่ชัดอีกฝ่ายก็หลบเข้าห้องของตนแล้ว ตอนนี้ต่างสงสัยอยู่บ้าง
“มีเปลวเพลิงเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เพลิงสมาธิบางอย่างหรือ”
“แต่ไม่ทำลายวัตถุ?”
ปีศาจสามตนกล่าวคนละประโยค ฮูหยินแดงฟังถึงตรงนี้แล้วยิ้มหยันยกแขนขึ้น แขนเสื้อไหมลู่ลงจนเผยแขนขวาที่ยังไหม้เกรียม
“แบบนี้เรียกว่าไม่ทำลายวัตถุใช่หรือไม่”
เหล่าปีศาจนึกหาเหตุผลไม่ออกทันที
ปีศาจสาวอีกตนปิดปากหัวเราะ
“หรือฮูหยินแดงหวาดกลัว คิดว่าหาเรื่องผู้สูงส่งเซียนแท้ที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า หลบอยู่ต้าเจินมาหลายปี มีแค่เขาล้อมหยกที่ยังนับว่าเป็นจวนเซียน ไหนเลยจะ…”
ชิ้ง…
เวลานี้เหมือนเก้าชั้นฟ้ามีเงินกระทบ เสียงกระบี่ออกจากฝักพลันดังขึ้น ผ่านผนังหินทะลุถ้ำสถิตเข้ามา
เมื่อปีศาจสี่ตนได้ยินเสียงนี้ คล้ายนึกถึงความกลัวจนตัวสั่นงันงกยามเผชิญหน้ากับฟ้าคำรามวันฝนฟ้าคะนองตอนยังเป็นภูตตัวเล็ก
พวกมันขนพองสยองเกล้าเพียงชั่วขณะ แทบตอบสนองโดยสัญชาตญาณ ปราณปีศาจอบอวลล้นฟ้า ปีศาจสี่ตนต่างหลีกหลบไปสี่ทิศทางของโถงถ้ำ
ฟุ่บ…
จากมุมมองของปีศาจอีกสามตน พริบตาต่อมาแสงเงินเจิดจ้า
“สังหาร!”
เสียงเคร่งขรึมราวมรรคสวรรค์ ราบเรียบเหมือนพึมพำดังมาตามแสง…
เพียงไม่กี่ลมหายใจภายในถ้ำปีศาจไม่มืดสลัวอีก ด้วยผนังหินผาด้านบนถูกทะลวงเป็นช่องโหว่ยาวสิบกว่าจั้งกว้างหนึ่งจั้งแล้ว แสงแดดช่วงบ่ายสาดส่องเข้ามา
ปราณปีศาจของฮูหยินแดงหลอมละลายดุจหิมะ
ปีศาจแปลงกายสามตนหน้าหม่นแสงตัวสั่นเงยหน้าขึ้น บนฟ้าสูงร้อยจั้งกระบี่เซียนออกจากฝักเล่มหนึ่งจ่อมาทางเหววายุดำแต่ไกล ความดุดันของปลายกระบี่กับอานุภาพเจตกระบี่ทำให้ตะวันโชติช่วงหม่นแสง!