ตอนที่ 137 ฝีมือแก่กล้ากว่าเล็กน้อย
เทพใหญ่จากกรมต่างๆ สังกัดศาลหลักเมืองจังหวัดจิงจีออกมาหลายคน โดยเฉพาะเจ้ากรมหยินหยาง ดวงตาคู่นั้นตามรอยหยินหยาง มักจะทำให้วิญญาณชั่วร้ายทั้งหลายหลบเลี่ยงได้ยาก
จี้หยวนยืนอยู่ข้างๆ โรงสุราตรงมุมเยื้องกับศาลเทพหลักเมืองในตรอกศาลเจ้า เห็นโจวเนี่ยนเซิงที่ไร้ชีวิตชีวาถูกทูตดึงวิญญาณนำทางเข้าไปในเขตศาลเทพหลักเมืองและหายไป ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่สตรีในชุดกำมะหยี่สีขาวหนีไป
หลายครั้งมนุษย์ถูกปีศาจลวงจิตใจได้ง่าย มักจะต้องมนตร์ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ้นเปลืองปราณดั้งเดิมของตัวเองไปเปล่าๆ
ความจริงแล้วทีแรกจี้หยวนก็ไม่กล้าตัดสินใจว่าโจวเนี่ยนเซิงและรั่วเหนียงที่เขาเรียกนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหน ถึงอย่างไรเสียความรักสัตย์ซื่อระหว่างคนและปีศาจก็มีให้เห็นน้อยนัก ตำนานงูขาวเมื่อชาติก่อนก็เป็นแม่นางในชุดสีขาวล่อลวงเซียนไม่ใช่หรือ
ทว่าเมื่อถึงหน้าประตูศาลมืดแล้ว สิ่งที่ทำให้จี้หยวนซาบซึ้งอย่างแท้จริงคือสตรีนางนั้นบอกลาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ เปิดเผยความรู้สึกอันจริงแท้จนทำให้จี้หยวนแสดงอารมณ์บนสีหน้า และยอมเชื่อความรักระหว่างคนและปีศาจนี้
‘ศาลมืดจังหวัดจิงจี แตะต้องไม่ได้อยู่บ้าง…’
จี้หยวนหัวเราะเย้ยตัวเอง ก่อนจะก้าวออกจากร่างเสมือน แล้วมุ่งหน้าไปยังตรอกหยกทองราวกับมังกรเหิน
ร่างกายและจิตใจในเขตแดนเปิดกว้าง ไม่นานนักจี้หยวนก็กลับไปที่จวนตระกูลโจวอีกครั้ง
ภายในจวนตระกูลโจวตอนนี้ยังคงมีแต่เสียงร้องไห้ ทุกคนในตระกูลโจวล้วนยืนอยู่ข้างๆ เตียงโจวเนี่ยนเซิงด้วยความโศกเศร้า ข้ารับใช้สองคนกำลังถือโอกาสเปลี่ยนชุดผู้ล่วงลับให้โจวเนี่ยนเซิงก่อนศพจะแข็งตัว
ส่วนกายเนื้อของสตรีนางนั้นถูกวางไว้บนเสื่อฟางที่ปูไว้บนพื้นเป็นการชั่วคราว ไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเท่าไรนัก
‘คิดไม่ถึงเลยว่าเราจี้หยวนมีชื่อเสียงวีรบุรุษ แต่กลับจะขโมยศพเสียอย่างนั้น!’
ความคิดแวบผ่านในสมอง จี้หยวนไม่สนใจอะไรมาก ใช้วิชาบังตาพรางร่างกายแล้วก็พุ่งเข้าไปในเรือน สะบัดแขนเสื้อไปที่กายเนื้อของสตรีนางนั้น
ตอนที่กายเนื้อลอยขึ้น จี้หยวนรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แม้นางจะดูหนักเท่าๆ กับสตรีทั่วไป แต่กลับมอบความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ตาทิพย์ของเขาเบิกกว้างมองไป เยี่ยมมาก กายเนื้อในมือเป็นเพียงหางสีขาว นั่นหมายความว่าวิญญาณปีศาจที่ดูเหมือนถูกพาตัวไปเมื่อครู่ ความจริงแล้วไม่ใช่แค่วิญญาณ!
อุบายนี้หลอกได้แม้กระทั่งจี้หยวน แม้ก่อนหน้านี้จี้หยวนจะลืมตามองดูเพียงกึ่งหนึ่ง แม้อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่อย่างน้อยก็ทำให้จี้หยวนรู้สึกได้จากการสังเกตว่านางนับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง วิชาบังตาทั่วไปเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้จะตื่นตกใจ ทว่าจี้หยวนกลับไม่ได้สนใจอะไรมาก นำ ‘กายเนื้อ’ นี้จากไปทันที
เมื่อจี้หยวนจากไปอีกครั้ง กายเนื้อของสตรีนางนั้นลอยตามเขาและหายไปจากในห้อง
คนตระกูลโจวยังคงร้องไห้ มีข้ารับใช้พลันรู้สึกว่าร่างของสตรีนางนั้นหายไป จึงร้องเสียงดังขึ้นทันควัน
“ศพของฮูหยินไป๋รั่วหายไปแล้ว!”
“เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย หายไปได้อย่างไร!”
“เดิมก็เป็นปีศาจอยู่แล้ว หนีไปเองแล้วกระมัง!”
“ชู่…”
“วันนี้น่าขนลุกเกินไปแล้ว!”
“ตามข้าไปตามหานาง!”
…
ขณะสนทนากัน บุตรชายคนโตตระกูลโจวและพ่อบ้านสองคนนอกจากตามหานอกเรือนรวมถึงรอบๆ จวนแล้ว แน่นอนว่าไม่พบอะไรทั้งนั้น
คนตระกูลโจวแตกตื่นกันครู่เดียวก็สงบลง ส่วนจี้หยวนหลังจากรู้ว่าสตรีนางนั้นชื่อว่าไป๋รั่วก็รีบนำกายเนื้อของนางจากไป เคลื่อนผ่านกลางเมืองราวกับควันสีเขียวสู่ตรอกศาลเจ้าที่อยู่ไกลออกไป แล้วมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมือง
เจอคนมากหลบเลี่ยงคนมาก เจอเสียงจอแจหลบเลี่ยงเสียงจอแจ จี้หยวนที่กังวลว่าจะถูกเทพจับได้ไม่กล้าเหาะเหินสูงเกินไป
จี้หยวนนำกายเนื้อของสตรีนางนั้นจากมาได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็มีผู้ลาดตระเวนจากศาลมืดและเจ้ากรมคนหนึ่งมาถึงตระกูลโจว ถึงอย่างไรเสียปีศาจหนีไปได้ แม้เป็นไปได้มากว่าจะไม่กล้ากลับมาอีก แต่ก็ต้องป้องกันอีกฝ่ายกลับมาเก็บกายเนื้อ
ทว่าเมื่อถึงตระกูลโจวแล้วถึงพบว่ากายเนื้อของปีศาจหายไปแล้ว
ความคิดในใจของจี้หยวนเวลานี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก
‘พากายเนื้อของคนที่ยังไม่ตายหนี นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย!’
ช่วยไม่ได้ ถึงพูดตามตรงว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างเลวร้าย แต่มีกระบี่เซียนอยู่ข้างกาย ฝีมือของจี้หยวนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเทพหลักเมืองจังหวัดจิงจี อีกทั้งแม่น้ำเทียมฟ้าก็อยู่ไม่ไกลด้วย
กระนั้นเขาเองไม่คิดเช่นนั้น และไม่อยากวิวาทกับศาลมืดจริงๆ เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วอยากให้ศาลมืดไว้หน้าตนก็เหมือนจะได้อยู่ ทว่ายุ่งยากเกินไป จัดการให้ง่ายที่สุดได้ย่อมดีที่สุด ทำได้เพียงใช้วิธีนี้แล้ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ จี้หยวนถึงเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งตรงลานหลังของจวนขนาดใหญ่สักแห่งในเมือง มุ่งตรงไปถึงชั้นสามค่อยสะบัดแขนเสื้อวางกายเนื้อของสตรีนางนี้ลง
อาคารหลังนี้เป็นหอตำรา แต่น่าจะมีคนมาที่นี้ค่อนข้างน้อย มีร่องรอยคนเหลืออยู่ไม่เท่าไร โถงทางเดินนอกมู่ลี่ชั้นสามมีฝุ่นจับอยู่บ้าง ดูท่าข้ารับใช้ของจวนหลังนี้มาทำความสะอาดบ้างเป็นครั้งคราว
“ผ่านมาพักหนึ่งแล้ว ในเมื่อเจ้ากล้าส่งคนรักไปถึงหน้าประตูศาลเทพหลักเมือง ตอนนี้ก็น่าจะยังไม่ถูกจับได้กระมัง”
พึมพำอยู่ประโยคหนึ่งแล้ว จี้หยวนไม่อยากพูดอะไรมากอีก คุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างๆ สตรีนางนั้น มือซ้ายจับหน้าผากอีกฝ่าย ส่วนมือขวาตั้งนิ้วชี้วาดภาพกลางอากาศ ส่วนลึกในลำคอมีเสียงบัญชาดังขึ้น
“ไป๋รั่วจงรีบมา ไป๋รั่วจงรีบมา!”
เขาเก็บนิ้วชี้ข้างขวา แล้วตีกลางความว่างเปล่าตรงภาพวาดเบาๆ แสงคลุมเครือกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมออกไปท่ามกลางอากาศธาตุราวกับระลอกคลื่น
วิชาคุมเทพ
ใช้เช่นนี้ก็ได้เหมือนกัน!
ใจกลางเมือง วิญญาณของสตรีนางนั้นรวดเร็วจนเจ้ากรมศาลมืดหลายคนตามไม่ทัน ไม่เพียงเร็วอย่างน่าประหลาด ลมหายใจผิดแปลก ปรากฏอุบายคล้ายจักจั่นลอกคราบอยู่เนืองๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้ากรมศาลไล่ตามไม่ยอมรามือ นางก็คงจะหนีพ้นตั้งนานแล้วจริงๆ
ตอนนี้สถานการณ์คับขันมาก พู่กันพิพากษาของผู้พิพากษาข้างหลังไม่ยอมหยุดเลยสักนิด วาดรูปลักษณ์ของนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกผู้พิพากษาตัดสินใจ ตราบใดที่หนีออกจากขอบเขตการควบคุมของศาลหลักเมืองไม่ได้ นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนโดยสิ้นเชิง
แต่ขอเพียงไม่มีเทพหลักเมืองจังหวัดจิงจีมาตามจับด้วยตัวเอง ไป๋รั่วก็มั่นใจว่าจะหลบหนีได้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเสียไปมีไม่น้อย นอกจากวิญญาณบาดเจ็บจนถึงปราณดั้งเดิมแล้ว หางนั้นเกรงว่าจะนำกลับมาไม่ได้แล้ว
ทว่าก็คุ้มค่านักหากกายเนื้อที่แปลงจากหางเส้นนั้นได้ฝังลงดินร่วมกับโจวเนี่ยนเซิง แม้บุตรชายคนโตตระกูลโจวจะเลวร้าย แต่อย่างน้อยก็มีความกตัญญู เขาต้องให้นางร่วมหลุมศพกับโจวเนี่ยนเซิงอย่างแน่นอน
อยู่ที่จังหวัดจิงจีต่อไปไม่ได้แล้ว หนีมานานขนาดนี้ กำแพงเมืองอยู่ตรงหน้า ปราณปีศาจของไป๋รั่วโคจรพลัง มุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองข้างหน้า
ฟู่…ทะลุกำแพงได้ในคราวเดียว ในใจพลันผ่อนคลาย ออกจากขอบเขตจังหวัดก็ไม่ต้องกังวลว่าอำนาจของศาลหลักเมืองจะเป็นขวากหนาม ใช้ยันต์ซ่อนลมหายใจได้แล้ว
ทว่าความผ่อนคลายนี้เหมือนจะเร็วเกินไป เพราะเพิ่งทะลุกำแพงเมืองออกมา ตรงหน้ากลับปรากฏแสงทองหนาหนัก เป็นแหขนาดใหญ่สีทองอร่ามที่กำลังกางออกเต็มที่
‘เจ้าที่จังหวัดจิงจี!’
เสียงตำหนิดังมาจากเจ้าที่ ไป๋รั่วแปลงกายเป็นควันสายหนึ่งแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะทำให้เจ้าที่รู้ตัวได้เร็วขนาดนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ ถึงแม้มียันต์ซ่อนลมหายใจ แต่แล้วจะหนีพ้นสายตาของเจ้าที่ไปได้อย่างไร
‘บางทีไปกับท่านโจวก็ดีเหมือนกันกระมัง!’
ทว่าตาข่ายในดวงตาของเจ้าที่กลับเจอกับความว่างเปล่า ปีศาจตนนั้นหายไปต่อหน้าต่อตาก่อนที่ตาข่ายจะถูกตัวนาง
“เอ๋?”
ถึงเจ้าที่จังหวัดจิงจีจะเป็นชายชรา แต่กลับตัวสูงเก้าฉื่อ สวมชุดคลุมเรียบร้อย ในมือเขาถือตาข่ายขนาดใหญ่ มองไปยังตรงที่ปีศาจหายไปด้วยความสงสัย
เขาหันไปกวาดสายตามองในเมือง และกวาดสายตามองนอกเมือง แต่ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าปีศาจไปยังทิศทางใด
หลังกำแพงเมือง เจ้ากรมต่างๆ ของศาลหลักเมืองเหาะออกมา ตามมาถึงแล้วมองเห็นเจ้าที่ยืนอยู่นอกเมือง ต่างก็ประสานมือคารวะและทักทาย
“คารวะท่านเจ้าที่!”
“ขอถามท่านเจ้าที่ว่าเห็นปีศาจตนหนึ่งหนีออกมาหรือไม่”
ตอนเจ้ากรมหยินหยางสอบถาม สายตามองไปยังตาข่ายในมือท่านเจ้าที่ ข้างในนั้นว่างเปล่า
ตอนนี้ท่านเจ้าที่อึดอัดใจอย่างถึงที่สุด
“มีคนเซ่นไหว้ในศาลตอนนี้พอดี ตอนข้ากำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเซ่นเห็นในเมืองอึกทึก มีปราณปีศาจเลือนรางและแสงธรรมปรากฏจึงตามออกมาสืบค้นด้วย ข้าเกือบจะจับปีศาจได้อยู่แล้ว ไม่คิดเลย…ว่าปีศาจตนนั้นจะหายตัวไปเฉยๆ!”
“หายตัวไป?”
เจ้ากรมศาลมืดและมือปราบผีต่างมองหน้ากัน ท่านเจ้าที่อยู่ตรงนี้ แต่ปีศาจตนนั้นยังหนีไปได้ช่างน่าแปลกจริงๆ หากมีพลังวิเศษติดตัว แล้วยังจะต้องหนีขนาดนี้ด้วยหรือ
…
ชั้นสามของหอตำราในจวนหลังนั้น ร่างจริงของไป๋รั่วราวกับถูกแผ่นแม่เหล็กแรงมหาศาลดูดมา ถูกลากออกมาจากระลอกคลื่นอากาศโดยตรง นางกระแทกลงบน ‘กายเนื้อ’ เดิมที่อยู่บนพื้นดังตึง
นางที่กำลังเวียนศีรษะมองไปยัง ‘กายเนื้อ’ ของตัวเองอย่างงุนงง พบว่าสามมุมข้างกายล้วนล้อมไว้ด้วยตัวอักษร ‘ซ่อน’
ตัวอักษรเหล่านี้รวมกลุ่มกันจากฝุ่นผงบนพื้นทั้งสิ้น ติดแน่นกับพื้นสามจุด พลังอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งปรากฏจากตรงกลาง
เมื่อมองไปโดยรอบถึงพบบุรุษในชุดสีขาวนั่งอยู่ข้างๆ กำลังมองไปทางตรอกศาลเจ้า คนผู้นี้สวมเสื้อแขนกว้าง เนื้อผ้าดูบางเบา ปล่อยจอนผมและมัดมวยเสียด้วยปิ่นสีดำลวกๆ
ไป๋รั่วเหลียวซ้ายแลขวาแล้วสรุปได้ว่าคนผู้นี้เป็น ‘มนุษย์’ แต่นางกลับรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“เฮ้อ…เรื่องยุ่งแล้ว! ยังดีที่ฝีมือของข้าเหมือนจะแก่กล้ากว่าท่านเจ้าที่ผู้นั้นเล็กน้อย!”
คนผู้นั้นกล่าวออกมาราวกับเยินยอตัวเองก่อนจะมองไป๋รั่ว ทำให้ฝ่ายหลังมองเห็นดวงตาสีเทาราบเรียบคู่นั้น