ตอนที่ 144 จอมยุทธ์แขนเดียว
งานเลี้ยงครบเดือนของนายน้อยตระกูลเว่ยไม่ใช่การประลองยุทธ์แต่อย่างใด นอกจากอวยพรและกินเลี้ยงแล้วย่อมไม่มีกิจกรรมอื่น อากาศหนาวยะเยือกก็ไม่อาจให้ทารกออกมา ดังนั้นส่วนใหญ่กินเลี้ยงเสร็จแล้วก็พากันบอกลาจากไป
แน่นอนว่าหากมีคนอยากเที่ยวเล่นที่จังหวัดเต๋อเซิ่ง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงน้ำชา หอคณิกา หรือว่าโรงพนัน ค่าใช้จ่ายทุกอย่างล้วนมีตระกูลเว่ยรับผิดชอบ รวมถึงร้านค้าที่ดีที่สุดในเมืองเหล่านั้นด้วย เพราะนอกจากโรงพนันและหอคณิกาแล้ว ความจริงส่วนหนึ่งก็เป็นกิจการของเว่ยอู๋เว่ย
ตู้เหิงและน้องชายสองคนออกจากโรงเตี๊ยมที่ตระกูลเว่ยจัดเตรียมไว้ให้ในเช้าวันต่อมา เตรียมไปจูงม้าที่คอกม้า คิดไม่ถึงเลยว่ามีคนเลี้ยงม้าผู้หนึ่งรอพวกเขาอยู่
เห็นตู้เหิงแขนขาดนำคนออกมาจากประตูหลังโรงเตี๊ยม คนเลี้ยงม้าร่างผอมบางใส่เสื้อผ้าหนาผู้นั้นตาเป็นประกายในทันที รีบเบียดกายออกมาจากในรถม้า
“ท่านนี้คือจอมยุทธ์ตู้กระมัง”
ตู้เหิงแปลกใจอยู่บ้าง โดยปกติแล้วจะมีป้ายประจำตัวม้าสำหรับพักในโรงเตี๊ยมด้วย แต่อีกฝ่ายน่าจะไม่ถึงขั้นรู้จักตนเองกระมัง
คนเลี้ยงม้าถูมือและเป่าลม ก่อนจะรีบผายมือไปทางคอกม้าฝั่งขวา
“คงเป็นท่านไม่ผิดแน่ ก่อนหน้านี้ผู้นำตระกูลกำชับเอาไว้ บอกว่าตอนขามาม้าหลายตัวของท่านถูกคนจูงไปผิดโดยไม่ทันระวัง จึงตั้งใจชดใช้ม้าสามตัวนี้ให้ท่าน ทางนั้นยังมีรถม้าด้วย หากจะไปอำเภอหรือเมืองภายในจังหวัดเต๋อเซิง ข้าบังคับรถไปส่งพวกท่านได้ วันนี้อากาศหนาวมาก นั่งรถม้าสบายกว่า!”
ในคอกม้าฝั่งขวามีม้าสีพุทราแข็งแรงสามตัว ดูจากจนสีขนสม่ำเสมอไร้สีอื่นแซม เป็นมันเงา และดวงตาสุกใส ไปจนถึงริ้วกล้ามเนื้อและรูปร่างกำยำแล้ว นับเป็นม้าดีสามตัวอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดีกว่าม้าสามตัวนั้นของตระกูลตู้ก่อนหน้านี้มาก
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ตู้ ผู้นำตระกูลมอบม้าสามตัวนี้ชดใช้ให้พวกท่าน พวกมันมีเรี่ยวแรงวิ่งเร็ว ส่วนนิสัยอ่อนโยนกับเจ้านาย แต่หากเจอสัตว์ร้ายก็เตะหมาป่าตายได้ในครั้งเดียว อีกทั้งกินเก่งอีกด้วย”
คนเลี้ยงม้าถูมือก่อนจะชี้ไปทางรถม้า
“ภายในรถม้าปูฟางเอาไว้แล้ว มีเตาอุ่นอีกต่างหาก นั่งแล้วสบายทั้งยังอบอุ่น นั่งไปแล้วสองหรือสามร้อยลี้ค่อยลงมาก็ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ฮ่าๆ จอมยุทธ์ตู้ ท่านต้องการให้ข้าบังคับรถให้พวกท่านหรือไม่”
ตู้เหิงมุ่นคิ้วมองคนเลี้ยงม้าหน้าตาแช่มชื่นผู้นี้ พลันพบว่าแม้เขาจะเตี้ยและตัวเล็ก ปลายนิ้วเย็นจนแข็งขึ้นสีแดงหมดแล้ว กลับมีข้อนิ้วหนามือเหมือนกรงเล็บ เป็นผู้มีฝีมือด้านวรยุทธ์ไม่ธรรมดา
“ผู้นำตระกูลเว่ยรู้ว่าข้าจะไปที่ไหนหรือ”
“ฮ่าๆ ท่านพูดเล่นแล้ว ไหนเลยผู้นำตระกูลเว่ยจะรู้เรื่องพวกนั้น แค่คิดว่าท่านจะได้ใช้งานรถม้าก็เท่านั้นเอง!”
ลูกหลานตระกูลตู้สองคนข้างหลังตู้เหิงมองม้าแข็งแรงหลายตัวนั้นจนตาลอยหมดแล้ว
ก็เหมือนที่ผู้ชายในชาติก่อนของจี้หยวนชอบรถ บุรุษที่นี่โดยเฉพาะบุตรธิดาในยุทธภพไหนเลยจะไม่ชอบม้า ยิ่งเป็นม้าดีแข็งแรงพรรค์นี้อีก
“ขอบคุณผู้นำตระกูลเว่ยที่ใส่ใจ พวกข้าขอขี่ม้าไป ไม่ต้องนั่งรถม้าหรอก!”
ความจริงตู้เหิงไม่ชินกับการมีคนนอกมาบังคับรถม้าให้พวกเขา และดูจากท่าทางของน้องชายสองคนข้างหลัง คาดว่าพวกเขาอยากขี่ม้าใจจะขาดแล้ว
“ก็ได้ เอาละ ข้าจะติดบังเหียนให้พวกท่าน…”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ม้าสามตัวถูกจูงออกมาจากคอกม้า พวกตู้เหิงสามคนเตรียมขึ้นม้าจากไป ทันใดนั้นคนเลี้ยงม้าถูมือพูดพร้อมยิ้มกว้าง สีหน้าเหมือนกับเว่ยอู๋เว่ย เจ้านายของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ จอมยุทธ์ตู้ ผู้นำตระกูลบอกเอาไว้ว่าหากท่านจะไปอำเภอหนิงอัน…”
ตู้เหิงพลันมีแววตาเย็นชา คนผู้นั้นรู้จริงๆ ด้วย
จากนั้นคนเลี้ยงม้าก็พูดต่อ ราวกับมองไม่เห็นสายตาของตู้เหิง
“เอ่อ ผู้นำตระกูลบอกว่าต้นพุทราในลานบ้านของท่านจี้ปีนี้ออกผลสีแดงจำนวนหนึ่ง ถึงวันนี้ยังคงไม่ร่วง เด็กหนุ่มผู้ดูแลลานบ้านไม่เก็บและไม่ขาย…ในฐานะที่จอมยุทธ์ตู้เป็นคนรู้จักของท่านจี้ เห็นทีเด็กหนุ่มต้องมอบให้ท่านหลายลูกเป็นแน่ เฮอะๆ…ผู้นำตระกูลบอกว่าตระกูลเว่ยยินดีซื้อพุทราหลายลูกนั้นจากท่านด้วยราคาดี”
ซื้อพุทรา?
ตู้เหิงยิ่งรู้สึกแปลกใจ ด้วยฐานะทางการเงินของตระกูลตู้ อยากกินพุทราไยจะหามาไม่ได้ หรือว่าต้นพุทราในลานบ้านท่านจี้มีความพิเศษอะไร
“เรื่องนี้ข้าคนแซ่ตู้กลับมาแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอตัวลาก่อน คนเลี้ยงม้าก็รีบกลับไปเถอะ”
คุณชายตระกูลตู้สามคนควบม้าออกจากลานด้านหลังโรงเตี๊ยมไปแล้ว
ม้าแดงเป็นม้าดีจริงๆ รวดเร็วและเชื่อฟัง ความรู้สึกยามขี่มันทำให้คุณชายตระกูลตู้ทั้งสามเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะออกจากเมืองแล้วไม่ต้องกังวลคนเดินเม้า ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนควบลมขี่สายฟ้า
ทว่าความเพลิดเพลินคงอยู่ได้ครึ่งชั่วยามก็จืดจางลงอย่างรวดเร็ว ถูกลมหนาวที่พัดพามาปะทะเข้าใบหน้า
ม้ายิ่งวิ่งเร็วก็ยิ่งสูญเสียอุณหภูมิร่างกายไปเร็ว ถึงแม้มีวรยุทธ์ติดตัว ทั้งสามคนก็หนาวตัวแข็งจนทนไม่ไหวเหมือนกัน โดยเฉพาะสองวันนี้อุณหภูมิในรัฐจีลดต่ำลงกว่าเดิม
จังหวัดเต๋อเซิ่งห่างจากอำเภอหนิงอันประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ในทางตรง แต่หนทางคดเคี้ยวจึงต้องเดินทางเกือบสามร้อยลี้ ต้องแวะพักในโรงเตี๊ยมตามรายทาง ถึงวันที่สามแล้วค่อยถึงอำเภอหนิงอัน
“เฮ้อ…หากรู้แต่แรก…นั่งรถม้าเสียคงดีกว่า…”
คนตระกูลตู้จับเชือกบังเหียนพลางถูมืออยู่บนหลังม้า ม้าแกร่งใต้ร่างพ่นควันสีขาวจากจมูกได้หลายฉื่อมาก
“เอาละ ไม่ต้องบ่นแล้ว กลับไปข้าจะแบกหน้าไปขอยืมหม้อสำริดจากผู้นำตระกูลเว่ย แล้วพวกเรากินหม้อไฟนั่นกันสักครั้ง”
“โอ้โห พี่ตู้พูดแล้วนะ!”
“ใช่ ห้ามกลับคำล่ะ!”
สามคนจูงม้าตัวใหญ่เข้าไปในอำเภอหนิงอัน ดึงดูสายตาคนในอำเภอได้จำนวนหนึ่ง ด้วยเวลานี้มีคนต่างถิ่นมาที่อำเภอหนิงอันไม่มาก
หลังจากสอบถามดูแล้วก็รู้ที่อยู่ของท่านจี้ ถึงอย่างไรเสียเรือนหลังเล็กนั้นมีเพียงลู่เฉิงเฟิงที่เคยไป คนอื่นรู้เพียงชื่อและทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น
ชาวบ้านกระตือรือร้น นำทางทว่าไม่คิดเงินตู้เหิง ถึงด้านนอกตรอกเทียนหนิวซึ่งห่างจากเรือนเล็กร้อยก้าวแล้ว ชายหนุ่มใจดีที่อาศัยอยู่ในตรอกเทียนหนิวเช่นกันชี้ไปยังตำแหน่งที่ยังคงมีกิ่งก้านสีเขียวแซมสีแดงเล็กๆ
“นั่นคือเรือนสันติ ก่อนหน้านี้ท่านจี้อาศัยอยู่ที่นั่น พวกเจ้าเข้าไปเองเถอะ”
หลังจากตู้เหิงกล่าวขอบคุณ เขาจูงม้าเดินไปทางเรือนเล็ก
ก่อนมาที่นี่ได้ชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่าต้นพุทรามหัศจรรย์ทีเดียว ตอนนี้เป็นฤดูหนาว หิมะจับตัว ทว่ายังคงมีใบสีเขียวชอุ่มเต็มต้น เส้นใบไม้ไม้ปรากฏสีแดง ให้ความรู้สึกงดงามเหมือนบุปผาแดง ยากนักจะจิตนาการได้ว่านี่เป็นทิวทัศน์กลางฤดูหนาวอันเยือกเย็น
ครั้นเปิดประตูออก ประตูหลังลานบ้านก็เปิดออกด้วย ผ่านประตูไปแล้วมองเห็นที่ว่างที่ลานด้านหลังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังตากผ้าห่มอยู่บนราว ข้างในมีผ้าห่มที่ท่านจี้ทิ้งไว้ มีของตระกูลอิ๋นด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คืออิ๋นชิง
อิ๋นชิงที่ได้ยินเสียงกีบม้าและเสียงฝีเท้าหันไปมองนอกประตูลาน พบคนแปลกหน้าสามคน แขนเสื้อว่างเปล่าเพราะแขนขาดของตู้เหิงทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย และดูจากดาบที่พวกเขาพกไว้แล้ว น่าจะเป็นชาวยุทธ์กันหมด
“พวกท่านเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
ตู้เหิงรีบตอบ
“ข้าน้อยตู้เหิง เป็นสหายเก่าของท่านจี้ ผ่านมาที่อำเภอหนิงอันจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
“ตู้เหิง?”
อิ๋นชิงพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง กอปรกับแขนที่ขาดไปนั้น เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้
“อ๊ะ! ข้านึกออกแล้ว ท่านก็คือวีรบุรุษพิชิตเสือ ท่านจี้เคยพูดถึงพวกท่าน! รีบเข้ามาๆ!”
แขนขาดทำให้ง่ายจะแยกแยะ อิ๋นชิงวางงานในมือแล้ววิ่งจากลานหลังไปที่ลานเล็กข้างหน้า เชิญทั้งสามคนเข้ามาในเรือน อีกทั้งให้ความสนใจกับม้าแดงสามตัวนั้นเป็นอย่างยิ่ง
เขาหยิบแก้วหลายใบออกมาจากห้องครัวอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเทน้ำจากกาน้ำบนโต๊ะหิน
“ดื่มน้ำกันก่อน น้ำนี้ยังร้อนอยู่ ทว่าไม่มีใบชาแล้ว พวกท่านมาไม่ทัน ท่านจี้ออกเดินทางแล้วไม่ได้กลับมาเลย ตอนที่เขาไม่อยู่ ครอบครัวของข้ามาช่วยดูแลบ้านให้เขา ตอนนี้ท่านพ่อข้าไปสอบขุนนางแล้ว เหลือก็แต่ข้า หากมาเร็วกว่านี้สักสองสามเดือนพุทราในลานยังมากอยู่ ตอนนี้น้อยลงแล้ว…”
อิ๋นชิงพูดจ้อไม่หยุดเพราะความตื่นเต้น จากนั้นค่อยถามตู้เหิงว่าตอนนั้นทั้งเก้าคนปราบเสือได้อย่างไร
ความจริงแล้วขั้นตอนการปราบเสือที่ว่าล้วนเป็นการข่มเหงฝั่งเดียวจากปีศาจเสือ ตู้เหิงเล่าไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงพยายามพูดขั้นตอนประมือที่เตรียมการไว้อย่างเรียบง่าย จากนั้นใช้กลยุทธ์ล้อมปราบ ฝ่ายอิ๋นชิงตั้งใจฟังด้วยความเพลิดเพลิน
เมื่อตู้เหิงเล่าจบก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องของจี้หยวนจากอิ๋นชิง ชาวบ้านที่นำทางมาก่อนหน้านี้บอกเหมือนกันว่าท่านจี้เป็นผู้วิเศษ แต่สอบถามความจริงจากคนตระกูลอิ๋นเหมาะสมกว่า
นอกจากเรื่องผีสางเทวดา ไปจนถึงเว่ยอู๋เว่ยมาขอให้ท่านจี้ช่วยดูหยกถูกกำชับไว้ไม่ให้พูด เรื่องอื่นอิ๋นชิงเล่าอย่างออกรสออกชาติ ตั้งแต่ช่วยจิ้งจอก ปล่อยจิ้งจอก จนเห็นท่านจี้รำกระบี่เหมือนมังกรทะยาน อีกทั้งเล่าเรื่องอัศจรรย์อย่างต้นพุทราออกผลในคืนเดียวเพื่อส่งท่านจี้ออกเดินทาง
เรื่องเหล่านี้แม้แต่ตู้เหิงฟังแล้วประหลาดใจ น้องชายตระกูลตู้สองคนฟังแล้วกลับไม่เชื่ออยู่บ้าง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มกำลังคุยโม้
ทว่าอิ๋นชิงกลับไม่สังเกตเห็นว่าน้องชายตระกูลตู้สองคนนั้นเบะปาก ยิ่งเล่ายิ่งตื่นเต้น
“จริงสิ! ท่านคอยเดี๋ยว ข้าจะกลับบ้านครู่หนึ่ง มีของบางอย่างจะให้ท่านดู!”
อิ๋นชิงพูดจบก็วิ่งตึงตังออกจากลานบ้านกลับบ้านไป ทิ้งทั้งสามคนให้มองหน้ากันอยู่ในลานบ้าน
“พุทราที่นี่สีแดงเหมือนกับเพลิง ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร พี่เหิง พวกเราเด็ดมาชิมสักหน่อยดีหรือไม่”
“อย่าทำอะไรตามใจ!”
ตู้เหิงมองตาขวางใส่พวกเขา
ไม่นานนัก อิ๋นชิงวิ่งกลับมาพร้อมตำราเล่มหนึ่งด้วยความเบิกบานใจ
“ข้ากลับมาแล้ว”
อิ๋นชิงเข้ามาในเรือนแล้ว หอบหายใจพลางวางตำราลงบนโต๊ะหิน เพราะมือแห้งเกินพลิกหน้ากระดาษไม่ได้ จึงแตะน้ำลายก่อนค่อยพลิกไปถึงกลางเล่ม
“ฮ่าๆ ข้าเป็นคนเขียนเอง เรื่องสนุกพวกนั้นที่ท่านจี้เล่า ข้ากลัวว่าผ่านไปสักพักแล้วจะลืมจึงเขียนลงไป”
อิ๋นชิงพลิกกระดาษไปจนถึงหน้าหนึ่ง บนนั้นมีชื่อของตู้เหิงและคำแนะนำโดยคร่าว รวมถึงมีเรื่องของคนที่ไม่รู้จักด้วยจำนวนหนึ่ง ตัวหนังสือเล็กมาก แต่กลับเป็นระเบียบเรียบร้อย
“ท่านดูสิ ท่านจี้เคยพูดถึงจอมยุทธ์แขนขาดสองคนให้ข้าฟัง คนหนึ่งคือท่าน ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่าหยางกั๋ว!”
“หยางกั๋ว? เขาเป็นใครกัน”
“ท่านไม่รู้จักกระมัง อืม ไม่ใช่คนต้าเจิน อาจจะไม่ใช่คนจากยุคนี้ น่าจะเป็นคนยุคโบราณสักคน ท่านอย่าเพิ่งสนใจเลยว่าเขาเป็นใคร เอาเป็นว่าเขาเก่งกาจมาก แม้แต่ท่านจี้ยังบอกเลยว่าเขาเก่งสุดๆ!”
อิ๋นชิงพลิกตำราและอ่านเนื้อหาที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ดีให้ตู้เหิงฟัง
ตั้งแต่เรื่องเล็กจนเรื่องใหญ่ ถูกรังแก ถูกดูถูก ถูกลูกของลุงตัดแขน ออกเดินทางตามลำพัง ถูกพิษและได้รับความอัปยศ…
เนื้อหาข้างในทำให้ตู้เหิงและน้องชายสองคนขนหัวลุก คนผู้นี้ยังไม่ตาย และเขายังสามารถยกระดับจิตวิญญาณแห่งการต่อต้านได้หรือ
จนถึงภายหลัง ด้วยการฝึกหนักอยู่สิบปี สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือเปิดหูเปิดตาให้กว้างเสมอ ฝึกวรยุทธ์ระดับสูง ไม่สูญสิ้นใจคุณธรรมอย่างจอมยุทธ์ คนเรียกเขาว่ารูปสลักเทพ จอมยุทธ์หยางกั๋ว
เพราะคำนึงถึงความเยาว์ของอิ๋นชิงในตอนนั้น ตอนจี้หยวนเล่าเรื่องจึงหลบเลี่ยงเรื่องรักของผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง เน้นเส้นทางวรยุทธ์ของหยางกั๋วและความชอบธรรมในใต้หล้า
“เคยมีคนเช่นนี้จริงๆ หรือ คงไม่ได้ถูกท่านจี้หลอกกระมัง”
อิ๋นชิงฟังคำพูดของน้องชายตระกูลตู้แล้วไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“หลอก? ท่านคิดว่าท่านจี้แต่งเรื่องหรือ เรื่องของท่านจี้ยังต้องหลอกอีกหรือ หากท่านรู้ว่าเขา…”
พูดถึงตรงนี้แล้วอิ๋นชิงพลันปิดปาก เกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว
“สรุปว่านี่เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่!”
อิ๋นชิงกล่าวกับตู้เหิงด้วยความตื่นเต้นอีก
“จอมยุทธ์ตู้ ท่านจี้เล่าถึงจอมยุทธ์แขนเดียวให้ข้าฟังทั้งหมดสองคน คนแรกเก่งกาจไร้ขีดจำกัด ส่วนท่านเป็นคนที่สอง!”
‘ท่านเป็นคนที่สอง’ ทำให้ตู้เหิงชะงักไปครู่หนึ่ง ทั้งพูดไม่ออก ทั้งหลุดหัวเราะ ร้องไห้ไม่ออก หัวเราะไม่ได้อยู่บ้าง
“จริงสิ ในเมื่อจอมยุทธ์ตู้มาเยือน พุทราสีแดงเพลิงนี้ข้าเด็ดให้ท่าน ต้นพุทราจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ข้าจะได้ลิ้มรสมันสักหน่อยด้วย ฮ่าๆๆๆ!”
อิ๋นชิงตื่นเต้นขึ้นอีก วิ่งไปยังใต้ต้นพุทราด้วยความฮึกเหิม
ต้นพุทราต้องเห็นด้วย?
คำพูดนี้ทำให้ตู้เหิงและคนอื่นๆ พูดไม่ถูก ทว่าตู้เหิงและน้องชายตระกูลตู้สองคนไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงมองอิ๋นชิงปีนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็วและชำนาญ