ตอนที่ 151 ส่งผ่านฝันนักเล่าเรื่อง
วันปีใหม่ทั่วจังหวัดจิงจีเปี่ยมการเฉลิมฉลอง
อากาศหนาวแน่นอนว่าจี้หยวนไม่มีทางสวมเสื้อตัวบาง อย่างน้อยต้องทำให้ตนดูเหมือนอบอุ่นจึงจะดี
หลังจากมังกรเฒ่ากลับไปจี้หยวนไม่มีความคิดรบกวนอิ๋นจ้าวเซียน แต่ไปดูร้านหมากด้วยความเคยชิน
เดินมาถึงถนนแคบสายหนึ่งที่ร้านหมากตั้งอยู่ พบว่าร้านนี้ถึงกับเปิดช่วงวันปีใหม่จริง แม้ว่าปิดประตูเพื่อกันหนาว แต่ด้านนอกยังแขวนป้ายรับแขก
จี้หยวนเข้าไปเดินวนรอบหนึ่ง มีลูกจ้างสองสามคนเฝ้าร้านอยู่ ภายในร้านไม่มีผู้เล่นหมากสักคน เจ้าของก็ไม่อยู่ มีแค่หลงจู๊ดูแลแทนคนหนึ่ง
ทักทายลูกจ้างภายในร้านว่าสวัสดีปีใหม่เสร็จ จี้หยวนถอยออกมา คิดกลับหอซึ่งช่วงนี้ตนอาศัยมาตลอดเพื่อนอนต่อ
แม้ว่าคฤหาสน์เศรษฐีตระกูลฉู่อยู่ใกล้เมืองหลวง แต่เหมือนว่าไม่ใช่ขุนนางราชสำนักอะไร
หอตำรานั่นคล้ายของประดับจริง จี้หยวนอยู่มาหลายวัน เห็นข้ารับใช้มาทำความสะอาดแค่สองครั้ง คนตระกูลฉู่ไม่มีใครเข้ามา อย่างมากก็แค่มาหยิบตำรา
แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะหอตำรากว้างใหญ่และหนาวเกินไป คิดอ่านตำราเขียนอักษร ไปที่เรือนข้างหน้าย่อมสบายกว่า
เรื่องนี้กลับทำให้จี้หยวนได้ประโยชน์ หอตำราสามชั้นนั่นอยู่ห่างจากความอึกทึกครึกโครมภายในเมือง สภาพแวดล้อมเงียบสงบและเก็บตำรามากมาย นอกจากพักผ่อนกับฝึกปราณ ยามว่างยังพลิกอ่านตำราได้อีก
แม้ว่าสมัยนี้ตำราไม่นับว่าหายาก แต่ตำราทรงคุณค่าถือว่าค่อนข้างล้ำค่า ชาวบ้านทั่วไปรวมถึงบัณฑิตยากจนหาความรู้ลำบากกว่า
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เหล่าสำนักศึกษาเนื้อหอมเช่นนี้ เทียบกับการอ่านหนังสืออยู่บ้านคนเดียวแล้ว สำนักศึกษาไม่เพียงมีอาจารย์สั่งสอน สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือมีตำรามาก ยามสอบระดับอำเภอกับจังหวัด รวมถึงสอบระดับเมืองเอกบางครั้ง แม้แต่ยามสอบความรู้พื้นฐานหากบอกให้เขียนเนื้อหาตำราจากการท่องจำอะไร บัณฑิตบางคนไม่เคยแม้แต่อ่านตำราเล่มนั้นจะเขียนอย่างไร
จี้หยวนเดินบนถนนสันตินิรันดร์ สูดปราณวิญญาณมากมายพลางมองชาวบ้านอวยพรปีใหม่ริมถนน ยามคิดจะเลี้ยวไปทางจวนตระกูลฉู่ เสียงคุ้นเคยหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขาแต่ไกล
“โจ๊กหนึ่งชาม เครื่องเคียงหนึ่งจาน แล้วก็ซาลาเปาเนื้อสองลูก อย่าลืมน้ำร้อนหนึ่งอ่าง ขอบคุณ!”
“ได้เลย คุณชายหวังโปรดวางใจ อีกเดี๋ยวจะนำมาส่งให้ท่าน ซื้อซาลาเปายามเช้าทันพอดี”
สองคนที่สนทนากัน คนหนึ่งคือหวังลี่นักเล่าเรื่องที่จวนจิ้นอ๋องก่อนหน้านี้ คนผู้นี้จี้หยวนเคยฟังเสียงไม่มีทางจำผิด อีกคนเสียงชัดกระจ่าง น่าจะเป็นเด็กคนหนึ่ง
จี้หยวนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจำตำแหน่งตามเสียง ออกจากถนนสันตินิรันดร์ไปทางซ้าย เข้าไปในตรอกเก่าแก่สายหนึ่ง
ตรอกกว้างประมาณรถม้าสองคัน ระหว่างทางซ้ายขวาล้วนเป็นบ้านล้อมกำแพง แต่กำแพงเตี้ยมาก สูงไม่เกินไหล่ ทว่าประตูเรือนกลับสูงหน่อย ภายในเรือนส่วนใหญ่มีห้องติดกันสองสามห้อง
แต่ละบ้านล้วนติดอักษรมงคลกลอนคู่ บางเรือนยังแขวนโคมแดงด้วย แต่บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเล่าเทพทวารบาลกับเทพเตาไฟ แน่นอนว่าย่อมไม่มีรูปเหมือน
จี้หยวนตามเสียงมาจนถึง หยุดอยู่นอกเรือนของอีกฝ่าย ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านในคิดว่ามีประมาณสี่คน สามคนพูดพลางหัวเราะอยู่ห้องทางขวา ยังมีไอร้อนกลิ่นหอมลอยออกมา ส่วนอีกคนอยู่ห้องเดี่ยวทางซ้ายเป็นนักเล่าเรื่องหวังลี่นั่นเอง
เมื่อคืนนักเล่าเรื่องคนนี้ดึงดูดความสนใจของจี้หยวนอยู่บ้าง ตอนนี้เขาคนแซ่จี้ยังเชื่อเรื่องวาสนามาก ในเมื่อบังเอิญเจอก็คิดไปดูหน่อย
เขาสำแดงวิชาบังตา กระโดดเข้าเรือนเบาๆ แม้ประตูห้องปิดสนิท แต่ได้ยินเสียงฝนหมึกกับเสียงพึมพำเจือความตื่นเต้นจากด้านใน ทำให้จี้หยวนมั่นใจว่าคนผู้นี้ตื่นเต้นมาก ไม่ง่วงนอนแม้แต่น้อย
‘เมื่อคืนคนผู้นี้เผยทักษะการเล่าเรื่องจนดึกดื่น ตามหลักการแล้วเป็นผู้เหนื่อยที่สุดในงานเลี้ยงจวนจิ้นอ๋อง แม้แต่อาจารย์อิ๋นยังง่วงจนกลับไปนอน ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงกระตือรือร้นเช่นนี้’
แน่นอนว่าหวังลี่นอนไม่หลับ ความอ่อนเพลียทั้งคืนนับเป็นอะไร เมื่อเทียบกับผลกระทบจากประสบการณ์เมื่อคืนแล้วห่างชั้นจนไม่อาจเทียบได้
ห้องนี้ไม่ใหญ่นัก ภายในมีโต๊ะสี่เซียนเป็นโต๊ะหนังสือ วางอยู่ใกล้เตียงนอน ฝ่ายหวังลี่นั่งฝนหมึกตรงขอบเตียง
ภายในจานฝนหมึกพร้อมแล้ว หวังลี่ซึ่งทั้งหิวทั้งหนาวตัวสั่นเล็กน้อย ใช้เครื่องทับกระดาษวางบนโต๊ะ ยกพู่กันจุ่มหมึกแล้วเริ่มเขียนอักษรลงหน้ากระดาษ ขณะเขียนปากยังพึมพำไม่หยุด
“คืนส่งท้ายปีเก่าจวนจิ้นอ๋อง ข้าคนแซ่หวังถูกเชิญไปเล่าเรื่อง กล่าวถึงตำนานเทพเซียน ผู้ชมคือราชวงศ์…”
แนวคิดหวังลี่ชัดเจนยิ่ง เขียนอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรค่อนข้างหวัด
“ฮ่องเต้นั่งถามครู่หนึ่ง ด้านหลังข้าเหงื่อแตกพลั่ก เรื่องเทพผีไม่อาจกล่าว คิดหนักฝืนหาคำตอบ…เวลาล่วงมาก่อนยามจื่อ จวนอ๋องประกาศช่วงสงบ…นอกโถงพลันเกิดเสียงอุทาน เสียงยินดีต่อเนื่องกลบเสียงวสันต์ แขกเหรื่อพากันตามฮ่องเต้ออกไป ภายในลานบ้านเกิดเรื่องมงคล…”
หวังลี่เขียนถึงตรงนี้แล้วไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือตื่นเต้น พู่กันในมือสั่นเล็กน้อย เขาจุ่มหมึกต่อเนื่องก่อนเขียนอักษรอีกครั้ง
“กลางสวนร้อยพฤกษาพบวสันต์ บุปผาเบ่งบานประชันโฉม ฮ่องเต้เรียนเชิญเทพเซียน หมอกขาวบังเกิดไร้คนตอบ…”
“ฟู่…ฟู่…”
นักเล่าเรื่องเขียนถึงตรงนี้แล้ววางพู่กันลงชั่วคราว ถูฝ่ามือเป่าลมจากปาก ดึงผ้าห่มบนเตียงด้านหลังมาคลุมตัวโดยไม่ลังเล
ก๊อกๆๆ…
“คุณชายหวัง อาหารของท่านเสร็จแล้ว ข้านำมาส่งให้ท่าน!”
“อ้อๆๆ ได้ๆๆ มาแล้วๆ!”
หวังลี่รีบลุกขึ้นจากเตียง เดินถึงประตูพลางช่วยเด็กซึ่งมาส่งอาหารถือของ
เมื่อเปิดประตูลมหนาวระลอกหนึ่งพัดเข้าใบหน้าทำให้หวังลี่ยิ่งตัวหด เด็กชายวัยสิบสองสิบสามปีคนหนึ่งถือถาดยืนอยู่ด้านนอก บนถาดคือโจ๊กข้าว เครื่องเคียงกับซาลาเปาซึ่งยังอุ่นอยู่
เด็กชายไม่ปล่อยให้หวังลี่ถือถาด เห็นท่าทางหดตัวของคุณชายคนนี้ เขาเป็นห่วงว่าจะทำจานแตก ยอมเป็นฝ่ายยกอาหารเข้าห้อง หยิบของออกมาจากถาดทีละอย่าง
จี้หยวนตามเด็กชายเข้าไปในห้องพร้อมกัน หวังลี่รีบปิดประตู แม้ว่าการปิดประตูทำให้มืดสลัวอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แสงลอดผ่านกระดาษมันตรงประตูหน้าต่างไม่ถือว่าส่งผลต่อความสว่างในห้อง
“คุณชายหวัง ท่านกำลังเขียนอักษรหรือ เขียนเรื่องอะไรหรือ”
หวังลี่กลับมาข้างเตียง สองมือถือชามโจ๊กดอกคำฝอยอุ่นมือซึ่งเย็นเยียบสักพัก หยิบตะเกียบเริ่มคนโจ๊กข้าวภายในชาม เป่าพลางกล่าวตอบ
“ใช่ เมื่อคืนมีเศรษฐีคนหนึ่งเชิญไปเล่าเรื่อง ค่าตอบแทนไม่น้อยเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือเป็นพยานเรื่องมงคลอย่างหนึ่ง ไม่เสียเที่ยว ฟู่…ฟู่…”
“ซู้ด…เฮ่อๆ…ซู้ด…”
เขาเป่าไอร้อนกินโจ๊กข้าวซึ่งลวกปากเล็กน้อย หลังจากกลืนลงคอสองสามอึกตัวจึงอุ่นขึ้น
“คุณชายหวัง ตัวอักษรของท่านเขียนสู้พวกคุณชายบนถนนดาวบุ๋นไม่ได้เลย”
เด็กชายมองอักษรหวัดบนกระดาษอย่างสงสัย จี้หยวนมองกลิ่นอายหวังลี่ นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าเมื่อคืน ถือว่ากลิ่นอายชัดเจน ทั้งมีพรสวรรค์อยู่บ้าง แม้ว่าเขียนอักษรไม่ได้เรื่องเท่าไรจริงๆ
“หึๆ พวกเขาเป็นบัณฑิตตามแบบฉบับ ข้ามีหรือจะเทียบได้ อีกอย่างข้าชินกับการเขียนเร็วหน่อย ตัวเองอ่านออกก็พอแล้ว”
หวังลี่กล่าวเช่นนี้ก่อนหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมาฉีกออก ปาดชามโจ๊กสองครา คล้ายเห็นโจ๊กเป็นน้ำจิ้ม ส่งเข้าปากทั้งอย่างนั้นและกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เมื่อคืนคุณชายหวังไปบ้านเศรษฐีคนไหนหรือ มีเรื่องสนุกอะไรบ้าง เล่าให้ข้าฟังหน่อย!”
คุณชายคนนี้เช่าอยู่ที่นี่มาครึ่งปี เด็กชายสนิทสนมกับเขานานแล้ว
“เกรงว่าพูดออกมาแล้วเจ้าคงไม่เชื่อ เมื่อวานข้าถูกเชิญไปจวนอ๋อง เจ้ารู้จักจวนอ๋องหรือไม่”
“จวนอ๋อง? ที่พักของโอรสฮ่องเต้หรือ”
“ใช่ๆๆ ที่พักของโอรสฮ่องเต้!”
หวังลี่เพิ่งคีบผักดองชิ้นหนึ่งใส่ปาก ขยับตะเกียบกลางอากาศต่อเนื่องไปทางเด็กชายบ่งบอกว่าถูกต้อง
“ข้ายังเจอฮ่องเต้องค์ปัจจุบันด้วย!”
เด็กชายเบิกตากว้างทันที
“ฮ่องเต้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวสูงใหญ่กำยำมากใช่หรือไม่ น่ากลัวเหมือนเสือจริงหรือไม่”
คำถามนี้ทำเอาหวังลี่อึ้งงัน แม้แต่จี้หยวนยังยิ้มพลางหันมองเด็กชายคนนี้
“อืม ตัวสูงใหญ่กำยำมาก คุณชายอย่างข้านั่งข้างเขาแล้วไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง แต่มีเรื่องน่าสนใจกว่าอยู่ตอนท้าย เวลาล่วงมาถึงยามจื่อ ภายในสวนดอกไม้จวนอ๋องหิมะน้ำแข็งละลายร้อยบุปผาเบ่งบาน หลายคนต่างบอกว่าเป็นนิมิตมงคลจากสวรรค์”
เด็กชายเกาหัวเล็กน้อย นึกภาพไม่ออกอยู่บ้าง แต่ฟังจากสำนวนของคุณชายก็รู้สึกว่าคงร้ายกาจมาก
คล้ายสังเกตเห็นว่าเด็กชายฟังไม่เข้าใจ หวังลี่เปลี่ยนรูปแบบการพูด
“เมื่อคืนมีเทพเซียนสำแดงวิชา ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าภายในสวนดอกไม้ของจวนอ๋องแตกหน่อกันหมด ดอกไม้ซึ่งเบ่งบานแค่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดล้วนเบ่งบานตอนนั้น งดงามอย่างยิ่ง!”
“ว้าว!”
คราวนี้เด็กชายเข้าใจแล้ว หลังจากร้องอุทานเขายังไม่เชื่ออยู่บ้าง
“จริงหรือ คุณชายหวังท่านคงไม่หลอกข้ากระมัง พ่อข้าบอกว่าท่านเป็นนักเล่าเรื่อง แต่งเรื่องเก่งที่สุด…”
หวังลี่พลันอัดอั้นใจ
“พ่อเจ้า…ฟู่…เสี่ยวตง นิทานของนักเล่าเรื่องใช่ว่าเป็นข่าวโคมลอย ส่วนใหญ่ดัดแปลงจากต้นฉบับ บางเรื่องอาจเกินจริง แต่บางเรื่องเป็นเรื่องจริง อย่างเช่นเรื่องที่ข้าเล่าเมื่อครู่ ข้ายังไม่ดัดแปลงเป็นเรื่องเล่า ดังนั้นยังเป็นประสบการณ์ซึ่งเจอมากับตัว เป็นเรื่องจริง!”
“อ้อ! จริงสิ ข้าไปยกน้ำร้อนมาแช่เท้าคุณชายก่อน!”
เด็กชายเกาหัว นึกขึ้นได้ว่ายังขาดของ รีบเปิดประตูออกไป จี้หยวนตามออกไปด้วย ปล่อยให้หวังลี่กินพลางคิดรายละเอียดอยู่ในห้องคนเดียว
ก่อนจากไปเขาหันมามองนักเล่าเรื่องคนนี้ ทั้งมองหน้ากระดาษด้วย คนผู้นี้น่าจะเหมาะกว่าอาจารย์อิ๋น
เด็กชายจากไปครู่หนึ่ง เขากินโจ๊กถึงครึ่งชาม หวังลี่ที่เหลือบเห็นกระดาษบนโต๊ะโดยไม่ตั้งใจพลันอึ้งงัน
แกร๊ง…
ตะเกียบร่วงลงบนพื้น
หวังลี่วางชามโจ๊กลง ขยับเข้าใกล้กระดาษอย่างระวัง เห็นแค่บนนั้นปรากฏอักษรประหลาดสามคำ
เขามองซ้ายมองขวาเหมือนคนบ้า ภายในห้องนอกจากตนแล้วไม่มีใคร
ตัวอักษรแฝงความปราดเปรื่องเหนือธรรมดา แค่มองก็รู้ว่าเป็นผลงานของผู้เชี่ยวชาญการเขียนอักษร สิ่งสำคัญไม่ใช่ความงามของมัก หากแต่มันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
“วาสนากวางขาว?”
นิ้วมือหวังลี่สั่นเทาเล็กน้อย สัมผัสหน้ากระดาษตามจิตใต้สำนึก ชั่วพริบตายามปลายนิ้วแตะกระดาษ สติพลันเลือนราง ทั้งตัวมึนงงเหม่อลอยล้มตัวลงบนเตียงก่อนหลับไป
อาศัยวัตถุสื่อจิต ใช้วิธีซึ่งคนธรรมดารับได้ หวังลี่กำลังฝันประหลาด…
นอกประตูเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เด็กชายตัวน้อยรอสักพักไม่เห็นหวังลี่ตอบรับ เขาเปิดประตูยกน้ำร้อนเข้าไปเอง พบว่าหวังลี่หลับแล้ว
“คุณชายคนนี้…โจ๊กยังกินไม่เสร็จ บทจะนอนก็นอน!”
เด็กชายพึมพำประโยคหนึ่ง เข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ หยิบตะเกียบขึ้นมาเช็ดกับเสื้อแล้ววางบนโต๊ะ ช่วยหวังลี่ถอดรองเท้า คลุมผ้าห่มเสร็จแล้วยกอ่างน้ำร้อนย่องออกไป จากนั้นค่อยปิดประตูอย่างระวัง