ตอนที่ 174 แขกคนสำคัญของตระกูลเว่ย
วันนี้ฝนตกปรอยๆ จี้หยวนซึ่งสะพายห่อผ้ากางร่มเหมือนกับนักเดินทางลำพังธรรมดาคนหนึ่ง เดินจากประตูเมืองเข้าสู่จังหวัดเต๋อเซิ่งอย่างเชื่องช้า
แม้สองปีนี้ฝึกฝนวิชาจักรวาลซ่อนสิ่งของจำนวนหนึ่งแล้ว แต่เขายังคงพกห่อผ้าอยู่เสมอ
วิชาจักรวาลซ่อนสิ่งของค่อนข้างพิเศษ เรียกได้ว่าสูงส่งลึกล้ำกระมัง ความจริงแล้วผู้ฝึกปราณซึ่งมีมรรควิถีมากพอล้วนใช้เป็น ในบรรดาปีศาจบางตน ผู้ที่มีพรสวรรค์พิเศษยิ่งเข้าใจได้ถ่องแท้ยิ่งกว่า
แต่หากพูดแบบเรียบง่ายล่ะก็ การค้นคว้าภายในนั้นไม่ได้มีระดับขั้น แต่ละตระกูลก็ค่อนข้างหวงแหนวิชาระดับสูงเช่นนี้ ไม่มีทางให้เล็ดรอดออกไปโดยง่าย ถึงไม่ได้เกินจริงอย่าง ‘การควบคุมเทพ’ ทว่าฝึกปราณขึ้นมาแล้วกลับยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง วิชา ความเข้าใจ การฝึกปราณ วาสนา ล้วนขาดไม่ได้สักอย่างเดียว
ทั่วไปแล้ววิชานี้ต้องพึ่งพาภาชนะบางอย่าง ผู้ฝึกเซียนหลายคนจะใช้ช่องภายในแขนเสื้อเป็นภาชนะ ชักนำโดยพลังของผู้ฝึกปราณ แน่นอนว่ามีภาชนะที่ไม่พึ่งพาพลังของผู้ฝึกปราณเช่นกัน มักจะอยู่ในระดับภาชนะเซียนแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่มีทางบ่มเพาะจิตวิญญาณได้ ส่วนจำพวกสัตว์ปีศาจที่มีพรสวรรค์ยิ่งง่ายกว่า ถ้าไม่ใช่ในท้องก็เป็นที่ว่างอื่น
มังกรในแม่น้ำเทียมฟ้ามีพลังพิเศษของตนเองในการฝึกปราณ บางครั้งมังกรเฒ่าแม้ชอบจับข้าวของแปลกๆ จำนวนหนึ่งเล่น แต่ชัดเจนว่าแต่เดิมไม่คิดมอบให้ใครดูโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหลายปีกว่านี้ถึงจี้หยวนเคยของตำราหยกอันมีวิชาจักรวาลซ่อนของจากมังกรเฒ่า ทว่านี่อาจเป็นความสนใจดั้งเดิมของมังกรเฒ่า จี้หยวนมองว่ายังขาดความหมายมากมาย กระนั้นมีจุดเด่นที่จุดเริ่มต้นแล้ว
มังกรเฒ่ารู้สึกว่าหลังจากนั้นไม่มีการพัฒนาต่อ ไม่อาจเทียบได้กับพรสวรรค์ของตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยกระดับจิตวิญญาณ แต่จี้หยวนมองว่าจุดเริ่มต้นนี้ยากนักจะได้มาแล้วจริงๆ
โลกนี้มีมังกรแท้น้อยมาก ผู้แปลงกายเป็นมังกรแท้ได้อย่างอิงหง นับว่าเป็นผู้เหนือชั้นในหมู่มังกรเจียวแล้ว
อย่างเช่นความพยายาม ‘แสวงหาความจริง หลีกเลี่ยงความลวง’ ในวิชาแปลงกาย อย่างเช่น ‘ถักทอจัดเก็บสิ่งของ เปลี่ยนแปลงนับพัน กลืนกินสรรพสิ่งและกลับมา’ ในจักรวาลซ่อนของ หากใช้คำจากชาติก่อนของจี้หยวนคือ สิ่งเหล่านี้ก็คือพื้นฐานของการยกระดับความสามารถ
จี้หยวนเข้าใจ บางครั้งมังกรเฒ่าไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร สิ่งที่อาจขาดหายไปคือการสนับสนุนของวิชาเซียนอัศจรรย์ แต่บางครั้งอาจขาดจินตนาการเพียงเล็กน้อยก็เป็นได้
ดังนั้นถึงต่อให้ต่อต้านมนุษย์ จี้หยวนยังยินดีศึกษาวิชาไม่ได้เรื่องที่มังกรเฒ่าอ่านเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยด้วยวิสัยทัศน์จากยุคข้อมูลข่าวสารเมื่อชาติก่อนของเขา ก็ยังเป็นไปได้ที่จะเห็นศักยภาพของมันโดยสัญชาตญาณ
วิชาซ่อนของที่จี้หยวนฝึกฝนอยู่ในตอนนี้มีพื้นฐานมาจากตำราที่มังกรเฒ่าศึกษาด้วยตนเอง และเลียนแบบความเคยชินของผู้ฝึกเซียนจำนวนหนึ่งเช่นกัน พึ่งพาช่องว่างในแขนเสื้อ
สองปีมานี้นอกจากการฝึกฝนธรรมดาแล้ว ยังมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงและวิชาจักรวาลที่ฝึกฝนด้วยตนเองในความฝัน ไม่ได้ทำให้จี้หยวนผิดหวังจริงๆ เป็นเพียงผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมดา แต่กลับทนทานรับวิชานี้ไว้ได้
พื้นที่ว่างจำกัดอย่างยิ่ง นอกจากวางแผ่นหยก แท่งหยก และตำราจำนวนหนึ่งที่สำคัญไว้แล้ว เสื้อผ้าและสิ่งของจำพวกตำราขนาดใหญ่ยังคงต้องอาศัยห่อผ้าแบกขึ้นหลัง อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้สึกว่ามากเรื่องเท่าไหร่
จี้หยวนสวมชุดสีขาวทั้งตัว กางร่มเดินทอดน่องอยู่บนถนนของจังหวัดเต๋อเซิ่ง
แม้ฝนตกปรอยๆ ก็ยังคงมีเสียงเปาะแปะ ทำให้จี้หยวนเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของเมืองได้ค่อนข้างชัดเจน ถึงเขาเรียกตนเองว่าเป็นคนอำเภอหนิงอัน ทว่าเพิ่งเคยมาที่ตัวเมืองเป็นครั้งแรก
ตระกูลเว่ยถือเป็นตระกูลใหญ่มีอำนาจและมีชื่อเสียงของจังหวัดเต๋อเซิ่ง ร่ำรวยมีเส้นสาย ต่อให้เป็นขุนนางก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลเว่ยสามส่วน
จี้หยวนหาร้านขายซาลาเปาในเมืองและซื้อมาสองลูก ถือโอกาสสอบถามพ่อค้าเกี่ยวกับตระกูลเว่ยเล็กน้อย จึงรู้ตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนของจวนตระกูลเว่ย ทว่าตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเว่ยอู๋เว่ยอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษหรือจวนใหม่
คล้อยบ่ายวันนั้นเอง นอกจวนตระกูลเว่ยทางตะวันออกของเมือง บุรุษชุดขาวกางร่มกระดาษน้ำมันผู้หนึ่งเดินอย่างเชื่องช้ามาแต่ไกล
วันฝนตกไม่มีคนออกจากบ้านสักเท่าไหร่ ที่นี่ยิ่งไม่ใช่ถนนการค้าที่คึกคักอะไร บนถนนใหญ่ที่จวนตระกูลเว่ยตั้งอยู่แทบไม่มีคนสัญจร คนเฝ้าประตูจึงสังเกตเห็นอีกฝ่ายอยูไกลลิบๆ
อากาศในวันนี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ใกล้เข้าฤดูร้อนแล้วกลับยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง นอกจากผู้มีเลือดลมเต็มเปี่ยมเหล่านั้นแล้ว ผู้คนออกจากบ้านไม่กล้าสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น ทว่าชุดของจี้หยวนนี้ชัดเจนว่าบางเบา
“นี่ เจ้าว่าคนผู้นั้นจะมาที่จวนเราหรือไม่”
“วันฝนตกเช่นนี้ไม่นั่งรถม้า น่าจะเดินผ่านมากระมัง”
“แต่ข้าว่าน่าจะมาที่จวนเรา จะพนันหรือไม่”
“พนันก็พนันสิ คนชนะเลี้ยงสุรา”
“ได้!”
ทั้งสองคนพูดคุยกันหลายคำ จากนั้นรอออยู่ครู่หนึ่ง เห็นบุรุษถือร่มผู้นั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหยุดที่หน้าประตูอีกต่างหาก
จี้หยวนหันกายมองแผ่นโลหะขนาดใหญ่เขียนว่า ‘จวนตระกูลเว่ย’ ซึ่งอยู่บนประตูขนาดใหญ่ ตัวอักษรใหญ่นั้นมองอย่างไรก็เห็นชัดเจน จึงเดินเข้าใกล้แท่นที่หน้าประตูแล้ว
คนเฝ้าประตูหนึ่งคนในนั้นขยิบตาให้อีกคนหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยก้าวเท้าเข้าไปถาม
“ท่านผู้นี้ ไม่ทราบว่ามาจวนตระกูลเว่ยด้วยธุระใด”
ถึงจี้หยวนแต่งกายธรรมดา ทว่ากลิ่นอายกลับไม่ธรรมดา อีกทั้งตระกูลเว่ยก้าวเดินในเส้นทางยุทธภพเช่นกัน คนเฝ้าประตูต่างมีประสบการณ์อยู่บ้าง ปกติแล้วพยายามสุภาพกับทุกคน
จี้หยวนหุบร่มแล้วสะบัดครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงประสานมือให้คนเฝ้าประตู
“ข้านามว่าจี้หยวน ครั้งนี้มาพบผู้นำตระกูลเว่ยโดยเฉพาะ นี่คือของที่ระลึก”
เพื่อลดความยุ่งยาก จี้หยวนนำหยกประดับที่เว่ยอู๋เว่ยมอบให้ทันที อย่างไรเสียคนแปลกหน้าเอ่ยปากขอพบผู้นำตระกูลโต้งๆ ออกจะล่องลอยเกินไปอยู่บ้าง แต่จี้หยวนก็รู้จักคนตระกูลเว่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ผู้นำตระกูล?”
คนเฝ้าประตูได้ยินพลันชะงัก จากนั้นเห็นหยกประดับแล้วสะท้านใจทันที
หยกประดับนี้มีสีเขียวมรกต รูปทรงกลมชัดเจน บนนั้นสลักปลาสองตัวและสายน้ำ เป็นของที่ระลึกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับตระกูลเว่ย หากแสดงมันที่ร้านตระกูลเว่ยใดย่อมได้รับการช่วยเหลือจากที่นั่นอย่างเต็มที่
“ท่านโปรดรอสักครู่! ข้าจะไปรายงานซานเยี่ย วันนี้ผู้นำตระกูลออกไปข้างนอกแล้ว ผู้แทนผู้นำตระกูลที่จวน ณ ตอนนี้มีเพียงซานเยี่ยเท่านั้น!”
คนเฝ้าประตูผู้นั้นรีบส่งสายตาให้อีกคนหนึ่ง จากนั้นนำหยกประดับรีบร้อนวิ่งเข้าไปในจวน
อีกคนหนึ่งก็ไม่กล้าชัดช้า ตั้งสติเต็มที่ทันที ทักทายจี้หยวนอย่างมีมารยาท
“เชิญท่านเข้าข้างในเถอะ ข้างๆ มีโถงรับแขก ท่านโปรดรอที่นั่นสักครู่ ดื่มชาร้อนสักหน่อย”
“ดี รบกวนเจ้าแล้ว!”
…
ภายในจวนตระกูลเว่ย คนเฝ้าประตูผู้นั้นวิ่งเร็วราวกับบิน ถึงขนาดใช้วิชายุทธ์ร่วมด้วย ห้อตะบึงสู่โกดังเล็กของจวนตระกูลเว่ย
เวลานี้พ่อบ้านจวนตระกูลเว่ยและซานเยี่ยอยู่ที่นั่น ซานเยี่ยก็คืออาสามของเว่ยอู๋เว่ย หลังจากการตายของบิดาเว่ยอู๋เว่ย ผู้นำตระกูลรุ่นก่อน คนที่อายุมากกว่าเขาในจวนหลังนี้ก็มีอาใหญ่ อาสาม ไปจนถึงปู่
โกดังเล็กนอกจากวางสมุดบัญชีบางส่วนแล้ว มีการเก็บข้าวของหายากเอาไว้จำนวนหนึ่งด้วย จำพวกสุรารสเลิศ สิ่งของโบราณ
“ซานเยี่ย! พ่อบ้าน! ซานเยี่ย! พ่อบ้าน!”
ยังไม่ทันถึงโกดังเล็ก คนเฝ้าประตูตะโกนหลายเสียงอย่างอดไม่ได้
“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนปานนี้”
“เอะอะเสียงดังแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน!”
ซานเยี่ยและพ่อบ้านตระกูลเว่ยต่างมุ่นคิ้วจากข้างในออกมาข้างนอก เห็นคนเฝ้าประตูหอบหายใจหยุดอยู่ที่หน้าประตู
“ซานเยี่ย พ่อบ้าน มีชายชุดขาวผู้หนึ่งมาที่จวนบอกว่าต้องการพบผู้นำตระกูล นี่คือของที่ระลึกของเขา ท่านทั้งสองดูทีเถิดว่าเป็นของจริงหรือไม่”
ซานเยี่ยคว้าหยกที่คนเฝ้าประตูส่งให้มากูทันที
“เหมือนปลาได้น้ำ!”
เว่ยซานเยี่ยมองหยกประดับที่เอวตนเองตามสัญชาตญาณ มีรูปแบบเหมือนกัน พ่อบ้านชรายิ่งมองอยู่ข้างๆ อย่างละเอียด
“หลายปีมานี้ตระกูลเว่ยของพวกเรามอบหยกให้ผู้อื่นไปสองชิ้น…ชายชุดขาว?”
พ่อบ้านชราพลันขนลุกที่หนังศีรษะอยู่บ้าง หันไปมองทางประตู
“เขาบอกหรือไม่ว่าตนเองเป็นใคร”
คนเฝ้าประตูตีหน้าผากตนเองครั้งหนึ่ง
“จริงสิ เขาบอกว่าเขาชื่อจี้หยวน…”
“ซี้ด…”
ซานเยี่ยและพ่อบ้านชราสูดลมหายใจโดยจิตใต้สำนึก สบตากันและกันมองเห็นสีหน้าเหลือเชื่อของอีกฝ่าย
นำหยกประดับนี้ออกมาได้ อีกทั้งพูดชื่อออกมาเช่นนี้ เห็นทีจะผิดไปไม่ได้แล้ว
“ข้าจะไปต้อนรับท่านจี้ เจ้ารีบไปตามผู้นำตระกูลกลับมา เรื่องสำนักเขาแสงคล้อยนั่นไว้วันหลังค่อยว่ากัน ต่อให้อีกฝ่ายไม่ยินยอม ข้าว่าผู้นำตระกูลก็รู้ว่าจะเลือกอย่างไร”
“ตกลง รบกวนซานเยี่ยด้วย!”
พ่อบ้านชราไม่สนใจอะไรแล้วเช่นกัน ใช้วิชาตัวเบาเหาะข้ามชายคาและผนังของจวนตระกูลเว่ย จากนั้นตรงไปที่คอกม้า
ฝ่ายเว่ยซานเยี่ยสับขามุ่งหน้าไปยังประตูจวน ตอนนี้หากคนยังไม่ไปก็น่าจะถูกต้อนรับอย่างดีที่โถงรับแขกแล้ว
‘อย่าเพิ่งไปนะ!’
เว่ยซานเยี่ยและพ่อบ้านชรารีบร้อนขนาดนี้ ทำเอาคนเฝ้าประตูตกใจไม่น้อย เมื่อดึงสติกลับมาได้พบว่าซานเยี่ยวิ่งไปไกลมากแล้ว คราวนี้ถึงได้รีบตามไปเช่นกัน
ซานเยี่ยห้อตะบึงตลอดทางจนถึงนอกโถงรับแขกแล้วค่อยสงบท่าร่าง จากนั้นปัดฝุ่นบนร่างกายเล็กน้อย จัดการเสื้อผ้านิดหน่อย สุดท้ายอ้อมทางเดินไปยังนอกประตูโถงรับแขก
เมื่อตั้งใจมองข้างใน ผู้มาเยือนแต่งกายเรียบง่ายด้วยเสื้อสีขาวแขนกว้าง บนศีรษะมัดมวยผมปักปิ่นหยกดำ จอนผมปล่อยสยาย แต่กลับเป็นธรรมชาติน่ามองอย่างเห็นได้ชัด คนรับใช้กำลังชงชาให้เขาอยู่
จี้หยวนย่อมได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนนั้นแล้ว จึงหันศีรษะมองไปนอกประตู ผู้มาเยือนเป็นชายอายุมากกว่าห้าสิบปี สวมชุดผ้าไหม ผมสีดอกเลารวบไว้ด้านหลังทั้งหมด
เว่ยซานเยี่ยประสานมือพลางเข้าไปในโถงรับแจก ลมหายใจเรียบสงบ พยายาให้ตนเองกระตือรือร้นมากที่สุด
“ท่านคือท่านจี้กระมัง ข้าน้อยเว่ยหัง นับรุ่นแล้วถือเป็นอาสามของผู้นำตระกูล ข้าไม่รู้ว่าท่านจี้จะมาเยือน เสียมารยาทยิ่งนัก ทำให้ท่านจี้ต้องรอนานแล้ว!”
เห็นปฏิกิริยานี้แล้ว จี้หยวนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าผู้มารู้เส้นสนกลใน จึงยืนคืนประสานมือคารวะกลับ
“ข้าคนแซ่จี้ สวัสดีเว่ยซานเยี่ย!”
“มิกล้าๆ ท่านจี้เรียกข้าว่าเว่ยหังก็ได้!”
เว่ยหังเป็นคนที่ไปยังริมแม่น้ำวสันต์กับเว่ยอู๋เว่ย เคยเห็นปีศาจเต่าเฒ่าตัวจริง รู้ว่า ‘จี้หยวน’ สองพยางค์นี้มีความสำคัญเพียงใด
เมื่อสนทนากับบุคคลผู้เป็นเทพเซียนตัวจริง ในใจเขากดดันไม่น้อยเลย
“เอาล่ะ ท่านจี้เข้าไปในโถงดีกว่ากระมัง ที่นั่นกว้างขวางและอบอุ่นกว่าที่นี่ ข้าสั่งคนไปรายงานผู้นำตระกูลแล้ว เขารู้ว่าท่านจี้มาเยือนต้องควบม้าฟาดแส้กลับมาโดยเร็วแน่นอน!”
“โอ้ ไม่เป็นไร ที่นี่ก็ดีแล้ว เว่ยซานเยี่ยไม่ต้องเกร็ง อย่างไรเสียที่นี่ก็คือตระกูลเว่ย ข้าต่างหากที่เป็นแขก ในเมื่อข้าคนแซ่จี้มาแล้ว หากไม่พบเว่ยอู๋เว่ยย่อมไม่มีทางไป”
“ทราบแล้วๆ…ดีเลย ดีจริงๆ อ้อจริงสิ ท่านจี้โปรดเก็บไว้ให้ดี!”
เว่ยหังเดินเข้าไปใกล้หลายก้าว โค้งตัวส่งหยกประดับคืนด้วยสองมืออย่างนอบน้อม จี้หยวนก็ยื่นมือรับกลับมาเช่นกัน
ข้ารับใช้สองคนที่คอยชงชาให้จี้หยวนข้างๆ ล้วนตกตะลึง
“เว่ยซานเยี่ยอย่าเอาแต่ยืนอยู่เลย ข้าคนแซ่จี้มองดูแล้วแปลกนัก นั่งลงเถอะ”
“ได้สิ! ท่านจี้เชิญนั่ง!”
คราวนี้เว่ยหังถึงนั่งลงข้างๆ โต๊ะน้ำชาของจี้หยวน จากนั้นหันไปกล่าวกับข้ารับใช้
“เจ้าไปนำจานผลไม้และขนมมาหน่อยเถอะ ส่วนเจ้าไปกำชับพ่อครัวให้เตรียมงานเลี้ยง ให้คนที่ยังว่างอยู่มาคอยท่าที่โถงรับแขกด้วย!”
“เจ้าค่ะ!”
ข้ารับใช้สองคนตอบรับอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยถอยออกจากโถงรับแขกด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
ตอนนี้เว่ยหังเพียงตั้งสติเต็มที่ ระวังตัวขณะสนทนากับจี้หยวน
โชคดีที่หลังจากพูดคุยกันแล้ว พบว่าท่านจี้ในข่าวลือผู้นี้เข้าถึงง่ายอย่างแท้จริง ทำให้เขาคลายความรู้สึกกังวลไปโดยไม่รู้ตัว ท่านจี้สนใจเรื่องที่ผู้นำตระกูลได้บุตรชายมาก หลังจากรู้ว่ามีเว่ยหยวนเซิงอยู่แล้ว หัวข้อสนทนาก็เพิ่มมากขึ้น