ตอนที่ 177 เหมือนเคย
คลื่นลูกใหญ่กลางเขาล้อมหยกอย่างน้อยไม่ส่งผลกระทบถึงคนอื่นๆ ชั่วคราว ถึงขนาดแม้แต่ผู้ฝึกเซียนในเขาล้อมหยกก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ย่อมไม่ส่งผลกระทบถึงจี้หยวนในเวลานี้เช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องอ้อมไปมาบนท้องฟ้า จังหวัดเต๋อเซิ่งอยู่ห่างจากอำเภอหนิงอันเป็นเส้นตรงถึงหนึ่งห้าสิบกว่าลี้ สำหรับจี้หยวนที่วันนี้เหยียบเมฆขี่หมอกได้แล้วตอนนี้ไม่นับว่าไกลเท่าไหร่
ถึงแม้เป็นคนที่ชอบเหาะเหินช้าๆ อย่างจี้หยวน ทว่าเหยียบเมฆหมอกภายใต้สายลมสดชื่นแบบนี้ ใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อก็เหาะมาถึงท้องห้าเหนืออำเภอหนิงอันแล้ว
จี้หยวนมองเห็นปราณวิญญาณเจือจางรวมกลุ่มกันตรงมุมหนึ่งของตรอกเทียนหนิวแห่งอำเภอหนิงอันแต่ไกล เปิดตาทิพย์แล้วถึงขนาดมองเห็นแสงสีเขียวเรืองแสงชัดเจนซ่อนอยู่ใจกลางปราณวิญญาณ
‘ต้นพุทรา?’
จี้หยวนประหลาดใจอยู่บ้าง ลมสดชื่นพัดเสื้อผ้าและเส้นผมปลิวไสว เขาค่อยๆ ขี่เมฆร่อนลงอย่างเชื่องช้า สุดท้ายตกลงตรงกลางลานเล็กของเรือนสันติ
ซ่า…ซ่า…
กลางลานคล้ายกับมีลมกรรโชก ใบไม้ทั้งต้นพุทราส่ายไหวไปหมด ผลพุทราสีแดงสดขนาดใหญ่ทุกผลบนนั้นสดใสในเวลานี้ พากันเรืองแสงสีแดงขึ้นมา
ขลุก…ขลุก…ขลุก…
พุทราผลใหญ่หลายผลตกลงมาในคราวเดียวกัน
“หยุด!”
จี้หยวนยื่นมือออกไป รับพุทราห้าผลที่ตกลงมาไว้ในมือ จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นหยุดต้นพุทราที่ยังอยากปล่อยผลพุทราให้ตกลงมาอีก
“ชิมสักผลก็พอแล้ว หากตกลงมาทีเดียวทั้งหมดก็ต้องกินหมดเลยน่ะสิ”
คราวนี้ต้นพุทราขนากใหญ่ถึงเลิกส่ายไหว
จี้หยวนวางห่อผ้าบนไหล่และพุทราลงบนโต๊ะหิน ก่อนจะหยิบผลหนึ่งในนั้นมาดมที่ปลายจมูก แล้วอ้าปากกัดกินคำหนึ่ง
เสียง ‘กร้วม’ ดังขึ้น น้ำจากผลพุทราแตกกระจายเมื่อเข้าปาก กลิ่นหอมหวานสดใหม่ตลบอบอวลไปหมด
“อร่อย อร่อยนัก อร่อยกว่าผลพุทราก่อนหน้านี้อีก! ฮ่าๆ…”
จี้หยวนยิ้มหน้าบาน ถือโอกาสนั่งลงหน้าโต๊ะหิน ใช้ท่าทางสบายๆ ชิมผลพุทราสดอร่อยอย่างเพลิดเพลินต่อไป ส่วนกระบี่เครือเขียวที่ลอยอยู่ข้างๆ เปลี่ยนมุมอยู่ตลอด ราวกับกำลังสำรวจเรือนสันติแห่งนี้
เมื่อกินพุทราทั้งห้าผลหมดแล้ว จี้หยวนถึงเงยหน้ามองต้นพุทราที่อยู่กลางลาน ในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ต้นพุทราในวันนี้ไม่เลือนรางอีกในสายตาของเขา ด้วยมองเห็นพลังของเส้นใย และสิ่งที่ยากยิ่งกว่าจะได้มาคือความสามรถในการรวบรวมปราณวิญญาณ
“ไม่เลวเลยจริงๆ สมถะและไม่ทุกข์ร้อน ไม่มีปราณปีศาจ นับว่าฝึกตนเป็นผล!”
จี้หยวนถอนใจชมเสียงเบา ทำให้กิ่งไม้ใบไม้ทั้งหมดบนต้นพุทราส่ายไหวอย่างมีจังหวะ เหมือนเป็นจังหวะที่แสดงถึงความปีติยินดี
ระหว่างจี้หยวนถอนใจชมก็สังเกตช่องระหว่างกิ่งไม้และใบไม้อย่างละเอียด ผ่านไปเนิ่นนานกลับมองไม่เห็นอะไร
‘ปีนี้ไม่ออกดอกหรือ น่าเสียดายนะ…’
จี้หยวนนั่งอยู่กลางลานครู่หนึ่งค่อยเดินไปที่เรือนหลัก มองเห็นด้านบนคล้องกุญแจเอาไว้ เขาชักงักไปครู่หนึ่งถึงหยิบถุงเงินออกจากในแขนเสื้อ ควานหากุญแจจากข้างใน
“โชคดีที่ตอนนั้นเก็บกุญแจไว้ในถุงเงินตลอด ไม่ได้ทำหายไปพร้อมห่อผ้าเก่า ไม่เช่นนั้นคงต้องลดพิธีรีตองลงแล้ว ฮ่าๆ!”
เขาหัวเราะพลางเสียบกุญแจเข้าไปในช่อง ครั้นเสียง ‘แกรก’ ดังขึ้น ประตูก็เปิดออก
เอี๊ยด…
เสียงแกนประตูไม้ยังคงคุ้นหูเหมือนเคย ภายในห้องไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อะไรเลยสักนิด
จี้หยวนเข้าไปในห้องแล้วใช้นิ้วปาดบนหน้าโต๊ะส่งๆ ฝุ่นติดนิ้วไม่มากเท่าไหร่ ท่าทางเพิ่งทำความสะอาดไปไม่นาน
ตรงเตียงนอนแม้จะมีเพียงแผ่นไม้ ไม่ได้ปูผ้าปูที่นอน แต่ในตู้กลับวางไว้ด้วยผ้าห่มและสิ่งอื่น ๆ ที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของแสงตะวัน
“ท่าทางเสี่ยวอิ๋นชิงจะไม่ได้ไปรัฐหวั่นด้วยสินะ!”
จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อ ปัดฝุ่นที่แต่เดิมมีอยู่บนเตียงไม่เท่าไหร่ไป จากนั้นค่อยหยิบผ้าปูที่นอนและผ้าห่มออกมากาง เขาวางกระบี่เครือเขียวไว้ที่ข้างเตียง แล้วเอนกายลงบนเตียงที่ห่างหายจากกันไปนาน
“บ้านสบายที่สุดจริงๆ!”
จี้หยวนถอนใจและหลับตาลง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
กระบี่เครือเขียวนนิ่งสงบอยู่ที่หัวเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นไปที่หน้าเรือนหลัก ปิดประตูห้องที่จี้หยวนปิดไม่สนิทเรียบร้อยแล้วถึงลอยกลับมาที่ข้างเตียง
ภายในลานของเรือนเก่าตระกูลอิ๋น ตอนที่กิ่งก้านต้นพุทราของเลือนสันติสั่นไหวอย่างหนักเมื่อครู่นี้ หูจิ้งจอกแดงที่หลับอยู่ข้างอิ๋นชิงกระดิกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าและเงี่ยหูฟัง
ฟังอยู่พักหนึ่งแล้วรู้สึกว่าน่าจะเป็นลมแรง จึงหมอบลงนอนต่อ
แม้จี้หยวนไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่คืนนี้ต้นพุทราในลานของเรือนสันติออกดอกตูมตอนกลางดึก ดอกพุทราสีเขียวเหลืองค่อยๆ ผลิบานเต็มกิ่งก้าน สุดท้ายส่งกลิ่นหอมไปทั่วตรอกเทียนหนิวก่อนฟ้าสาง
…
เช้าตรู่แสนธรรมดาของอำเภอหนิงอัน ทว่าเช้าตรู่นี้เหมือนจะไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
ชาวบ้านที่ตรอกเทียนหนิวจนถึงตลาดใกล้เคียงเพิ่งตื่นนอนก็ได้กลิ่นหอมจรุงใจสายหนึ่ง
บ่อน้ำหรือชายฝั่งของตรอกเทียนหนิวมีคนหาบน้ำ มีคนซักผ้าล้างผักตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงซักเสื้อผ้าและเสียงสตรีสนทนากันมีให้ได้ยินไม่ขาดหู
“จู่ๆ เช้าวันนี้ก็มีกลิ่นหอมล่ะ!”
“ใช่ๆ กลิ่นนี้หอมมากจริงๆ มาจากที่ไหนกันนะ”
“พวกเจ้านี่นะ ลืมกันหมดแล้วหรือ ต้องเป็นกลิ่นดอกไม้จากต้นพุทราที่เรือนสันติแน่นอน ก่อนหน้านี้ได้กลิ่นมันในเวลากลางคืนแล้วหลับสบายขึ้นมาก!”
“ใช่ๆๆ จำได้แล้ว”
“ว้าว ต้นพุทรานั้นไม่ได้ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นแบบนี้มานานแล้วนะ!”
“ดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ…”
“ปีนั้นได้กินผลพุทราด้วยไม่ใช่หรือ ฮ่าๆๆๆ…”
“ไอ้หยา เจ้านี่คิดแต่เรื่องกิน!”
…
เสียงหัวเราะใสกังวานราวกับระฆังของสตรีสองคนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีคนหาบน้ำคอยตอบรับเห็นด้วยอยู่หลายคำ คนทั้งตรอกเทียนหนิวเดินคุยเล่นกันอย่างเบิกบานใจตั้งแต่เช้า
อิ๋นชิงตื่นแต่เช้า พาหูอวิ๋นเร่งไปสำนักศึกษาด้วยกัน ที่ต้องเข้าเรียนในตอนนี้ไม่ได้มีแค่อิ๋นชิงคนเดียว จิ้งจอกตัวนี้ก็ตามไปฟังที่สำนักศึกษาด้วย อย่างไรเสียความสามารถในการสอนหนังสือก็ต้องเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจกว่า
ทว่าเช้าวันนี้ได้กลิ่นหอม หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกตั้งใจดูที่เรือนสันติสักรอบ พบว่าต้นพุทราผลิดอกบานสะพรั่งดังคาด ทั้งคู่ตกใจมาก ทว่าไม่ได้คิดอะไรมาก กอปรกับต้องรีบไปเข้าเรียน ย่อมไม่อาจเปิดประตูเข้าไปตรวจสอบดู แต่มุ่งหน้าไปที่สำนักศึกษาทันที
จิ้งจอกตัวนี้อาศัยวิชาบังตาเกาะอยู่บนหลังอิ๋นชิงที่กำลังเดินผ่านถนนใหญ่และตรอกเล็กๆ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเทพหลักเมืองลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งกับมัน ไม่เช่นนั้นมันจะรอดพ้นผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีไปได้อย่างไร
หลังจากอิ๋นชิงและจิ้งจอกหูอวิ๋นไปที่สำนักศึกษาได้ครึ่งชั่วยาม จี้หยวนถึงบิดขี้เกียจพลางออกจากในห้องอย่างสบายกาย นอนหลับจนถึงเช้าแบบนี้เป็นความเคยชินเมื่อเขาอยู่ที่เรือนสันติในตอนนั้น เมื่อกลับมาย่อมกลับสู่กิจวัตรเดิม
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองต้นพุทราที่ออกดอกเต็มกิ่งก้าน จี้หยวนประสานมือให้มันราวกับขอบคุณเซียนคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นจัดการผมเผ้าและเสียบปิ่นหยกสีดำ ก่อนจะออกจากประตูไป
บนถนนเส้นหนึ่งข้างนอกตรอกเทียนหนิว ร้านบะหมี่ตระกูลซุนยังคงเปิดกิจการตามเดิม กาลเวลาเหมือนกับไม่ยุติธรรมต่อชายชราเป็นพิเศษ เพิ่งอายุประมาณหกสิบปีเท่านั้น ทว่าชายชราตระกูลซุนกลับชราลงไม่น้อยแล้ว
แต่วันนี้ตอนรถเข็นมาถึงตรงนี้ก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่ง มือเท้ากระฉับกระเฉงอย่างมาก ไม่ว่าชายชราตระกูลซุนหรือลูกค้าต่างก็อารมณ์ดีไม่หยอก
เพิ่งเก็บตะเกียบที่ลูกค้าใช้แล้วเสร็จ ชายชราตระกูลซุนใช้กระบวยตักน้ำข้างหลังรถเข็นล้างถ้วยและตะเกียบครั้งหนึ่ง จากนั้นกลับไปง่วนอยู่ข้างเตาดังเดิม
“เถ้าแก่ซุน วันนี้มีบะหมี่พะโล้และเครื่องในหรือไม่”
เสียงอันคุ้นเคยทว่าชวนให้นึกไม่ออกในทันทีดังขึ้นเหนือรถเข็น เถ้าแก่ซุนลุกขึ้นยืนมองไปทางนั้น บนที่นั่งที่เดิมทีว่างอยู่กลับนั่งไว้ด้วยบุรุษสวมเสื้อขาวสง่างามและใจดีผู้หนึ่ง เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายมาก
“ท่านคือ…ท่าน ท่านจี้หรือ”
สีหน้าของเถ้าแก่ซุนเปลี่ยนจากมุ่นคิ้วสงสัยด้วยครุ่นคิดอย่างหนัก จนกลายเป็นความยินดีในที่สุด
“ท่านจี้กลับมาแล้วหรือ กลับมาแล้วก็ดียิ่งนัก! อ้อจริงสิ ท่านบอกว่าบะหมี่พะโล้และเครื่องใน มีอยู่ๆ มีทุกอย่างเลยๆ เครื่องในมีแค่เครื่องในแพะ วันหน้าข้าจะไปถามหมู่บ้างข้างๆ ดูนะว่ามีเครื่องในวัวหรือไม่!”
“ไม่ต้องๆ เครื่องในแพะก็ใช้ได้แล้ว เช่นนั้นเอาเหมือนเดิม บะหมี่พะโล้หนึ่งชามกับเครื่องในแพะ! เถ้าแก่ซุนสดใสเหมือนเคยเลยนะ!”
จี้หยวนยิ้มพลางประสานมือให้เถ้าแก่ซุน
เถ้าแก่ซุนเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนก่อนจะประสานมือกลับ เห็นจี้หยวนแล้วยิ่งอารมณ์ดีมากกว่าเดิม
“ท่านจี้นี่นะ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่เปลี่ยนไปเลย! รอสักครู่ ข้าจะไปทำบะหมี่ให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเถ้าแก่ซุนเตรียมอาหารให้จี้หยวนอย่างชำนิชำนาญเรียบร้อย เขาค่อยยกมาที่โต๊ะด้วยความระมัดระวัง
เห็นจี้หยวนหยิบตะเกียบขึ้นกินคำหนึ่งแล้วเงยหน้ากล่าวชมว่า “รสชาติดีเหมือนดิม!” จากนั้นเขาถึงกลับไปจัดการอุปกรณ์ที่หน้ารถเข็มอย่างพึงพอใจ
เถ้าแก่ซุนพูดคุยเรื่องราวในหลายปีมานี้กับจี้หยวนอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องในครอบครัวทั่วๆ ไปอย่างลูกหลานในบ้านได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว อีกทั้งถามว่าจี้หยวนท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง
นอกจากตั้งใจฟังแล้ว จี้หยวนยิ้มและตอบเพียงว่า “ดีทีเดียว”
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านผ่านมาและเข้ามากินอาหารตรงรถเข็นเช่นกัน บางครั้งมีคนพลันจำจี้หยวนได้เหมือนเถ้าแก่ซุน แต่ส่วนใหญ่กลับจำไม่ได้ กระนั้นทุกคนล้วนพูดถึงกลิ่นดอกไม้ที่โชยมาในวันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ก่อนหน้านี้จี้หยวนเป็น ‘ผู้วิเศษ’ ที่ชาวบ้านมักพูดถึงหลังมื้ออาหารหรือดื่มน้ำชา แต่ความจริงแล้วคนที่รู้จักและจำจี้หยวนได้ในทันทีจริงๆ มีไม่มาก เวลาประมาณหกปีมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย เด็กโตขึ้น ผู้ใหญ่แก่ขึ้น
ทว่าอย่างไรเสียความรู้สึกสบายใจที่มีให้จี้หยวนกลับไม่ได้เปลี่ยนไป