เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 182 กระเรียนเซียนและกระเรียนกระดาษ

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 182 กระเรียนเซียนและกระเรียนกระดาษ

เว่ยอู่เว่ยแบกเว่ยหยวนเซิงบนหลัง ครั้นเดินเข้าไปในสายหมอกแล้วก็รู้สึกว่าเสียงข้างหลังจางลงอย่างรวดเร็ว หันไปมองดูแล้วไอหมอกเบาบางไม่ได้หนามากอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมองไม่เห็นกลุ่มคนตระกูลเว่ยและไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดจาโดยสิ้นเชิง

“หยวนเซิง กลัวหรือไม่”

มือซ้ายของเว่ยอู๋เว่ยประคองก้นของเว่ยหยวนเซิง มือขวาฝ่ากันกิ่งไม้ เถาวัลย์ และสิ่งอื่นๆ ระหว่างเดินทาง

“กลัวนิดหน่อย แต่มีท่านพ่ออยู่ด้วยดีนัก”

“อืม เด็กดี!”

พวกเขาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไอหมอกข้างหน้ากลับเบาบางลงแล้ว ยิ่งมายิ่งมีความรู้สึกชนิดมองเห็นหมอกขาวข้างหน้าไกลๆ ทว่ามองรอบข้างกลับแจ่มชัด จากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ความรู้สึกเห็นหมอกขาวไกลๆ นั้นหายไปแล้ว

เว่ยอุ๋เว่ยเพียงรู้สึกว่าตนเองเดินอยู่บนทางภูเขาธรรมดา ผ่านเขตหมอกขาวนั้นมาแล้ว ยิ่งเดินในใจก็ยิ่งฉงน

“ท่านพ่อ พวกเราเหมือนจะเดินวนแล้ว”

ลางสังหรณ์ของเว่ยหยวนเซิงแม่นยำกว่าเว่ยอู่เว่ย ด้วยคอยมองรอบๆ ขณะบิดาเดินหน้าอยู่ตลอด บิดาเดินเป็นเส้นตรงแท้ๆ แต่กลับมีความรู้สึกว่าเอียงกะเท่เร่อย่างน่าประหลาด

คำเตือนนี้ทำให้เว่ยอู๋เว่ยตกใจ นึกถึงเรื่องควรระวังที่เต่าเฒ่าเคยพูดถึง จึงรีบหยิบหยกประดับของตระกูลที่อยู่บนคอออกมา เหวี่ยงเชือกไปข้างหลังแล้วให้บุตรชายตนจับไว้

“หยวนเซิง เจ้าจับหยกประดับแล้วหลับตา รู้สึกว่าควรไปทางไหนก็บอกพ่อ”

“อืม!”

เว่ยหยวนเซิงทำตามนั้น ใช้มือขวาจับหยกประดับ ส่วนมือซ้ายกอดคอบิดาตนเอง จากนั้นสงบจิตใจฟุบหน้าลงบนหลังบิดาและหลับตาทั้งสองข้าง

เว่ยอู๋เว่ยผ่อนฝีเท้าเล็กน้อย ทว่ายังคงเดินไปข้างหน้าเรื่อย

“ไม่ถูกๆ ท่านพ่อเดินเอียงแล้ว ทางตรงควรไปทางซ้าย”

เว่ยอู๋เว่ยเอียงศีรษะมองบุตรชาย แล้วมองทางที่ตนเองเดินผ่านมา ต้นไม้หลายต้นที่ทำสัญลักษณ์ไว้ข้างหลังยังคงเรียงกันเป็นเส้นตรง แต่เขาเลือกเชื่อบุตรชายตนเอง จึงปรับมุมเล็กน้อยและเดินไปทางซ้ายทันที

หลังจากสิบกว่าลมหายใจให้หลัง เว่ยหยวนเซิงถูกบอกให้เดินไปทางซ้ายอีก และหลังจากเวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง เว่ยหยวนเซิงก็ถูกบอกให้เดินไปทางซ้ายอีกหน หากพูดตามหลักการแล้ว นี่เกือบจะเท่ากับย้อนกลับไปทางเดิมแล้ว

เดินอยู่เช่นนั้นไปตลอดอีกครึ่งชั่วยามกว่า เว่ยอู๋เว่ยเหงื่อออกเต็มตัวแล้ว

ไม่ใช่เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจนถึงขั้นนี้ แต่แรงกดดันในหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้รับรู้ทิศทางไม่ได้โดยสิ้นเชิง เกิดเสียงอื้ออึงในหูอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเดินไปข้างหน้ายิ่งว้าวุ่นใจ ราวกับอยากทิ่มศีรษะเข้าป่าและไม่ออกมาอีกเลย

แต่เว่ยอู๋เว่ยเป็นคนฉลาดเฉียบแหลมอย่างยิ่ง เขารู้อยู่ลึกๆ ว่าตนเองและคนตระกูลเว่ยเข้าเขาหยกเขียวมานานแล้ว อีกทั้งวิชายุทธ์ของตนเองก็โดดเด่น แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ความน่ากลัวของป่าเขาจะเพิ่งปะทุออกมา

“แคว้ก…แคว้ก…”

เสียงกระเรียนดังมาจากท้องฟ้ารางๆ ทำให้เว่ยอู๋เว่ยพลันตั้งสติเต็มที่ เว่ยหยวนเซิงก็ลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณเช่นกัน สองบิดาบุตรเงยหน้ามองไป บนท้องฟ้ามีกระเรียนตัวหนึ่งบินวนเวียน ไม่รู้ว่าเป็นตัวเดียวกับที่เคยสนิทสนมกับตระกูลเว่ยในปีนั้นหรือไม่

“แคว้ก…แคว้ก…แคว้ก…”

ทว่ากระเรียนขาวไม่ได้ร่อนลงมา เพียงวนเวียนอยู่พักหนึ่งแล้วก็บินไป ทำให้บุตรบิดาตระกูลเว่ยผิดหวัง

“บินไปแล้ว ท่านพ่อ…”

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ หยวนเซิงหิวหรือไม่ พ่อนำขนมมาด้วยเล็กน้อย พวกเราพักกันก่อนดีกว่า”

ขณะนี้อยู่ตรงที่ราบลุ่มระหว่างภูเขา โชคดีที่ไม่มีต้นไม้สูงและหญ้ารกเท่าไหร่ เว่ยอู๋เว่ยแบกเว่ยหยวนเซิงไปนั่งลงบนก้อนหินสะอาด ก่อนจะวางเสี่ยวหยวนเซิงลง

ตอนสองบุตรบิดาดื่มน้ำกินอาหาร ฉับพลันนั้นมีเสียงลมกรรโชกดังมาจากป่าข้างหลัง เว่ยอู๋เว่ยลุกขึ้นยืนในวินาทีนั้น หยิบดาบนกเป็ดน้ำสองเล่มออกจากแขนเสื้อมากำไว้จนแน่น ตั้งท่าเตรียมป้องกัน

สัตว์ป่าบนภูเขามีไม่น้อย เว่ยหยวนเซิงยิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังก้อนหินอย่างระมัดระวัง

ทว่าสิ่งที่ออกจากป่าข้างหลังไม่ใช่สัตว์ป่า กลับเป็นสตรีนางหนึ่งที่ใบหน้างดงามอ่อนหวาน มองทีแรกน่าจะอายุประมาณสามสิบปี แต่มองอีกหนแล้วไม่พบริ้วรอยอะไร จึงรู้สึกว่านางน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบปี ฝีเท้าแผ่วเบา สวมชุดขนนกสีขาวทั้งตัว ผมยาวมัดมวยปักประดับด้วยปิ่นหยกสองชิ้น

ท่าทางของนางดูใจเย็น ไม่รีบร้อน

“ทั้งสองท่านหลงป่าหาทางออกไปไม่ได้ใช่หรือไม่”

ผู้มาเยือนไม่ได้เข้าใกล้ ส่งเสียงนุ่มนวลมาแทน หลังจากนั้นนางค่อยเดินเข้ามาใกล้ ดวงตามองดาบนกเป็ดน้ำสองเล่มที่ขนาดสั้นยาวไม่เท่ากันในมือของเว่ยอู๋เว่ยอยู่หลายครั้งอย่างชัดเจน

“บังเอิญนัก ข้าเองก็หลงป่าเช่นกัน มิสู้พวกเราเดินออกไปด้วยกันเป็นอย่างไร”

นางยิ้มให้เว่ยหยวนเซิงที่หลบอยู่ข้างหลังก้อนหิน จากนั้นเสนอเว่ยอู๋เว่ยคำหนึ่ง

ทว่าสองบุตรบิดาตระกูลเว่ยกลับชัดแจ้งแก่ใจแล้ว ณ สถานที่ที่พิเศษแบบนี้ คนผู้นี้ไม่มีทางใช่คนหลงทางจริงๆ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นกระเรียนเซียนตัวนั้นแปลงกายมา

“หยวนเซิงมานี่เร็ว!”

“อืม!”

เว่ยหยวนเซิงรีบอ้อมก้อนหิน วิ่งเสียงดังมาถึงข้างกายบิดาตนเอง ฝ่ายเว่ยอู๋เว่ยเปิดประเป๋าเสื้อออกแล้วหยิบหยกประดับออกมา ครั้นปลดเชือกออกแล้วค่อยวางลงบนมือเว่ยหยวนเซิง

เป็นดังคาด สตรีนางนั้นเห็นหยกประดับแล้วเปลี่ยนแววตาในทันที

“พวกเจ้าพกหยกประดับนี้…ไม่ทราบว่าทั้งสองมีชื่อแซ่ว่าอะไร”

เว่ยอู๋เว่ยและเว่ยหยวนเซิงน้อยสบตากัน หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กพลันประสานมือให้สตรีนางนั้น

“เรียนท่านเซียน ข้าน้อยนามว่าเว่ยอู๋เว่ย ส่วนเจ้าลูกหมาที่อยู่ข้างๆ…”

“เรียนท่านอาหญิงเซียน ข้ามีนามว่าเว่ยหยวนเซิง!”

เว่ยอู๋เว่ยมุ่นคิ้ว ถึงตามองเว่ยหยวนเซิงครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังหดคอมองสตรีนางนั้นครั้งหนึ่งด้วยความขลาดกลัว พบกว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนเองอยู่ ทว่าไม่มีท่าทางโกรธเคืองอะไร

“ตระกูลเว่ย…เรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว…”

นางทอดถอนใจ ใบหน้าแย้มยิ้ม

“หาทางมาที่นี่ได้ เห็นทีคงมีคนแนะนำ แต่ไม่เป็นไร บุญคุณของตระกูลเว่ยอย่างไรก็ต้องชดใช้ อืม เด็กคนนี้ชื่อว่าเว่ยหยวนเซิงใช่หรือไม่ เป็นชื่อที่ดีทีเดียว!”

เว่ยหยวนเซิงยิ้มสดใสให้นาง ใบหน้ารูปไข่อวบอิ่มขมวดเข้าหากันจนเหมือนก้อนแป้ง น่ารักน่าชังยิ่ง

“นี่ เฉียบแหลมตั้งแต่เด็กเชียวหรือ ไอ้หยา น่าจะฉลาดไม่หยอกจริงๆ หยกประดับทอแสงวิญญาณแล้ว!”

เว่ยอู๋เว่ยและเว่ยหยวนเซิงมองไปทางหยกประดับพร้อมกัน แต่กลับมองไม่เห็นแสงวิญญาณอะไร

“เอาล่ะ เด็กคนนี้ตามข้าเข้าเขาล้อมหยกเถอะ ส่วนเจ้า ข้าจะส่งเจ้าออกไป”

ไม่ได้!

เว่ยอู๋เว่ยรีบก้มลงทำความเคารพ ปากอ้อนวอนว่า

“ขอบคุณท่านเซียนที่รับเสี่ยวหยวนเซิง แต่หยวนเซิงยังเด็กอายุไม่ถึงห้าปี ไม่รู้ประสาและทำอะไรไม่เป็น ต้องมีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ขอท่านเซียนโปรดพิจารณา อนุญาตให้ข้าคนแซ่เว่ยเข้าเขาพร้อมกับบุตรชาย อยู่กับเขาจนรู้เรื่องรู้ราวดูแลตนเองได้เถอะ!”

สตรีนางนั้นถอนใจ

“ข้าว่าเด็กคนนี้ฉลาดขนาดนี้ ไม่เหมือนไม่รู้ประสาไม่รู้เรื่องอะไรนะ ท่านเว่ยไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก!”

เว่ยหยวนเซิงหดคออีกครั้ง อ้อนวอนด้วยเสียงหวานจ๋อยด้วยคน

“ท่านเซียน ขอร้องท่านล่ะ อย่าให้ท่านพ่อไปเลย…ข้ากลัว…”

ตอนนี้ความกลัวของเสี่ยวหยวนเซิงไม่ได้เสแสร้ง น้ำตาในดวงตากำลังจะไหลออกมา หากบิดาไปแล้วจะทำอย่างไรดี

“ขอท่านเซียนช่วยตระกูลเว่ยด้วย ขอร้องท่านเซียนแล้ว!”

เว่ยอู๋เว่ยพูดพลางคุกเข่าให้สตรีนางนั้น อีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้อถอยหลังไปหลายก้าว แทบจะคุกเข่าลงเช่นกัน

“เอาล่ะ ไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าต้องช่วยอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าต้องรู้ไว้นะ ข้า…อืม พวกเจ้ารู้ฐานะของข้ากระมัง”

“รู้ๆ ท่านคือเซียนแห่งจวนเซียน!”

สตรีนางนั้นกอดอก

“ไอ้หยา ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าจะบอกว่า เฮ้อ ข้าเป็นเพียงกระเรียนเซียนแห่งจวนเซียน ไม่อาจตัดสินใจเรื่องที่พวกเจ้าขอร้องได้หรอก!”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เว่ยอู๋เว่ยรีบคารวะอีกครั้ง

“ท่านเซียนยอมช่วยถือเป็นบุญคุณของตระกูลเว่ยแล้ว ฐานะกระเรียนเซียนของท่านก่อนหน้านี้ข้ารู้อยู่แล้ว ครั้งนี้ถึงได้บากหน้ามาขอร้องท่าน ขอบคุณท่านเซียนอย่างยิ่งที่ยอมช่วยเหลือ! ขอบคุณท่านเซียน!”

เว่ยหยวนเซิงรีบคารวะเช่นกัน

“ขอบคุณท่านเซียน!”

สตรีนางนั้นถอนใจเสียงหนึ่ง เห็นทีสองบุตรบิดานี้จะไม่ใช่คนธรรมดาที่ดื้อดึงจะเอาให้ได้ อืม น่าจะไม่ได้กลัวว่านางไม่ใช่เผ่ามนุษย์

“เอาอย่างนี้แล้วกัน เสี่ยวหยวนเซิงกลับไปกับข้าก่อน ส่วนเจ้ารออยู่ที่นี่ โปรดวางใจ ข้าจะหาปรมาจารย์เซียนหรือผู้อาวุโสเซียนที่ค่อนข้างสนิทสนมกัน แล้วจะพยายามขอร้องแทนเจ้า ข้าอยู่ที่เขาล้อมหยกมานานไม่เคยร้องขออะไรมาก่อน วันนี้จะยกเว้นเพื่อพวกเจ้าสักครั้ง!”

นางพูดอย่างจริงจัง จากนั้นก็ยื่นมือให้เว่ยหยวนเซิงพร้อมสีหน้าอ่อนโยน

“มา มากับอาหญิงกระเรียน”

เว่ยหยวนเซิงมองบิดาตนเองครั้งหนึ่ง เห็นเขาพยักหน้าให้จึงค่อยเดินตามสตรีนางนั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะอุ้มตนเองขึ้น

“เว่ยอู๋เว่ย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อย่างเร็วครึ่งวันอย่างช้าหนึ่งวัน”

“ท่านเซียนช้าก่อน!”

เห็นนางจะไปแล้ว เว่ยอู๋เว่ยจึงรีบเรียกนางไว้

“หืม?”

นางมองเว่ยอู๋เว่ยด้วยสีหน้าฉงน เห็นอีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องสำคัญจะพูด

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคนแซ่เว่ยอยากอธิบายกับท่านเซียน หลายปีก่อนข้าคนแซ่เว่ยเคยรู้จักกับสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง เพราะการสนทนาลึกซึ้งไม่ธรรมดาระหว่างกัน ทุกครั้งที่ข้าพบเขาล้วนคาระวะให้เสมอ หลายวันก่อนเขามาเยี่ยมเยียนข้าที่บ้าน ตระกูลเว่ยของข้าจึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกลเป็นพิเศษ…”

“เป็นคนผู้นั้นบอกพวกเจ้าให้มาขอวาสนาเซียนที่นี่หรือ”

กระเรียนเซียนครุ่นคิดแล้วถามออกไป ฝ่ายเว่ยอู๋เว่ยส่ายหน้าก่อนจะกล่าวต่อ

“ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง สาเหตุสำหรับเรื่องตระกูลเว่ยคือหลังจากวิกฤตครั้งก่อน มีความโชคดีในความโชคร้ายเค้นข้อมูลเกี่ยวกับเขาล้อมหยกได้จากผู้จู่โจม ท่านผู้เป็นสหายเก่าไม่รู้เรื่อง”

“ทว่าบนโต๊ะอาหารหลายวันก่อนหน้านี้ ท่านผู้แต่เดิมไม่รู้เรื่องอะไรพลันพูดกับข้า ว่าหากต้องการขึ้นเขาล้อมหยกแต่เข้าไปไม่ได้ ให้บอกกับกระเรียนเซียนเฝ้าเขาว่า ที่ตระกูลมีสหายเก่ารู้จักท่านเซียนฉิวเฟิงแห่งเขาล้อมหยก”

สตรีที่แปลงกายจากกระเรียนเซียนพลันชะงัก

“เขารู้จักท่านเซียนฉิวเฟิง? คนผู้นั้นเป็นใครกัน”

เว่ยอู๋เว่ยก้มหน้าประสานมืออีกครั้ง

“เรียนท่านเซียน ท่านผู้นั้นไม่ชอบให้คนอื่นบอกข้อมูลของเขาไปทั่ว ข้าคนแซ่เว่ยบอกท่านเซียนได้เพียงเขาแซ่จี้ คนแซ่จี้ เขาบอกว่าเพียงบอกว่ารู้จักท่านเซียนฉิวเฟิง อีกฝ่ายก็จะรู้เอง”

หญิงสาวครุ่นคิดแล้วพยักหน้า จากนั้นใบหน้าค่อยปรากฏความยินดี

“มีคำพูดของเจ้าแล้วข้ายิ่งมั่นใจ รอข่าวดีจากข้าเถอะ!”

นางพูดจบแล้วกระโจนตัว อุ้มเว่ยหยวนเซิงแปลงกายเป็นรุ้งขาวสายหนึ่งเหยียบหมอกจากไป ได้ยินเสียงกระเรียนร้องเลือนราง

เว่ยอู๋เว่ยมองส่งหญิงสาวพาเสี่ยวหยวนเซิงบินไป นับว่าโล่งใจได้ชั่วคราว ทว่าความเคร่งเครียดในใจยังคงอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะคลำถุงผ้าไหมเพื่อลดความกดดันลง

กระนั้นยื่นมือไปในอกเสื้อแล้วก็ต้องตะลึง จากนั้นเว่ยอู๋เว่ยหยิบถุงผ้าไหมออกมาส่ายสะบัดด้วยความลนลาน พบว่าถุงผ้าไหมเหี่ยวแห้ง ครั้นเปิดดูอย่างระมัดระวัง กระเรียนกระดาษไม่อยู่ข้างในตามคาด

“แย่แล้ว! คงไม่ได้หล่นหายในเขากระมัง ทำอย่างไรดี ตอนนี้จะทำอย่างไรดี!”

เว่ยอู๋เว่ยร้อนใจจนเหงื่อออกทั่วตัว เสาะหาตามพื้นที่รอบข้าง หลังจากนั้นเนิ่นนั่งถึงค่อยนั่งลงบนก้อนหินข้างๆ อย่างเซื่องซึม กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง

ณ ประตูเขาล้อมหยก เว่ยหยวนเซิงที่ตกอกตกใจไม่น้อยอยู่กลางอากาศจับหญิงสาวไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งร่อนลงกลางยอดเขาแห่งหนึ่งในที่สุด ถึงมองเห็นอาคารจวนเซียนที่คลับคล้ายคลับคลาว่ามีหมอกอยู่รอบๆ หรือซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา

ความรู้สึกเป็นกังวลถูกภาพงดงามอันเปี่ยมล้มไปด้วยเจตจำนงเซียนโดยรอบชะล้างไปไม่น้อยเช่นกัน

ธุระแรกของกระเรียนเซียนย่อมไปตามหาเซียนฉิวเฟิง ขอเพียงฉิวเฟิงยอมไปพบมหาเซียนด้วย เรื่องนี้ก็ไม่มีทางผิดพลาดแล้ว

อาศัยลมร่อนลงจากยอดเขาสู่หุบเขา

หญิงสาวอุ้มเสี่ยวหยวนเซิงมาถึงข้างเรือนไม้ไผ่ล่างหุบเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของฉิวเฟิง ก็รู้สึกได้แล้วข้างในไร้คน

เวลานี้กลับมีกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งบินออกจากในอกเสื้อของเว่ยหยวนเซิง ตีปีกบินไปข้างหน้า

“นั่นคืออะไร”

“อ๊ะ! นั่นไม่ใช่กระเรียนกระดาษของท่านพ่อหรอกหรือ”

เว่ยหยวนเซิงร้องขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก ทำให้หญิงสาวที่กำลังคิดยื่นมือไปคว้ากระเรียนกระดาษชะงักมือ มองกระเรียนกระดาษที่บินไปด้วยความใคร่รู้

ชัดเจนว่านี่เป็นนกกระดาษตัวหนึ่ง บนนั้นไม่มีพลังผันแปร กลับตีปีกบินไปเองได้เสียอย่างนั้น

‘หรือนกกระดาษตัวนี้จะเกิดปัญญาแล้ว’

ความคิดไร้สาระนี้เกิดขึ้นในใจกระเรียนเซียนได้พริบตาเดียวก็หายไป จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!

ตอนนี้เพียงเห็นกระเรียนกระดาษบินวนรอบเรือนไม้ไผ่รอบหนึ่งแล้วจากไปทันที บินไปบนเขา ความเร็วนับว่าไม่ช้า กระเรียนเซียนพลันรู้สึกถูกนกกระดาษตัวนี้ทิ้งห่าง

กระเรียนเซียนรีบอุ้มหยวนเซิงตามนกกระดาษที่ยิ่งบินยิ่งเพิ่มความเร็วตัวนั้น รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง สิ่งนี้เรียกว่ากระเรียนกระดาษสินะ

กระเรียนกระดาษตัวนี้บินตรงสู่หอเมฆาสงบ ศีรษะชนเข้ากับเขตอาคมข้างนอก จากนั้นมันตีปีกบินวนไปเวียนมา ราวกับต้องการเสาะหาตรงที่ไม่มีเขตอาคมลอดเข้าไป

พูดแล้วก็บังเอิญเหมือนกัน ตอนนี้มีเซียนเดินออกมาจากหอเมฆาสงบพอดี กระนั้นไม่สังเกตเห็นกระเรียนกระดาษน้อยๆ ตัวนี้ กระเรียนกระดาษสบโอกาส ตีปีกบินอย่างบ้าคลั่งหลายสิบครั้ง ฟึ่บ เข้าไปในหอเมฆาสงบแล้ว

“เฮ้อ…”

กระเรียนเซียนที่เพิ่งร่อนลงบนพื้นเห็นฉากนี้แล้วถอนหายใจด้วยความเป็นกังวลเสียงหนึ่ง อีกทั้งรู้สึกหวั่นใจเล็กๆ หากเป็นสิ่งของนอกรีตมนตร์มารแล้วจะทำอย่างไร

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท