ตอนที่ 187 ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนั้น
ผู้ฝึกปราณในเขาล้อมหยกซึ่งอยู่ตรงนี้นับได้ว่ามีอภินิหารความสามารถต่างลงมือควบคุมพลังปราณทั้งในนอกและรอบกายฉิวเฟิง และมีผู้ฝึกปราณหลายคนร่วมแรงตัดขาดการเชื่อมโยงพลังปราณฟ้าดินข้างนอก
เสียงหึ่งจากการสั่นสะท้านของระฆังทองในตำหนักเริ่มสงบลง ประมาณสิบกว่าลมหายใจให้หลังถึงกลับคืนสภาพเดิมได้ ขณะเดียวกันพลังปราณของฉิวเฟิงก็มั่นคงแล้วเช่นกัน ร่างกายอยู่ในสภาวะเข้าฌาน ถูกปกคลุมด้วยแสงธรรมชั้นหนึ่ง ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว
สถานการณ์เช่นเมื่อครู่ไม่อาจเกิดจิตมารภายใน มีผู้ฝึกเซียนเขาล้อมหยกอยู่ในเหตุการณ์มากมาย อีกทั้งอยู่ในตำหนักนภาหยกบนยอดเขาหลอมหยกเช่นนี้ ยิ่งไม่อาจมีมารรุกรานเข้ามาได้
ผู้ฝึกปราณทั้งหมด ณ ที่นี้ล้วนขมวดคิ้วเป็นปม เริ่นปู้ถงมองหยางหมิงที่อยู่ข้างๆ แล้วถึงมองฉิวเฟิงตัดขาดจากผู้อื่นอยู่กลางแสงธรรม
“ความสามารถของท่านเซียนน่าเกรงขามและน่ากลัวถึงเพียงนั้นจริงหรือ”
ผู้ฝึกปราณมากมายด้านข้างตระหนกจนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
“ท่านจี้ผู้นั้นระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงของทุกอย่างบนโลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เกิดปรากฏการณ์แปลกเช่นนี้ ราวกับเขตแดนภายในร่างกายแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งหรือ”
“มหามรรคเปลี่ยนผันชนิดที่เหมือนกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ…”
เป็นเช่นที่เริ่นปู้ถงว่า ตอนนี้เซียนทุกคนมีความรู้สึกเกรงขามและหวาดกลัวบางอย่างจริงๆ
ฉิวเฟิงเพียงนั่งอยู่อย่างนั้นก็รู้สึกได้ ตอนนี้บรรยายออกมากลับคล้ายภัยยามผู้มีมรรควิถีไม่ล้ำลึกบางคนคิดฝืนเปิดเผยความลับสวรรค์ ทว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยระดับฝึกปราณของฉิวเฟิงไม่มีทางไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนั้น และระฆังทองภายในตำหนักสั่นไหวไม่หยุดยิ่งแปลกพิลึก
มือขวาจูหยวนจื่อลูบเครา มือซ้ายนับนิ้วคำนวณ ดวงตากลอกกลิ้งไม่สงบ ลองอยู่หลายครั้งแล้วล้วนล้มเหลว คราวนี้ได้ยินสหายคนอื่นวิเคราะห์แล้วถึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ผู้สูงส่งระดับเซียนยากหยั่งคาดมหัศจรรย์อย่างยิ่งจริง แต่ข้าผู้ชราไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน ส่วนท่านเซียนผู้นั้น…เหนือจินตนาการอยู่บ้าง…ราวกับว่า…”
จูหยวนจื่อมองฉิวเฟิงที่มีแสงธรรมครอบคลุมและโดยรอบตำหนักนภาหยกตามสัญชาตญาณ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกรอบๆ ก็คล้ายจะเข้าใจโดยดุษณีเช่นกัน
“เซียนอัศจรรย์ไม่อาจคาดเดาได้ และผู้เป็นเซียนก็ไม่ใช่ว่าไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ!”
“ถูกต้องที่สุด ประเด็นอยู่ที่ท่านจี้ผู้นี้ในเมื่อมีความรู้สึกไม่เลวต่อเขาล้อมหยกของพวกเขา อีกทั้งช่วยสะสางแค้นเก่าระหว่างพวกเราและประมุขมังกร นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี”
ไม่มีผู้ฝึกปราณคนใดคัดค้านคำพูดนี้ ชัดเจนว่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกยิ่งยินดีเชื่อในความตั้งใจของจี้หยวน และไม่ใช่ว่ามังกรเฒ่าแห่งแม่น้ำเทียมฟ้าใจกว้างมากขนาดนั้น อาจถือได้ว่ามีอารมณ์ส่วนตัวอยู่ด้วย
“ไม่เลว แม้ไม่อาจให้คนนอกดูยันต์บัญชาเขา แต่ข้าผู้ชราคิดว่าส่งใจความการศึกษายันต์บัญชาส่วนหนึ่งของเขาล้อมหยกให้ท่านจี้อ่านดูได้!”
“นั่นเกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง เซียนผู้ค้นคว้าวิชาบัญชาจะชอบใจสิ่งของของพวกเราหรือ”
“คำพูดของสหายนี้อาจไม่ถูกต้อง ท่านจี้ผู้นั้นเพียงกล่าวขอกับสหายฉิวเป็นการส่วนตัว นี่เป็นการแสดงความในใจไม่ใช่มารยาท เอาเป็นว่าบอกให้ท่านจี้ทราบว่าพวกเราบนภูเขาพูดคุยกันอย่างจริงจังแล้ว แต่ยากจะยอมให้ท่านจี้ทำตามประสงค์ได้”
“มีเหตุผล!”
“ดี ตกลงตามนี้แล้วกัน!”
…
เมื่อฉิวเฟิงได้สติจากการเข้าฌานก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าให้หลังแล้ว หนึ่งเดือนนี้ศิษย์พี่เซียนหยางหมิงก็นั่งเข้าฌานอยู่ที่ตำหนักนภาหยกเช่นกัน ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นแยกย้ายกันไป ฝ่ายเริ่นปู้ถงเพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบจึงกลับหอเมฆาสงบแล้ว
ตอนนี้สถานการณ์ยังคงไม่ชัดเจน แต่นับว่าเป็นปีที่มีเรื่องมากมาย เซียนอาวุโสหลายคนออกจากยอดเขาหลอมหยก ย้อนกลับไปประจำการยังสำนักเดิม เพื่อให้ตอบสนองได้ทันท่วงทีเมื่อมีเรื่องด่วนอะไร
เพราะจี้หยวนเคยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่หวังให้เขาล้อมหยกบุ่มบ่ามประกาศถึงการมีอยู่ของเขา ดังนั้นเขาล้อมหยกจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะติดต่อกับจี้หยวนอย่างไรดี
ไม่เช่นนั้นก็ต้องให้ฉิวเฟิงร่วมกับผู้ที่มีวาสนาเคยได้พบจี้หยวนไปเยี่ยมเยียนดีกว่า รอให้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เข้าใจกันมากกว่าเดิมแล้วถึงค่อยเชิญเขามาเป็นแขกของแดนอริยะเขาล้อมหยก เช่นนั้นแล้วผู้ฝึกเซียนคนอื่นบนเขาล้อมหยกก็จะได้ถือโอกาสนี้ทำความคุ้นเคยกับเซียนผู้นี้ไปด้วย
สุดท้ายแล้วเขาล้อมหยกก็ยังคงมี ‘ความหยิ่งในศักดิ์ศรี’ ที่บอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้ของตนเองอยู่
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เดินทางไปส่งแผ่นหยกยังเรือนสันติย่อมเป็นฉิวเฟิงเช่นเคย
ที่จริงแล้วท่ามกลางความสับสนขณะฉิวเฟิงเข้าฌาน เขาได้ยินเสียงวางหมากชัดเจนในเรือนสันติก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้น
ความกังวลหลังจากเกิดเรื่องไม่ได้ปรากฏ เดิมทีไม่กล้าหวนนึกถึงชั่วขณะของการเปลี่ยนผ่านในเรือน กลับนึกถึงยามอยู่ที่ตำหนักนภาหยกแล้วได้ผลลัพธ์อื่น แม้ตอนนั้นจะไม่เกิดอันตราย แต่หลังจากสงบใจได้แล้วความเข้าใจที่มีต่อฟ้าดินภายในกายก็เพิ่มสูงขึ้นหนึ่งขั้น นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว จูหยวนจื่อเลือกตำราทำความเข้าใจเกี่ยวกับยันต์บัญชาเขาจำนวนหนึ่งด้วยตนเอง แล้วให้ฉิวเฟิงนำไปส่งยังอำเภอหนิงอัน
ดังนั้นประมาณปลายเดือนเจ็ด จี้หยวนได้รับการเยี่ยมเยียนที่มาจากเขาล้อมหยก
ฉิวเฟิงทิ้งแผ่นหยกสามชุดไว้ ทักทายจี้หยวนเรียบๆ หลายคำแล้วก็กลับไป ไม่ได้คิดอยู่คุยต่อ ด้วยตอนนี้เขาฝึกปราณรุดหน้า ยิ่งหวังกลับไปฝึกต่อที่เขาล้อมหยก
ความจริงจี้หยวนค่อนข้างคาดหวังว่าเขาล้อมหยกจะอนุญาตให้เขาชมยันต์บัญชาเขาสักครั้งหรือไม่ แต่ชัดเจนว่าเขาคิดมากไป เพียงพบกันไม่กี่ครั้ง อีกฝ่ายอาจระแวดระวังเขาอยู่ แล้วจะให้เขาชมของล้ำค่าของสำนักได้อย่างไร
ทว่ามอบแผ่นหยกสามชุดนี้ให้ก็คล้ายกับยอดเยี่ยมกว่าความตั้งใจเดิมของจี้หยวนแล้ว เพราะเมื่อครู่จี้หยวนอ่านแผ่นหยกชุดหนึ่งคร่าวๆ บนนั้นเป็นการศึกษาเกี่ยวกับบัญชาที่เขาอ่านแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้าง กระนั้นยากจะปกปิดความวิเศษที่อยู่ภายใน
อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ตำราฝึกเซียนเหมือนตำรารวมเหล่านั้นก่อนหน้านี้และเคล็ดวิชาฝึกปราณโดยทั่วไป ระดับความยากอาจเทียบได้กับความแตกต่างระหว่างตำราและต้นฉบับงานวิจัย
‘เห็นทีวิชาบัญชาของแท้และเสียงบัญชาของเรายังมีความแตกต่างกันอยู่มาก ความยากของการศึกษาไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับการปรับแก้วิชาเปลี่ยนมนุษย์เป็นเซียนที่มังกรเฒ่าเสาะหา…’
นี่ทำให้จี้หยวนรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองคิดถูกแล้ว หากดูยันต์บัญชาเขาโดยตรงอาจสติหลุด เสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์
และแผ่นหยกตรงหน้าเป็นวิชามหัศจรรย์ของแท้ แม้จะทำความเข้าใจยาก แต่ขอเพียงรับความรู้ต่อไปก็จะรับไว้ได้ทั้งหมด เป็นตำราล้ำค่าที่พัฒนาการฝึกปราณให้รุดหน้าได้อย่างแท้จริง
บนโต๊ะหินภายในเรือนสันติตอนนี้ แผ่นหยกซึ่งทำจากหยกขาวสามชุดอยู่ภายในแสงอาทิตย์ลายพร้อยเพราะส่องผ่านกิ่งก้านของต้นพุทรา ทอแสงราวกับอัญมณีอย่างชัดเจน
แผ่นหยกทุกชุดประกอบขึ้นจากแท่งหยกสิบหกแท่งที่กว้างประมาณหนึ่งนิ้วมือ ระหว่างกันเชื่อมด้วยด้ายทองที่คล้ายกับเกิดขึ้นบนหยกเอง ทว่าไม่ได้ผ่านทะลุหยก บนแท่งหยกทุกแท่งเต็มไปด้วยตำราบันทึกสวรรค์ถี่ยิบ หากความสามารถไม่เพียงพอก็คงมองเห็นเพียงแท่งหยกเกลี้ยงเกลาพวกนี้
ขณะเดียวกันทุกท่อนของตำราบันทึกสวรรค์บรรยายอย่างสมบูรณ์แบบ มีวิชาวัตถุสื่อจิตชัดเจน จากตัวหนังสือบนตำราบันทึกสวรรค์และเจตเทพทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน
จี้หยวนถอนใจและพึมพำ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสตัวหนังสือของตำราบันทึกสวรรค์อันเป็นส่วนเปิดของแผ่นหยกหนึ่งในนั้น
แตกต่างกับตำรารวมเหล่านั้น แผ่นหยกสามชุดนี้มีชื่อผู้เขียน
“จูหยวนจื่อแห่งเขาล้อมหยก”
จี้หยวนมองอีกสองชุด ในบรรดาแผ่นหยกสามชุดเป็นของจูหยวนจื่อแล้วสองชุด ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นของหยวนหวั่นเอ๋อร์ น่าจะเป็นผู้สูงส่งสองคนของเขาล้อมหยก
‘เขาล้อมหยกอาจมีเซียนอัศจรรย์ตัวจริงก็เป็นได้!’
ในใจจี้หยวนคาดเดาเช่นนั้น อย่างไรก็ดีจูหยวนจื่อและหยวนหวั่นเอ๋อร์คล้ายกันทีเดียว อย่างน้อยเขากล้ายืนยันว่าทั้งสองคนสร้าง ‘ตำราบัญชา’ ได้อย่างแน่นอน
จี้หยวนในตอนนี้ปีติยินดี ได้รับแผ่นหยกสามชุดก็เหมือนกับได้รับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดเมื่อชาติก่อน หวงแหนเป็นอย่างยิ่ง เก็บเข้าช่องแขนเสื้อแล้วออกจากประตูกินข้าวเช้าตามปกติ แม้แต่ฝีเท้าก็กระฉับกระเฉงไม่น้อย รอยยิ้มเจิดจ้าประดับอยู่บนใบหน้า
ภายในตรอกมีเพื่อนบ้านหาบน้ำผ่านมา เห็นจี้หยวนจึงทักทายอย่างกระตือรือร้น
“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้ ท่านอารมณ์ดีไม่หยอกเลยนะ!”
“อรุณสวัสดิ์ๆ ฮ่าๆ ใช้ได้ทีเดียว!”
จี้หยวนยิ้มรับและเดินผ่านไป มอบรอยยิ้มให้เพื่อนบ้าน เขายิ้มตลอดทางจนไปถึงร้านบะหมี่ตระกูลซุน ทักทายเถ้าแก่ซุนแล้วถึงสั่งเกี๊ยวน้ำชามหนึ่ง
นั่งอยู่ข้างโต๊ะหน้าร้านได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เถ้าแก่ซุนก็ยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่เข้ามา
“ท่านจี้ เกี๊ยวน้ำของท่านเสร็จแล้ว!”
“ดีเลย ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนประสานมือ หยิบตะเกียบและช้อนกระเบื้องในตะกร้าเริ่มกิน อารมณ์ดีเสียจนแม้แต่เกี๊ยวน้ำก็รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น…
“อาซุน ขอเกี๊ยวน้ำชามหนึ่งกับหมั่นโถวขาวสองลูก”
มีลูกค้านั่งลงและตะโกนบอกเถ้าแก่ร้าน
“ได้เลย จะทำเดี๋ยวนี้!”
ไม่นานเกี๊ยวน้ำก็เสร็จ เถ้าแก่ซุนยกเกี๊ยวน้ำและจานเล็กๆ ใส่หมั่นโถวสองลูกมาให้ถึงหน้าโต๊ะของคนผู้นั้น แต่กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายมุ่นคิ้วเป็นปมแน่น
“นี่ เสี่ยวหลิว เจ้าถอนหายใจเช่นนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”
“เฮ้อ…ท่านแม่ข้าป่วยเป็นหวัดมาหลายวันแล้วไม่หายสักที ข้ากลุ้มใจมาก ใบสั่งยาที่หมอเหล่านั้นออกให้ล้วนใช้ไม่ได้ผล”
เถ้าแก่ซุนและชายหนุ่มค่อนข้างสนิทกันอย่างชัดเจน จึงถือโอกาสนั่งลงข้างๆ เขาเสียเลย
“ไปหาหมอถงแล้วเหมือนกันหรือ”
“อย่าพูดเลย นี่ไม่ใช่เพราะหมอถงไม่อยู่หรอกหรือ ไม่เช่นนั้นข้าคงเชิญเขาไปดูอาการที่บ้านตั้งนานแล้ว!”
“อ้าว หมอถงยังไม่กลับมาหรือนี่ ผ่านไปเดือนกว่าแล้วไม่ใช่หรือ”
“ใช่!”
จี้หยวนที่แต่เดิมกินเกี๊ยวอยู่ได้ยินดังนั้นแล้วก็เคลื่อนไหวช้าลง มีความรู้สึกแปลกๆ เลือนรางจึงมองไปและกล่าวถาม
“ไม่ทราบว่าหมอถงไปที่ใดหรือ”
เถ้าแก่ซุนเห็นจี้หยวนถามก็รีบตอบ
“ได้ยินว่าเดือนที่แล้วไปอำเภอเต๋อหย่วน ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“อำเภอเต๋อหยว่น?”
จี้หยวนพลันนึกถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งก็คือฉิวจื่อโจว หมอเทวดาชราผู้นั้น
‘หรือว่า…’
การฉุกคิดขึ้นได้นี้ทำให้ความรู้สึกบางอย่างในใจรุนแรงขึ้น จี้หยวนตั้งแผนภูมิปากว้าด้วยชื่อของฉินจื่อโจว มือซ้ายในแขนเสื้อคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นพักหนึ่งจี้หยวนหยุดนับนิ้วในแขนเสื้อแล้ว
“เฮ้อ…ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากจะหลีกเลี่ยงเกิดแก่เจ็บตาย!”
“ท่านจี้พูดเรื่องอะไรน่ะ”
เถ้าแก่ซุนได้ยินจี้หยวนพึมพำรางๆ แต่กลับได้ยินไม่ชัด
“อืม ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากให้คิดเงินแล้ว”
จี้หยวนหันกลับไปกินเกี๊ยวที่เหลือเร็วๆ จนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง วางเงินไว้แล้วรีบร้อนลุกขึ้นจากไป ความสุขใจก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว