ตอนที่ 188 พบฉินจื่อโจวอีกครั้ง
หากพูดตามตรง ในบรรดาคนและเรื่องราวที่จี้หยวนเคยประสบหลายปีมานี้ หมอเทวดาฉินจื่อโจวแห่งอำเภอเต๋อหยวนนับได้ว่าเป็นบุคคลจำนวนน้อยที่ทำให้เขาเลื่อมใสจากใจจริง
ทัศนคติมองโลกในแง่ดีของเขา ความเชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาแพทย์ วิชาแพทย์ขั้นสูงและจรรยาบรรณแพทย์ที่สูงส่ง ไปจนถึงความอาวุโสเหมือนกระเรียนที่ยืนอยู่ในฝูงไก่ท่ามกลางมนุษย์โลก ล้วนมอบความประทับใจที่ค่อนข้างลึกซึ้งให้กับจี้หยวนทั้งสิ้น
หากเมื่อครู่จี้หยวนไม่ได้ออกมากินข้าวเช้าช้าครึ่งชั่วโมงเพราะมัวแต่อ่านแผ่นหยกอยู่ในเรือน ก็คงไม่เจอเข้ากับชายหนุ่มตระกูลหลิว ยิ่งไม่มีรู้สถานการณ์ของฉินจื่อโจวในตอนนี้
แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว สำหรับผู้ที่น่าเลื่อมใสอย่างหมอฉิน จี้หยวนคิดว่าควรไปเยี่ยมสักครั้ง
จี้หยวนฝีเท้ารีบเร่ง อีกทั้งไม่ได้เดินผ่านตรอกเทียนหนิว ทว่าเดินมุ่งหน้าไปทางนอกเมืองโดยตรง แทบจะก้าวออกจากอำเภอหนิงอันภายในหนึ่งเค่อกว่า
ริมถนนขนาดเล็กข้างนอกเมือง จี้หยวนหยิบกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งออกจากอกเสื้อ กดลงสองครั้งแล้วค่อยพับปีกกระดาษอย่างดี คราวนี้กระเรียนกระดาษ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาแล้ว
“ไปเถอะ!”
เขาโยนออกไป กระเรียนกระดาษบินขึ้น กระพือปีกกลับไปในอำเภอหนิงอันเพื่อส่งข่าวให้กับหูอวิ๋นโดยเฉพาะ มันกับอิ๋นชิงกลับมาแล้วไม่เจอจี้หยวนจะได้ไม่ร้อนใจ
เมื่อมองส่งกระเรียนกระดาษบินไปแล้ว ทั้งกายจี้หยวนค่อยๆ เลือนราง ขณะเดียวกันเมฆหมอกจางระลอกหนึ่งก่อตัวขึ้น กลายเป็นก้อนฝ้ายขาวหนึ่งกลุ่มลอยสู่อากาศ จากนั้นก็ห่างออกไปไกลแสนไกล
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ จี้หยวนอยู่กลางท้องฟ้าเหนืออำเภอเต๋อหย่วนแล้ว
เบิกตาทิพย์กวาดสายตามองอยู่กลางอากาศรอบหนึ่ง จี้หยวนเห็นปราณเลือนรางโดยคร่าวของอำเภอเต๋อหย่วนทั้งอำเภอแล้ว แสงแห่งมรรคเทพมีอยู่ในศาลเจ้าที่ไม่นับว่าใหญ่มากแห่งหนึ่ง แต่ชัดเจนว่าไม่ใช่ศาลหลักเมือง
ด้วยความสามารถของหมอเทวดาอย่างฉินจื่อโจว เขามีคุณธรรมทั้งฝั่งหยินและหยางนับไม่ถ้วน จำต้องไม่ขาดอายุขัย
อีกทั้งอำเภอเต๋อหย่วนเป็นเพียงอำเภอเล็กๆ ภายในอำเภอไม่มีศาลหลักเมือง จะมีก็แต่ศาลเจ้าที่แห่งหนึ่ง หากฉินจื่อโจวสิ้นชีวิตย่อมมีสองความเป็นไปได้
หนึ่งคือศาลมืดอำเภอเต๋อเซิ่งส่งยมทูตดำมารับคนโดยตรง สองคือคนรุ่นหลังในตระกูลจัดการส่งวิญญาณก่อนแล้วมุ่งหน้าไปกราบไหว้ศาลเจ้าที่ วิญญาณของฉินจื่อโจวตอนนี้จะถูกนำทางไปยังศาลมืดอำเภอเต๋อเซิ่งโดยเจ้าที่
จี้หยวนคำนวณแล้วว่าฉินจื่อโจวเพิ่งสิ้นอายุขัย แต่หากไม่ใช่ศาลมืดส่งยมทูตดำมาถึงที่ ตอนนี้วิญญาณของอีกฝ่ายควรจะยังอยู่ในร่าง
หากศาลมืดอำเภอเต๋อเซิ่งส่งยมทูตดำมาถึงที่ก็มีอยู่สองสถานการณ์ หนึ่งคือพาวิญญาณกลับจังหวัดเต๋อเซิ่งทันที สองคือยมทูตดำดูแลวิญญาณ รอจนพิธีในตระกูลเสร็จสิ้นถึงค่อยพาวิญญาณจากไป สถานการณ์ขึ้นอยู่กับผู้ตายและยมทูตดำ ไม่มีวิธีตายตัว
คนอย่างฉินจื่อโจวหากศาลมืดไม่มอบตำแหน่งดีๆ ให้ จี้หยวนคิดว่าจะเจรจากับศาลมืดอำเภอเต๋อเซิ่งสักหน่อย แม้จะเชิญวิญญาณมาด้วย ทว่าเขาลงมือจัดหาหนทางหลังความตายให้อีกฝ่ายได้เช่นกัน
เมฆลอยต่ำลงกลางอำเภอเต๋อหย่วน จี้หยวนสะบัดแขนทั้งซ้ายขวาหลายครั้ง พับแขนเสื้อกว้างทั้งสองและมัดปมชายแขนเสื้อไว้ เดินไปเดินฝีเท้าสบายๆ ค้นหาโถงยาเมตตาในตอนนั้นไปตลอดทาง
ถึงจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ โถงยาเมตตาก็ยังคงเปิดกิจการ เพียงแต่คนที่ประจำการอยู่ตรงโต๊ะย่อมไม่มีทางเป็นชายชราตระกูลฉิน ทว่าเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง จี้หยวนเข้าไปข้างในและเข้าไปใกล้แล้วถึงเห็นใบหน้าที่ไร้สีสันชัดเจน ไม่รู้เหมือนกันว่าคนผู้นั้นใช่หมอหรือไม่
คนเฝ้าร้านภายในมีเพียงคนเดียว กำลังตำสมุนไพรอย่างหงอยเหงาซึมเซา เสียงป๊อกๆๆๆ ดังมา
“ลูกค้าท่านนี้ต้องการเจียดยาหรือตรวจอาการ หากตรวจอาการหรืออยากให้ออกตรวจ ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง แน่นอนว่าหากอาการร้ายแรงจะช่วยท่านหาหมอมาสักคน”
ชายวัยกลางคนหลังโต๊ะเห็นจี้หยวนเข้ามาพร้อมสีหน้าร้อนใจ รู้สึกว่าในบ้านของอีกฝ่ายมีคนป่วยอยู่แปดส่วน ครั้นเขาพูดออกมาเช่นนี้จี้หยวนก็เข้าใจทันทีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่หมอ
จี้หยวนประสานมือให้ชายที่อยู่หลังโต๊ะ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ข้าไม่ได้ตรวจอาการและไม่ได้มาเจียดยา เพียงอยากถามหลงจู๊ท่านนี้ว่าหมอฉินจื่อโจวอยู่หรือไม่”
แม้โถงยาเมตตาจะมีเตียงมีห้อง แต่ชัดเจนว่าไม่ใช่บ้านจริงๆ ของชายชราอย่างฉินจื่อโจว ตอนนี้สถานการณ์ของฉินจื่อโจวคือวนเวียนระหว่างหยินหยางและความเป็นตาย เป็นช่วงเวลาที่ตัดขาดจากโลกมนุษย์ทว่ายังไม่เกิดในโลกวิญญาณ ด้วยความสามารถในการคำนวณของจี้หยวนไม่เข้าขั้น อีกทั้งไม่ได้คำนวณละเอียดเกินไป
รวมถึงงานศพในอำเภอเต๋อหยวนเหมือนจะไม่ได้มีเพียงตระกูลเดียว เพื่อไม่ได้ค้นหาผิดที่สู้ถามไปตามตรงดีกว่า
เมื่อได้ฟังจี้หยวนถามฉินจื่อโจว หลงจู๊ยิ่งสนอกสนใจทันที
“ท่านเป็นศิษย์ของหมอฉินหรือ เดินทางมาไกลเลยกระมัง”
จี้หยวนคิดก่อนจึงค่อยเอ่ยปากตอบ
“หลงจู๊เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ศิษย์ของหมอฉิน แต่กลับเป็นสหายเก่าของหมอฉิน ข้าได้ข่าวแล้วตั้งใจเดินทางมาไกล ทว่าตอนนั้นรู้จักกับหมอฉินที่โรงหมอแห่งนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลฉินอยู่ที่ใด ขอหลงจู๊บอกให้ข้ารู้ด้วยเถอะ”
“ได้รับข่าวแล้วรีบเดินทางมา ไม่มีทางเป็นคนนอกแน่นอน หลิ่วจื่อ รีบนำทางท่านผู้นี้…”
“ข้าแซ่จี้ชื่อหยวน จี้อันหมายถึงคำนวณ หยวนอันหมายถึงโชคชะตา!”
“อืม พาท่านจี้ไปที่บ้านของหมอฉิน อาจจะยังทันได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย!”
“ขอรับ!”
ผู้ดูแลร้านรีบลุกขึ้นยืน วิ่งไปข้างนอกเพื่อนำทางจี้หยวน
“เชิญท่านตามข้ามา!”
“ได้ ลำบากเจ้านำทางแล้ว”
จี้หยวนประสานมือให้หลงจู๊ ถึงค่อยตามผู้ดูแลร้านเดินเร็วจากไป ดูท่าหลงจู๊ผู้นี้ยังไม่รู้ว่าตอนนี้หมอฉินน่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว
ด้วยการนำทางของผู้ดูแลร้านของโถงยา เดินไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงตระกูลฉินตรงมุมอำเภอเต๋อหย่วนแล้ว
ถึงตระกูลฉินจะไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่โตอะไร แต่เรือนขนาดใหญ่ยังมี ตอนนี้ญาติมิตรส่วนใหญ่ในตระกูลรวมตัวกัน อีกทั้งมีศิษย์ของฉินจื่อโจวด้วยจำนวนหนึ่ง ผู้ที่มาได้ล้วนมากันหมดแล้ว รวมถึงพระอาจารย์กลุ่มหนึ่งที่เชิญมาจากบนเขาล่วงหน้า ทำให้โถงใหญ่ตระกูลฉินที่เดิมทีถือว่ากว้างขวางคับแคบลงไปถนัดตา
ชั่วชีวิตนี้ฉินจื่อโจวสั่งสอนวิชาแพทย์ระดับสูงให้ศิษย์ไม่น้อย ไม่นับรวมผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้มากันพร้อมหน้า แต่ผู้ที่มาก็มีอยู่พอสมควร รวมทั้งหมดมีสิบกว่าคน คนกลุ่มนี้รวมตัวอยู่ด้วยกันย่อมตรวจอาการชายชราสองวันแล้ว และตัวชายชราเองก็มีความรู้สึกมาหลายวันแล้วเช่นกัน ในบ้านจึงเตรียมงานศพเอาไว้เรียบร้อย
ตอนที่จี้หยวนมาถึง โถงใหญ่ตระกูลฉินแขวนธงขาวแล้ว เสียงร้องไห้ระงมดังมาแต่ไกล หน้าประตูมีคนกำลังสะอึกสะอื้นเช่นกัน
ฝีเท้าของผู้ดูแลร้านผ่อนลงเมื่อมาถึงที่นี่ บนใบหน้ามีความรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างน่าแประหลาด แม้กระทั่งแสดงความสับสนอยู่รางๆ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เอาล่ะน้องชายท่านนี้ เจ้ากลับโถงยาไปเถอะ ข้าเข้าไปเองคนเดียวได้!”
จี้หยวนเห็นเขาคล้ายกับไม่ค่อยกล้าเดินไปข้างหน้าแล้ว จึงกล่าวกับเขาคำหนึ่งก่อนเดินต่อลำพัง จากนั้นมองเห็นว่ามีแสงเทพกำยานและปราณผียมทูตดำลอยขึ้นกลางลานบ้าน เห็นสถานการณ์นี้แล้วน่าจะเป็นเจ้าที่และยมทูตดำเพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเท่าไหร่ มาตรฐานของชายชราตระกูลฉินสูงมากพอ
ที่หน้าประตูเรือน คนผู้หนึ่งแก่ คนผู้หนึ่งหนุ่มนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น ตอนจี้หยวนเดินเข้ามา พวกเขาเพิ่งหยิบผ้าขาวที่คนข้างในส่งมาให้ กำลังผูกบนศีรษะ
เห็นจี้หยวนหยุดอยู่ที่หน้าประตู ชายที่ค่อนข้างอายุมากใช้แขนเสื้อเช็ดหางตาพลางถาม
“ท่านผู้นี้คือ?”
ตอนนี้สายตาของจี้หยวนมองผ่านประตูลานเข้าไปข้างใน กลางลานนอกจากคนกลุ่มหนึ่งแล้ว บางตำแหน่งหน้าเรือนยังยืนไว้ด้วย ‘คน’ กลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นผอมชรา สวมหมวก มีแสงเทพทอออกมาจากร่างกาย น่าจะเป็นเจ้าที่
นอกจากนั้นยังมีผู้ลาดตระเวนทิวาสองคน ทูตดึงวิญญาณสองคน และยมทูตดำสองคนถือร่มบังหยิน ยังไม่ได้เดินเข้าไปในห้องที่มีคนน้ำตานองหน้ากำลังเบียดกันอยู่
ได้ยินชายที่หน้าประตูถามแล้ว คราวนี้จี้หยวนถึงดึงสติกลับมาและทักทาย
“ในปีนั้นข้าได้รับน้ำใจจากท่านฉิน ได้ยินข่าวนี้แล้วจึงตั้งใจมาดูว่ามีอะไรพอช่วยเหลือได้บ้างโดยเฉพาะ”
“อ๋อ…น่าเสียดายที่ท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง ท่านอาเพิ่งจากโลกนี้ไป ในบ้านไม่ต้องรบกวนท่านช่วยเหลือ คนเยอะมากความ พวกข้าขอรับเจตนาดีของท่านไว้ หากตั้งใจจริงจะไปกราบที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายหลังจัดวางเสร็จแล้วก็ได้ ทว่าตอนนี้เชิญกลับไปก่อนเถอะ!”
ชายผู้นั้นประสานมือกลับให้จี้หยวน ปฏิเสธเจตนาดีของอีกฝ่าย ท่านอาเป็นหมอเกือบแปดสิบปี ช่วยชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับน้ำใจจากเขาไม่รู้มีมากตั้งเท่าไหร่ คนเช่นท่านผู้นี้ช่วงนี้มาเยือนมากเกินไปแล้ว
‘ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายจัดวางเสร็จแล้วเราก็ไม่กล้าไปกราบอยู่ดี!’
จี้หยวนพึมพำในใจประโยคหนึ่ง มือกลับไม่ได้ยกประสานอีกครั้ง เพียงพยักหน้าตอบไป
“ตกลง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว!”
พูดจบแล้วเขาก็หมุนกายจากไป เพียงเลี้ยวเข้าตรอกหนึ่งแล้วเงาร่างพลันจางหาย เข้าไปในโถงใหญ่ตระกูลฉินอีกครั้ง
ครั้งนี้จี้หยวนเข้าไปในลานบ้านแล้วเดินอยู่ไปครู่หนึ่ง ภูตผีในลานบ้านพากันส่งสายตามองมา ยมทูตดำยิ่งสาวเท้าเข้ามาขวางอยู่ที่หน้าก้องแล้ว
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร มาที่นี่ด้วยเหตุผลใด”
จี้หยวนประสานมือคารวะภูตผีอย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยแซ่จี้ นับว่ามีวาสนากับหมอฉินจื่อโจวเช่นกัน เมื่อครู่จู่ๆ มีความรู้สึกว่าอายุขัยเขาขาดสะบั้น จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ ยังหวังให้เจ้าหน้าที่ศาลมืดและเจ้าที่อำนวยความสะดวกสักครั้ง”
ขณะที่จี้หยวนพูด ปราณวิญญาณและคลื่นพลังที่เดิมทีตั้งใจเผยออกมาพลันหายไปไร้ร่องรอย แม้กระทั่งวิชาบังตาที่จงใจเปิดช่องโหว่ก็หายไปไม่เห็น แต่เห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาโดยรอบยังคงไม่มีใครมองเห็นเขา
ภูตผีกลุ่มหนึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงชนิดฉับพลันแล้วจิตใจสั่นสะท้าน รู้ว่าเมื่อครู่เป็นคนผู้นี้จงใจบอกให้พวกเขารู้ หากเขาอยากเข้าไปจริงก็ทำได้โดยที่ไม่มีใครรับรู้ไปแล้ว
“ท่านเซียนมาจากหุบเขาเซียนใด ฉินจื่อโจวหมดอายุขัยแล้ว ท่านเซียนมาเขาด้วยธุระใดหรือ ข้ารอครอบครัวเขาจัดพิธีเสร็จแล้วถึงจะนำวิญญาณเขาไปส่งที่ศาลมืดอำเภอเต๋อเซิ่ง!”
ผู้ลาดตระเวนทิวาเอ่ยเสียงขรึม
“ผู้ลาดตระเวนทิวาและทุกท่านวางใจเถอะ ข้าคนแซ่จี้ไม่ใช่ปีศาจร้ายอะไร หากจะพูดกันตามตรงก็ไม่ได้มีความลับอะไรเช่นกัน แค่อยากร่วมอยู่ตรงนี้กับทุกท่านด้วย เผื่อว่ามีเรื่องอะไรต้องจัดการ ข้าคนแซ่จี้จะร่วมเดินทางอำเภอเต๋อเซิ่งด้วย ไม่มีมีทางทำให้ทุกท่านลำบากใจ!”