ตอนที่ 196 ปลากินน้ำแกงปลา
ฝีพายหนุ่มผู้นี้ทำอาชีพฝีพายมาแล้วสามปี ทว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับตำนานเกี่ยวกับแม่น้ำที่ชาวบ้านเล่ากัน เมื่อครู่เห็นความเคลื่อนไหวบนผิวแม่น้ำ คล้ายเทพวารีซึ่งเกิดจากผู้จมน้ำตายแล้วยังคงมีความแค้นในตำนานอย่างยิ่ง
อย่างไรฝีพายหนุ่มก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญในวิชายุทธ์ ไม่นานก็สงบจิตได้แล้ว ก่อนจะย่างสามขุนอ้อมกาบเรือกลับเข้าไปในตัวเรือ
หูอวิ๋นจัดการข้าวชามหนึ่งเกลี้ยงแล้วด้วยความเร็วสุดขีด รสชาติของปลาสดราดซีอิ๊วทำให้มันพึงพอใจ เพียงเกลียดที่ฝีพายไม่ไปปลดทุกข์หนัก ตอนนี้เห็นฝีพายกลับมาแล้ว มันจึงทำได้เพียงหลบอยู่ใต้เก้าอี้ ในปากยังมีก้างปลาหลายชิ้นติดอยู่ระหว่างฟัน กำลังใช้อุ้งเท้าแคะออกมา
จี้หยวนได้ยินเสียงในน้ำข้างนอกเรือตั้งนานแล้ว ยิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำคืออะไร ตอนนี้เห็นชายหนุ่มผู้นั้นสีหน้าไม่ค่อยดีรีบร้อนกลับมา จึงถือโอกาสถามออกไปว่า
“ฝีพายเป็นอะไรไปหรือ”
ชายหนุ่มผู้นั้นยื่นมือไปหยิบกาสุราที่บรรจุวสันต์พันวันขึ้น เขย่าดูแล้วรู้สึกว่าข้างในยังเหลือสุราอยู่บ้าง เขาพลันถามจี้หยวน
“ท่านจี้ อีกทั้งคุณชายท่านี้ ใต้แม่น้ำอาจมีสิ่งที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์อยู่บ้าง ทว่าพวกท่านอย่าได้กลัวไป พวกข้าฝีพายมีวิธีการของตนเองอยู่ จำต้องหน้าหนาของสุราจากท่านถ้วยหนึ่งแล้ว”
ว่ากันว่ายิ่งเป็นสุรายิ่งได้ผลดี และนี้เป็นถึงวสันต์พันวันอีกต่างหาก
อิ๋นชิงมองจี้หยวนตามสัญชาตญาณ บนใบหน้าปรากฏความสงสัย
“คืออะไรหรือ ผีพราย?”
“ชู่! คุณชายอิ๋นอย่าหาเรื่องเลย พูดเช่นนั้นไม่ได้…”
สีหน้าของผีพายหนุ่มเปลี่ยนไปแล้ว ล้วนรู้ว่านั่นคือผีพราย แต่ใครเล่าจะกล้าเรียกเช่นนั้นเหนือผิวน้ำ จะมีก็แต่เรียกว่า ‘เทพวารี’ ด้วยความเคารพ ไม่เช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้วพัวพันหาเรื่องตนเองไม่เลิกราแล้วจะทำอย่างไร
แม้ชายหนุ่มเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เจอสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน นับว่ากลัวสิ่งแปลกประหลาดอยู่บ้าง
อิ๋งชิงไม่ลนลานเลยสักนิด ท่านจี้เป็นที่พึ่งอยู่ข้างกาย เขารู้แจ้งอยู่แก่ใจ แม้ไม่เคยเห็นท่านจี้สำแดงฝีมืออย่างแท้จริง ทว่าตอนยังเด็กปีนั้นเคยเห็นท่านจี้พบหน้าสนทนากับเทพหลักเมือง และเคยเจอสหายชราคนหนึ่งของท่านจี้สวาปามผลพุทราครึ่งต้นด้วยเช่นกัน
ในบรรดาเรื่องเล่าเก่าแก่เพียงบอกว่าเป็นผีพรายที่ชอบลากคนลงน้ำให้จมน้ำตาย แต่แล้วจะทำอะไรท่านจี้ได้หรือ
แน่นอนว่าอิ๋นชิงเรียกว่า ‘ผีพราย’ เพราะไม่รู้ว่ามีคำเรียก ‘เทพวารี’ ไม่เช่นนั้นอย่างน้อยก็จะเคารพความรู้สึกของฝีพาย เพียงคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมากน้อยอย่างไรก็นับว่าเป็นวิชายุทธ์ กระนั้นใจเสาะนัก ตอนนี้เห็นฝีพายถือนักจึงกล่าวขอโทษไม่ขาดปาก
ฝีพายไม่อาจเอาความกับเด็กชายที่ยังไม่ถึงวัยสวมกวานอย่างอิ๋นชิง จึงยกกาสุราเทสุราถ้วยหนึ่ง ขออภัยท่านจี้แล้วก็เดินออกไป
มือซ้ายจับโครงเรือ มือขวาถือถ้วยสุรา ฝีพายหนุ่มกล่าวเสียงเบากับผิวแม่น้ำว่า
“เจ้าไม่ระรานข้า ข้าไม่ระรานเจ้า สุราหนึ่งจอกแทนความเคารพ เทพวารีๆ รีบถอยไปเถิด!”
เมื่อพึมพำประโยคนี้จบ ชายหนุ่มเทสุราสาดสุราถ้วนหนึ่งไกลออกไปอย่างน้อยสามจั้ง ชัดเจนว่าออกแรงไปไม่น้อย เรื่องเล่าเก่าแก่ของฝีพายบอกว่ายิ่งสาดออกไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี เทพวารีจะได้ออกไปดื่มสุราไกลๆ
จี้หยวนเคยได้ยินตำนานเช่นนี้เหมือนกัน หลักๆ คือบุตรบิดาฝีพายในปีนั้นเล่าถึง ทว่าตอนนี้เขานึกถึงด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
‘น่าเสียดายที่ฝีพายเช่นเจ้าไม่มีทางนึกถึง สิ่งที่อยู่ด้านล่างเป็นปลาชิงฮื้อกระหายสุราตัวหนึ่ง ยิ่งเจ้าให้สุราดี มันยิ่งเสียดายที่จะจากไป!’
ทว่าหลังจากชายหนุ่มเทสุราแล้ว ได้ยินเสียงคลื่นน้ำห่างไกลอยู่เลือนราง ทว่าติดที่ฟ้ามืดมองเห็นไม่ชัด จึงสงบจิตใจลงได้บ้าง
‘มีประโยชน์จริงด้วย!’
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฝีพายกำชับกับจี้หยวนคำหนึ่ง
“ท่านจี้ หม้อนั้นของท่านย้ายไปวางในเรือจะดีที่สุด ตรงนั้นแคบไปหน่อย คืนนี้พักผ่อนให้สบายใจเถอะ ข้าเห็นว่าคืนนี้ฟ้ากระจ่าง ตำนานเล่าว่าเทพวารีอาจขึ้นฝั่งไปเดินเล่นขณะฝนตกหนัก พักผ่อนอยู่บนเรือไม่มีทางเป็นอะไรแน่”
“ได้ ขอบคุณฝีพายที่เตือน”
เห็นชายหนุ่มเหมือนจะกลับไปพักผ่อนที่ท้ายเรือ จี้หยวนจึงรีบเรียกไว้
“จริงสิฝีพาย น้ำแกงปลาที่ข้าตุ๋น เจ้าจะกินสักหน่อยหรือไม่ ด้วยสภาพร่างกายของเจ้า กินสักครึ่งถ้วยน่าจะไม่เป็นไร”
ฝีพายฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ไยถึงบอกว่าด้วยสภาพร่างกายของตนแล้วกินสักครึ่งถ้วยน่าจะไม่เป็นไร เป็นน้ำแกงปลานี้จะมีพิษหรือบำรุงร่างกายเหมือนกับโสมภูเขากันแน่
เพิ่งคิดปฏิเสธ เขาพลันนึกถึงกลิ่นหอมที่ได้ดมเมื่อครู่ คำพูดถึงคอหอยแล้วทว่ากลับคำ
“เอ่อ กินสักหน่อยก็ได้!”
จี้หยวนยิ้มพลางพยักหน้า หยิบถ้วยเล็กและช้อนสะอาดๆ จากในเรือ วินาทีที่เดินไปทางหัวเรือแล้วเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมเข้มข้นก็โชยออกมาอีกครั้ง
‘อืม ละลายเข้ากับน้ำแกงแล้วจริงด้วย’
ทั่วไปแล้วหม้อนี้ใช้ตุ๋นน้ำแกงหรือตุ๋นโจ๊กข้าว น้ำแกงปลาอันเกิดจากปลาโพรงเงินสองตัวมีอยู่ประมาณครึ่งหม้อ ไม่นับว่าน้อยเลย
จี้หยวนใช้กระบวนตักน้ำแกงปลาครึ่งถ้วย จากนั้นส่งให้ฝีพาย
“นี่ ฝีพาย ความจริงแล้วปลานั่นไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่เป็นปลาซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชนิดหนึ่ง หลายปีมานี้กินแต่สมุนไพรมีชื่อราคาแพง ตัวมันจึงกลายเป็นสิ่งบำรุงร่างกาย เมื่อตุ๋นจนเนื้อและก้างละลายเข้ากับน้ำแล้ว ฤทธิ์ยาจะอัดแน่นอยู่ภายในนั้น กินแล้วส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ไม่อาจกินมากเกินไปได้ เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ตามหลักแล้วกินมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ทว่าวัตถุดิบของน้ำแกงนี้มีค่ามากจริงๆ ทำได้เพียงแบ่งเจ้าชิมเล็กน้อยเท่านั้น”
ฟังจี้หยวนอธิบายเช่นนั้น ฝีพายนับว่าเข้าใจบ้างแล้ว ทำท่าทางเข้าอกเข้าใจ
“ขอบคุณมากๆ”
ฝีพายรับถ้วยมา ดมกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาก่อนค่อยแลบลิ้นชิมหยดน้ำแกงที่อยู่ขอบถ้วย มันมีรสชาติกลมกล่อมเหมือนสุรา ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังชิมรส แต่ความจริงแล้วกำลังแยกแยะพิษ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ชาวประมงขนานแท้ มีใจระแวดระวังไว้ก่อนดีกว่า
ตอนนี้รู้สึกว่าไม่มีปัญหา ชายหนุ่มจึงกินรวดเดียวหมดด้วย
“อร่อยมากๆ! ขอบคุณท่านจี้…”
เมื่อพูดได้ครึ่งประโยค รสชาติเหมือนสุราในปากยังคงไม่หายไป ในท้องคล้ายมีกระแสความสดชื่นไหลเวียนส่งทอดไปสู่อวัยวะทั้งห้า ขณะเดียวกันมีลมปราณระลอกหนึ่งเอ่อขึ้นในร่างกาย ทั่วทั้งตัวรู้สึกเมามายราวกับดื่มสุรา ทว่าสัญชาตญาณร่างกายรู้ว่านี่ไม่ใช่การถูกพิษ แต่กลับกันมีผลดีเสียมากกว่า
เห็นเขาซวดเซอยู่บ้าง จี้หยวนรีบรับถ้วยจากในมือเขา ป้องกันไม่ให้มันตกแตก
“ฝีพายรีบกลับไปนอนในเรือสักงีบเถอะ หรือจะนั่งอยู่ในเรือหน่อยก็ย่อมได้ ยืนอยู่ตรงนี้จะตกน้ำเอา!”
จี้หยวนกล่าวเตือนฝีพาย เขาตอบว่า “ตกลง” ก่อนกลับไปหลังเรือด้วย ‘ท่าทางมึนเมา’ จากนั้นปิดประตูเรือเรียบร้อย
ด้วยสภาพของฝีพายในตอนนี้ ขอเพียงนอนหลับหรือนั่งฝึกวิชา ก่อนฟ้าสางจะรู้สึกสับสนมึนงงเกี่ยวกับเรื่องราวภายนอก แต่นั่นเป็นสิ่งที่จี้หยวนคำนวณเอาไว้แล้ว
“ท่านจี้ เขาเป็นอะไรหรือ”
อิ๋นชิงถามขึ้นด้วยความสงสัย จี้หยวนมองหูอวิ๋นที่ตั้งหูใหญ่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารด้วยท่าทางของ ‘เสือร้ายลงจากเขา’ ก่อนจะยิ้มตอบ
“ฤทธิ์แรงเกินไปน่ะสิ เอาละๆ น้ำแกงปลานี้พวกเราสี่คนกินเถอะ!”
“ได้ นำแกงนี้หอมมาก ข้าทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว เอ่อ…ท่านจี้ ท่านพูดว่าสี่คนหรือ”
อิ๋นชิงมองจี้หยวนและหูอวิ๋น รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าฝีพายผู้นี้ไม่ใช่คนที่สี่ซึ่งจี้หยวนพูดถึงอย่างชัดเจน
จี้หยวนไม่พูดมากอีก นั่งลงตรงหัวเรือ เติมน้ำแกงปลาจนเต็มถ้วนแล้วกวักมือให้อิ๋นชิง
“มา ชิมน้ำแกงปลาที่ท่านจี้ทำหน่อย”
อิ๋นชิงเดินไปรับถ้วย ยิ้มว่า
“ท่านจี้ ท่านบอกฝีพายว่าเขากินได้แค่ครึ่งถ้วยไม่ใช่หรือ ไยข้ากินได้มากกว่าเขาเล่า”
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่เหมือนกับเขา ไม่เป็นไรหรอก”
อิ๋นชิงไม่บ่ายเบี่ยงอีก อย่างไรเสียท่านจี้ก็ไม่มีทางทำร้ายเขา พลันยิ้มรับและกินเข้าไปคำเล็กๆ รู้สึกได้ถึงความหอมหวานชุ่มคอในทันที
“อร่อยมาก ท่านจี้ฝีมือดีจริงๆ เก่งกว่าท่านแม่ข้าเสียอีก!”
บัดนี้หูอวิ๋นทนไม่ไหวแล้ว รีบกระโดดออกจากในตัวเรือเช่นกัน เนื้อปลาและอาหารที่ยังกินไม่หมดมีความดึงดูดไม่เท่าน้ำแกงปลาอย่างเห็นได้ชัด
ซ่า…ซ่า…
ใกล้ๆ หัวเรือมีเสียงน้ำดังขึ้นไม่หยุด ทำให้อิ๋นชิงและหูอวิ๋นตื่นตกใจ ฝ่ายหลังยิ่งกระโดดขั้นหลังอิ๋นชิงโดยพลัน ทำให้ฝ่ายแรกสะดุ้งโหยง ครั้นรับรู้ได้ถึงอุ้งเท้าอันคุ้นเคยและความรู้สึกสั่นเทาเล็กน้อย เขาถึงรู้ว่าเป็นหูอวิ๋น
“ข้าว่าเจ้าสงบสติหน่อยเถอะ จะร้ายดีอย่างไรก็ภูตจิ้งจอก ข้ากลัวเจ้าก็กลัวตามหรือไร”
หูอวิ๋นไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“เจ้าดีกว่าข้านักหรือไร น้ำแกงปลาจะหกหมดแล้ว! ท่านจี้ ในน้ำมีสัตวประหลาด รีบจับมันเร็ว!”
ครึ่งประโยคหน้าพูดกับอิ๋นชิง ครึ่งประโยคหลังหูอวิ๋นร้องขอความช่วยเหลือ
“ชิ…สัตว์ประหลาดเทพวารีอะไรกัน สิ่งที่อยู่ในน้ำเป็นปลาชิงฮื้อที่มีปัญญาแล้วตัวหนึ่ง หากพูดกันตามหลักการแล้ว ใต้เท้าหูอวิ๋นเซียนจิ้งจอกเจ้าแข็งแกร่งกว่ามันไม่น้อยนะ!”
ใต้เท้าหูอวิ๋นเซียนจิ้งจอกเป็นคำเรียกที่หูอวิ๋นใช้เยินยอตนเองยามตีฝีปากกับอิ๋นชิง แน่นอนว่าจี้หยวนเคยได้ยินเช่นกัน ทว่าตอนนี้ฟังจี้หยวนเย้าหยอกแล้ว หูอวิ๋นกลับไม่กระดากอาย ยิ่งทำตัวหยิ่งยโสอยู่บนหลังอิ๋นชิง
จี้หยวนไม่สนใจตัวตลกชั่วคราว เติมน้ำแกงเต็มถ้วยอีกใบ ยืนอยู่ตรงหัวเรือแล้วประสานมือให้ผิวแม่น้ำ
“ไม่ได้พบกันหลายปี ปลาชิงฮื้อเจ้าโลดแล่นอยู่ในแม่น้ำช่วงนี้ตามคาด ได้สั่งสมบุญทำความดีต่อเนื่องหรือไม่”
ปลาชิงฮื้อในน้ำราวกับยังจำจี้หยวนได้ ไม่ว่ายน้ำไปมาอยู่ใต้น้ำอีก แต่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำโดยตรง พ่นฟองอากาศพลางมองจี้หยวน
“โอ้…เชื่อฟังดีนัก…”
“จริงรึ…”
หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกที่อยู่ข้างๆ มองผิวน้ำด้วยความงุนงง แต่กลับไม่มีความรู้สึกกลัวอะไร
เห็นเพียงปลาชิงฮื้อตัวยาวเท่าตัวคนเต็มๆ ตัวปลาแข็งแรงกำยำยิ่งกว่าชายหนุ่ม เกล็ดปลาทั่วตัวส่องแสงระยิบระยับใต้แสงจันทร์ทอประกาย
บุ๋ง…บุ๋ง…บุ๋ง…
ฟองอากาศมากมายพ่นออกมาจากปากปลาชิงฮื้อ เหมือนกับเห็นน้ำแกงปลาแล้วน้ำลายสออย่างไรอย่างนั้น
จี้หยวนเบิกตาทิพย์เล็กน้อย สังเกตปลาชิงฮื้อตัวนี้อย่างละเอียด ตัวมันยังคงเหมือนกับปีนั้น ไม่มีปราณสกปรกอะไร ยิ่งเพิ่มด้วยจิตวิญญาณส่วนหนึ่ง ทอแสงแห่งความวาดหวังเต็มที่ แม้จะยังห่างชั้นกับแสงของมรรคเทพ ทว่าช่วยทำให้จิตวิญญาณมั่นคงในระดับที่แน่นอน เห็นทีตระกูลนั้นคอยดูแลมันอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน
“เชิญเจ้าชิมน้ำแกงปลาโพรงเงินที่ข้าคนแซ่จี้ตุ๋นด้วย”
จี้หยวนพูดพลางยื่นมือไปนอกรอ คว่ำถ้วยลง ทันใดนั้นปลาชิงฮื้อในน้ำก็อ้าปากกว้างฮุบน้ำในแม่น้ำ กลืนน้ำแกงปลาที่ถูกเทลงมาลงท้องจนเกลี้ยง
ภูตวารีชนิดนี้ถือเป็นยาบำรุงขนานแท้สำหรับเผ่าวารี ปลาโพรงเงินที่ได้มามีรสชาติสดหวานอย่างยิ่ง ปลาชิงฮื้อดีใจมากจนสะบัดครีบอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว