ตอนที่ 197 มีความละมุนละม่อม
ปฏิกิริยาของปลาชิงฮื้อทำให้สองคนหนึ่งจิ้งจอกบนเรือเบิกบานใจ หูอวิ๋นกระโดดลงจากหลังอิ๋นชิง เดินไปสูดกลิ่นน้ำแกงที่หน้าเตา จากนั้นจ้องมองจี้หยวนรอคอยส่วนของตนเอง
จี้หยวนเติมน้ำแกงด้วยตนเองถ้วยหนึ่ง กะประมาณดูแล้วที่เหลือน่าจะพอใส่อีกถ้วยหนึ่งจึงนำหม้อลงจากเตาวางไว้บนพื้น จากนั้นวางช้อนลงในหม้อ
“เอ้า ของเจ้ามากที่สุดเลย ที่เหลือในหม้อล้วนเป็นของเจ้า กินตามสบายเถอะ!”
จิ้งจอกแดงไหนเลยจะสนอะไรมาก คว้าช้อนเริ่มลงมือกิน
จี้หยวนชิมน้ำแกงปลาโพรงเงิน รสชาติสดหอมอร่อยจริงตามคาด อดรนทนไม่ไหวกลืนลงคอดังอึกๆ จนเกลี้ยงในคราวเดียว
เขารู้ว่าภูตวารีอย่างปลาโพรงเงินสะสมพลังวิญญาณมาแต่กำเนิด ความจริงแล้วยังมีวิธีบ่มเพาะการฝึกเซียนที่ละเอียดยิ่งกว่า แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลยคือวิธีการตุ๋นเป็นน้ำแกงให้รสชาติดีที่สุด
อิ๋นชิงกินน้ำแกงปลาในถ้วนของตนเองจนหมดแล้ว เห็นหูอวิ๋นยังคงใช้ช้อนตักกินครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าในหม้อยังเหลือน้ำแกงอยู่บ้าง จึงเข้าไปใกล้คิดขอแบ่งส่วนหนึ่ง
“หูอวิ๋น ขอข้ากินอีกหน่อยนะ จิ้งจอกอย่างเจ้ากินทั้งหม้อตะกละเกินไปแล้ว”
หูอวิ๋นไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง อุ้งเท้ากำช้อนตักใส่ปากเร็วยิ่งขึ้น สุดท้ายยกหม้อขึ้นต่างถ้วย กินน้ำแกงไม่กี่หยดสุดท้ายจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะมองอิ๋นชิงพลางยิ้มที่มุมปาก
จี้หยวนมองปลาชิงฮื้อที่ยังไม่ยอมจากไป จี้หม้อบนนั้นกล่าวว่า
“ทั้งหมดมีเท่านี้ นอกจากฝีพายผู้นั้นกินไปครึ่งถ้วยแล้ว ที่เหลือพวกเราสี่คนได้กินคนละถ้วย หมดแล้ว”
ได้ยินจี้หยวนพูดกับปลาชิงฮื้อ อิ๋นชิงและจิ้งจอกแดงก็ไม่รู้ว่านอนคว่ำที่กาบเรือตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้องมองปลาชิงฮื้อตัวใหญ่ที่อยู่ในน้ำ
หูอวิ๋นนับว่าได้เห็นภูตหรือปีศาจนอกเหนือจากตนเองและเจ้าภูเขาลู่เป็นครั้งแรก จึงตื่นเต้นและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ
“นี่ เจ้ายังไม่หลอมกระดูกหรือ ในน้ำหนาวขนาดนั้น ฤดูหนาวเจ้าอยู่รอดได้อย่างไร”
ปลาชิงฮื้อกวนน้ำจนเกิดละอองน้ำ เผชิญหน้ากับจิ้งจอกแดงที่โผล่ออกจากกาบเรือแค่ศีรษะและอุ้งเท้าหน้า
ปุด…ปุด…ปุด ปลาชิงฮื้อพ่นฟองอากาศระลอกหนึ่ง
“ท่านจี้บอกว่าเจ้าสะสมบุญทำความดี ช่วยคนไว้ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ เจ้าเคยเจอเทพวารีในน้ำบ้างหรือไม่ ผีพรายนั่นน่ะ…”
ปุด…ปุด…ปุด ปลาชิงฮื้อยังคงพ่นฟองอากาศเช่นเดิม
ภาษาจิ้งจอกไม่ใช่ภาษาปลาอย่างชัดเจน แต่ภาพนี้มอบความรู้กแปลกประหลาดและเข้ากันให้กับอิ๋นชิง รวมถึงจี้หยวนด้วย ราวกับทั้งสองฝ่ายถามตอบกัน เข้าใจกันเป็นอย่างดี
ความจริงแล้วจำนวนปีที่ปลาชิงฮื้อฝึกปราณยาวนานกว่าหูอวิ๋นมาก จิตใจมั่นคงยิ่งกว่าหูวอิ๋น ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นภูตฝึกปราณที่ไร้ที่พึ่งพิง กอปรกับหูอวิ๋นกลายเป็นหมากแล้วกินปราณโอสถเป็นประจำ อีกทั้งได้รับความสะดวกสบายอย่างอื่น ถึงทำให้การฝึกปราณของปลาชิงฮื้อด้อยกว่าหูอวิ๋น
แน่นอนว่าการรั้งท้ายบนมรรควิถีแห่งการฝึกปราณนั้น ไม่อาจเทียบได้โดยตรงกับฝีมือการรบ อย่างน้อยคนฉลาดมองปราดเดียวก็รู้ ตอนนี้ต่อให้มีหูอวิ๋นหลายตัวก็อาจจะเอาชนะปลาชิงฮื้อตัวหนึ่งไม่ได้
เมื่อหนึ่งจิ้งจอกหนึ่งปลาถามตอบกันได้พักหนึ่ง จี้หยวนถึงค่อยเอ่ยปาก
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ปลาชิงฮื้อเจ้าตามเรือเล็กน้ำนี้อยู่ใต้น้ำ ร่วมเดินทางกับพวกข้าไปจนถึงช่วงแม่น้ำวสันต์นอกจังหวัดชุนฮุ่ย ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ถูกเทพแม่น้ำของแม่น้ำเส้นน้ำไล่จับหรือไล่กวด”
จี้หยวนพูดแล้วหันไปมองอิ๋นชิง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“จากนี้เจ้าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาเมตตาที่จังหวัดชุนฮุ่ย ทุกครั้งที่พักผ่อนอาบน้ำ ก็ถือโอกาสไปยังช่วงแม่น้ำที่ค่อนข้างเงียบสงบข้างนอกเมือง อ่านตำราให้ปลาชิงฮื้อตัวนี้ฟังด้วย”
อิ๋นชิงยื่นมือชี้จมูกตนเองด้วยความแปลกใจ
“ข้า?”
ปลาชิงฮื้อก็ส่งเสียงบุ๋ง…บุ๋ง…บุ๋ง…อยู่ในน้ำพักหนึ่งเช่นกัน
จี้หยวนมีสีหน้าเรียบเฉย มองอิ๋นชิงซึ่งจิตวิญญาณเก็บงำและไหลเวียนอยู่ในกาย ทรวงอกคลุมเครืออยู่บ้าง ท่าทางมีอะไรอยากพูดมากมาย
“ใช่ ผู้จิตใจมีความละมุนละม่อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเมตตา ทำให้ปลาชิงฮื้อใช้ทางอ้อมน้อยลงหน่อย”
เห็นจี้หยวนพูดอย่างจริงจัง อิ๋นชิงก็ไม่ปฏิเสธอีก ตอบรับเบาๆ ว่า “ขอรับ”
ฝ่ายหูอวิ๋นและปลาชิงฮื้อได้ยินคำของจี้หยวน รวมถึงอิ๋นชิงอย่างชัดเจน แม้ปลาชิงฮื้อยังไม่ได้ผลัดกระดูก แต่ปลายปีที่ฝึกปราณอยู่ในแม่น้ำช่วงนี้ก็น่าจะไม่สั้น ควรจะฟังคำพูดมนุษย์รู้เรื่องไม่น้อย อย่างน้อยคำพูดเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจไม่ยาก
ดังนั้นจี้หยวนหันหน้าเข้าหาผิวน้ำ กล่าวถามมันอย่างตั้งใจ
“เมื่อครู่ที่ข้าพูดเป็นความคิดเห็นของพวกข้าฝ่ายเดียว หากเจ้าไม่ยินยอมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ”
จี้หยวนพูดจบแล้วเก็บถ้วยหลายใบและหม้อเรียบร้อย ใช้ถ้วยตักน้ำข้างเรือมาดับฟืนที่ยังไม่มอดอยู่ในเตา จากนั้นค่อยมองผิวน้ำไกลออกไป คืนนี้เรือที่จอดอยู่ละแวกใกล้เคียงมีเพียงพวกเขาลำเดียว
“เอาล่ะ ดึกมากแล้ว พวกเจ้าตามสบายเถอะ ข้าจะไปพักผ่อนก่อนแล้ว”
ครั้นทิ้งท้ายไว้อย่างสบายๆ แล้ว จี้หยวนเดินกลับเข้าไปในตัวเรือ จากนั้นปิดประตูกั้นไว้ครึ่งหนึ่ง
อิ๋นชิงคุยเล่นเป็นเพื่อนหนึ่งปลาและหนึ่งจิ้งจอกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกง่วงแล้วจึงไปปัสสาวะที่กาบเรือด้านหนึ่งก่อนกลับไปนอนในตัวเรือ เหลือไว้เพียงหูอวิ๋นและปชาชิงฮื้อที่เอ้อระเหยอยู่ตรงนั้น
“ชิงฮื้อเจ้ารู้หรือไม่ บนเขาโคเทพของข้ามีเสือเฒ่าที่ดุร้ายมากๆ ตัวหนึ่ง เมื่อมันอ้าปากแล้วแทบจะกลืนเจ้าได้ภายในคำเดียว…นอกจากนี้ท่านจี้มีนกกระดาษประหลาดตัวหนึ่ง อิ๋นชิงบอกว่าเป็นนกที่ท่านจี้พับตอนเบื่อหน่าย ข้าสงสัยว่านั่นเป็นวิชาพรางตา ข้างในต้องมีนกซึ่งเกิดปัญญาแล้วอยู่ตัวหนึ่งแน่ๆ…”
บุ๋ง…บุ๋ง…บุ๋ง…
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายามเช้าเพิ่งสว่างได้ไม่เท่าไหร่ ฝีพายตื่นเต็มตาเดินมาจากทางท้ายเรือแล้ว
“หาว…”
เขาหาวพลางบิดขี้เกียจ เพียงรู้สึกว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ลมปราณทั่วร่างกายล้วนไหลเวียนคล่องตัวยิ่งขึ้น ความเหนื่อยล้าซึ่งสะสมจากหลายวันก่อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ยอดเยี่ยม น้ำแกงของท่านจี้เป็นน้ำแกงปลาสมุนไรบำรุงกำลังจริงด้วย เพิ่งเคยลองของบำรุงมีฤทธิ์อัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก เกรงว่าโสมภูเขาคงด้อยกว่ามาก นี่ต้องเป็นเงินเท่าไหร่กัน…”
ตื่นนอนบ้วนปากล้างหน้า จากนั้นเดินไปที่หัวเรือ ตัวเรือสองฝั่งยังคงปิดสนิท ลูกค้าทั้งสองคนน่าจะยังหลับอยู่
ฝีพายหนุ่มเดินจากตัวเรือไปที่ยกเตา จนสุดท้ายพบว่าหม้อและถ้วยถูกล้างจนเกลี้ยง พอมองดูประตูนอกตัวเรือ ถ้วยและตะเกียบเหล่านั้นก็ถูกล้างสะอาดแล้วเช่นกัน
‘สมเป็นบัณฑิต!’
ชายหนุ่มพาความคิดนี้ถือเตาและหม้อ รวมถึงตะเกียบ ช้อนวางไว้ยังที่ของมัน จากนั้นใช้มือข้างเดียวประคองถ้วยขนาดเล็กใหญ่วางซ้อนกัน ยังคงเดินกลับไปยังท้ายเรือจากนอกตัวเรือ
เขาเปลี่ยนใช้หม้อดินเผาขนาดใหญ่ต้มโจ๊กทิ้งไว้ แล้วหยิบท่อนไม่ไผ่และหญ้าแห้งเดินไปถอดกางเกงนั่งยองลงที่ท้ายเรือ
จ๊อก… หลังจากของเหลวสายหนึ่งลงน้ำ ใต้น้ำมีเงาดำสายหนึ่งโผล่มาแต่ไกลอย่างรวดเร็ว…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง จี้หยวนและอิ๋นชิงทยอยกันตื่นนอน หลังจากกล่าวทักทายฝีพายในยามเช้าแล้ว พวกเขากินโจ๊กเคียงผักดองเค็มที่เพิ่งหยิบจากไหมาหั่นใหม่พร้อมหน้าพร้อมตา
ฝีพายที่ล้างหน้าล้างตาและกินข้าวเช้าเสร็จแล้วเริ่มพายเรืออีกครั้ง ขับเคลื่อนเรือเล็กมุ่งหน้าสู่จังหวัดชุนฮุ่ย
เขาอารมณ์ดีมาก พายเรือพลางร้อง “ฮุยเล…ฮุ่ย…” ขึ้นมา ท่วงทำนองนี้แทบทำให้จี้หยวนร้อง ‘ทิวทัศน์ทะเลสาบซีหูในเดือนสาม’ ขึ้นตามในใจ
ประมาณช่วงบ่ายของอีกสองวันครึ่งให้หลัง เรือเล็กถึงจุดหมายปลายทางแล้ว จอดอยู่ตรงท่าเรือใหญ่นอกจังหวัดชุนฮุ่ย ทำเอาจี้หยวนเห็นภาพความคึกคักบนแม่น้ำวสันต์อีกครั้ง เทียบกับแม่น้ำเทียมฟ้านอกจังหวัดจิงจี ที่นี่ขาดความรุ่งเรือง ทว่ากลับมีชีวิตชีวาและมีกลิ่นอายของ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ อยู่หลายส่วน
ฝีพายหนุ่มไม่อยากเก็บเงินค่าจ้างจากจี้หยวนและอิ๋นชิงอีก หากบอกว่าวสันต์พันวันที่ดื่มในคืนนั้นเขายังพอแกล้งโง่ได้ ทว่าน้ำแกงปลาเป็นสิ่งที่แม้เจอก็ไม่อาจร้องขอได้ ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่ามากกว่าค่าจ้างเสียอีก
จี้หยวนเห็นเขาพอใจเช่นนั้นก็ไม่โน้มน้าวมากอีก กล่าวขอบคุณแล้วพาอิ๋นชิงเข้าจังหวัดชุนฮุ่ยไป
เทียบกับตอนมาเมื่อครั้งก่อน ครั้งนี้จี้หยวนอาจยังนับไม่ได้ว่าคุ้นทาง แต่สำนักศึกษาเมตตามีชื่อเสียงมากในจังหวัดชุนฮุ่ย หากจะตามหาไม่ใช่เรื่องยาก
เขาเดินไปพลาง พาอิ๋นชิงและหูอวิ๋นชมสีสันในเมืองไปพลาง ให้อิ๋นชิงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่เสียบ้าง
เพื่อไม่ใหหูอวิ๋นสร้างความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นในเมือง จี้หยวนแขวนแผ่นป้ายไม้หยางที่เทพหลักเมืองจังหวัดชุนฮุ่ยในตอนนั้นฝากอาจารย์อิ๋นมาให้ไว้บนตัวจิ้งจอกแดง เช่นนี้แล้วแม้มีผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีมองความสามารถของจิ้งจอกแดงออกก็ไม่มีทางลงมือ
ขณะเดียวกันจี้หยวนคิดแผนการหยอกเย้าอย่างชัดเจนอยู่ในใจ ต้องให้หูอวิ๋นเจอช่วงเวลาลำบากของปีศาจฝึกปราณเสียบ้าง อย่างเช่นพบเจอเต่าเฒ่าตัวนั้น จะได้รู้จักความดีและเลวสักครั้งหนึ่ง