ตอนที่ 215 ฝันยาวนาน
ไม่ว่าชายชราจะร้องโหยหวนหรืออ้อนวอนอย่างไร เพชฌฆาตก็สนใจเพียงลงโทษโดยไม่ถามไถ่ความเป็นไป เสียงหัวเราะถากถางของผีร้ายนับไม่ถ้วนข้างๆ ยิ่งบาดหูแทงหัวใจ
ระหว่างนั้นมีช่วงที่เพชฌฆาตหยุดมือจากไป ผี สัตว์ประหลาด หรือก้อนเนื้อที่ไม่สมประกอบเหล่านั้นจะเดินและคลานมา ต่างรวมตัวกันอยู่ข้างชายชรา คิดเพียงฉีกทึ้งกัดกินเขาอย่างไม่สนใจอะไร ความบ้าคลั่งและความโลภที่พิกลพิการพรรค์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจหรือมารบนโลกมนุษย์เสียอีก ร่างวิญญาณของชายชรารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดทุกเศษเสี้ยว แต่กลับไม่อาจบาดเจ็บจนถึงตายได้
เมื่อเพชฌฆาตกลับมา ปีศาจร้ายซึ่งอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ก็เปลี่ยนสภาพจากดุดันชั่วร้ายเป็นงุนงงทำอะไรไม่ถูกทันที พากันแยกย้ายไป จากนั้นชายชราก็จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดรูปแบบใหม่ วงจรดังกล่าวแทบไม่ซ้ำกัน หากมีการซ้ำกันเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะบทลงโทษทำให้ชายชราเจ็บปวดทางด้านจิตวิญญาณมากกว่าบทลงโทษอื่น ดังนั้นจะใช้บทลงโทษเดิมอีกครั้ง
บนคุกชั้นต่ำของกรมลงทัณฑ์ เจ้ากรมลงทัณฑ์และผู้พิพากษาฝ่ายบู๊แห่งกรมบุญบาปมองเห็นจุดจบขอชายชราผู้ฝึกมารผ่านหมอกพิษหยินเช่นกัน รวมถึงภาพของความโหยหาการหลุดพ้นเป็นอย่างยิ่งด้วย
“หึๆ จิตใจเป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงเดินทางนอกรีตมารร้ายระดับนั้นได้”
ผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ยิ้มที่มุมปาก สถานที่อย่างคุกชั้นต่ำของกรมลงทัณฑ์ ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่ผีอื่นในศาลมืดก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แม้เป็นร่างวิญญาณของผู้ฝึกปราณ แต่เมื่อได้รับโทษที่น่ากลัวที่สุดในครั้งนี้แล้ว จะทนได้อีกสักกี่น้ำโดยไม่แตกสลายกันเชียว
“ควรถามเขาถึงเรื่องเกี่ยวกับรัฐจินหรือไม่”
เจ้ากรมลงทัณฑ์ยิ้ม จากนั้นส่ายหน้า
“ไม่รีบๆ ร่างวิญญาณของคนผู้นี้แข็งแกร่ง กายเนื้อก่อนหน้านี้ปราณวิญญาณและพลังแก่กล้า นับเป็นผู้ฝึกปราณมาเป็นเวลายาวนาน ให้เขารับความลำบากมากหน่อย เมื่อผ่านช่วงนี้ไปแล้วขอเพียงเพชฌฆาตมีความคิดจะไต่สวน รับรองว่าเขาต้องสารภาพหมดเปลือกตั้งแต่ก่อนฝึกปราณแน่นอน”
“อืม!”
การไต่สวนของกรมลงทัณฑ์ย่อมมีแบบแผน มาตรฐานและลำดับความสำคัญในนั้นล้วนชัดเจน อย่างคนชั่วอย่างผู้ฝึกมารคนนี้ไม่ควรค่าให้เห็นใจ ทว่ารอจนผู้ฝึกมารสารภาพทุกอย่างที่สารภาพได้ออกมาหมดแล้ว ตอนที่สุดท้ายรับรู้ว่าต้องรับโทษต่อไป นั่นต่างหากถึงเป็นความน่าเวทนาอย่างแท้จริง
ส่วนการพิจารณาคดีหญิงสาวท้องโตง่ายดายกว่ามาก นางนอกจากหน้าตารูปร่างไม่เลวแล้ว จิตใจก็ยังเหมือนหญิงสาวในหมู่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง แม้สิ่งที่ตนเองฝึกฝนจะเป็นวิชามาก อีกทั้งกินหัวใจคน แต่เมื่อมาถึงศาลมืดจริงๆ แล้ว มองเห็นยมทูตดำและผีร้ายในศาลมืดก็ยอมพ่ายแพ้โดยตรง
สิ่งที่คนแบบนี้รู้ย่อมไม่มาก นอกเหนือจากอธิบายวิชามารผีแม่ลูกเก้าที่อาจารย์ตนเองสอนและบอกว่าหากฝึกสำเร็จจะบินขึ้นฟ้า กลืนเทพ ทำลายเซียนได้ นางรู้อะไรอย่างอื่นไม่มากจริงๆ
ทว่าคนในศาลมืดต่างหัวเราะเยาะคำพูดนี้ โดยทั่วไปแล้วตั้งท้องสามเดือนเกิดจิตวิญญาณ ดูจากท้องของนางน่าจะเกือบเจ็ดแปดเดือนแล้ว แม้แต่ผีเด็กในท้องนางยังมีร่างวิญญาณครบถ้วน คำพูดนี้ย่อมไม่น่าเชื่อถืออะไรเท่าไหร่
…
เรื่องทางฝั่งศาลมืดจังหวัดชุนฮุ่ยจี้หยวนไม่อยากสนใจแล้ว หากหาวิธีง้างปากผู้ฝึกมารไม่ได้ เขาคนแซ่จี้ก็ทำไม่ได้เช่นกัน
จี้หยวนในตอนนี้กลับไปถึงเรือนสันติที่อำเภอหนิงอันแล้ว ตอนถึงบ้านถุงผ้าไหมยังคงแจวนอยู่ข้างนอกเรือนหลัก กลางลานถูกหิมะใหม่ปกคลุมเป็นที่เรียบร้อย บนพื้นหิมะไม่มีรอยอุ้งเท้าหรือรอยเท้าใด ดูท่าทางช่วงนี้หูอวิ๋นไม่ได้มาที่นี่
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ จี้หยวนเก็บถุงผ้าไหมใส่กระเป๋าเสื้อแล้วเปิดประตูเรือน เดินเข้าไปแล้วค่อยนั่งลง จากนั้นหยิบยันต์วิญญาณหลายแผนและตำราเล่มออกสีเหลืองออกมา
หนึ่งใบในนั้นเป็นยันต์ดินล่องหนที่ยังคงมีจิตวิญญาณเหลืออยู่ นอกจากนี้มียันต์ซ่อนปราณและยันต์กระจ่างใจอย่างละแผ่น ยันต์สามใบนี้ไม่ใช่ของมีค่าราคาแพงอะไร ทว่าแสงวิญญาณบนนั้นไม่ธรรมดาเลย
แต่พูดแล้วการทำยันต์ถือเป็นวิชาพิเศษแขนงหนึ่งในการฝึกปราณ ยิ่งเวลาผ่านไปนานยิ่งเห็นผล คนที่ฝึกปราณแตกฉานมีไม่มาก แต่ผู้ฝึกปราณสำเร็จได้ก็เนื้อหอมเช่นกัน อย่างไรเสียยันต์วิญญาณที่อัศจรรย์ก็เป็นที่ชื่นชอบ ดังนั้นนับว่าเป็นวิชาที่สืบทอดกันอย่างลับๆ เช่นกัน วิชายันต์แต่ละชนิดลึกลับและไม่บอกกันปากต่อปาก แม้แต่มังกรเฒ่าก็ไม่แน่ใจที่มาที่ไปของวิชายันต์
จี้หยวนไม่หวังให้ผู้ฝึกวิชามารนั้นมอบความประหลาดใจอะไรให้เขาในเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาผิดหวังคือยันต์ตายแทนไม่มีแล้ว
สิ่งอื่นในวิชายันต์เป็นเพียงส่วนเพิ่มเติมของวิชาจำนวนหนึ่ง ยันต์ตายแทนมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งจริงๆ สิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดยันต์ต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน
ตำราเป็นตำราธรรมดาโดยสิ้นเชิง ไม่ได้มีเจตจำนงสื่อจิตอะไร เป็นวิชามารตามที่คาดการณ์ไว้ ชื่อว่า ‘วิชาคุมผีแม่ลูกอ่อน’
“หึ!”
จี้หยวนแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง มองชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นจำพวกเดียวกับมรรคมารนอกรีตอย่างการฝึกศพเลี้ยงผี ต่อให้ฝึกสำเร็จแล้ว สุดท้ายสตรีนางนั้นจะกลายเป็นเครื่องสังเวย ไม่ใช่ศิษย์จริงๆ แต่อย่างใด
ทว่าตำรานี้เป็นเพียงตำราภาพที่ไม่มีเจตจำนงเทพอะไร หากฝึกไปเรื่อยเปื่อยจะออกนอกลู่นอกทางได้ง่ายดายมาก ชายชราผู้นั้นดูไม่เหมือนกับถ่ายทอดให้จริงๆ ชัดเจนว่าสตรีนางนั้นรับบทบาทของหนูทดลอง
อ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว จี้หยวนยิ่งอ่านยิ่งโมโห หากไม่ใช่เพราะสนใจการเปลี่ยนแปลงของการถูกตัดศีรษะแล้วฟื้นกลับมามีชีวิต อยากดูให้ละเอียดว่ามีอะไรควรค่าให้ตรวจสอบหรือไม่ เขาคงทนไม่ไหวทำลายตำราไปตั้งนานแล้ว
เนื้อหาจำนวนหนึ่งข้างในย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ฝืนอ่านจบรอบหนึ่งแล้วในมือจี้หยวนเกิดไฟลุกพรึบในทันที ทำเอากระเรียนกระดาษที่ยื่นหน้าออกมาจากในอกเสื้อหดตัวกลับเข้าไปในถุงผ้าโดยพลัน
“ปล่อยไว้ต้องเป็นสิ่งของทำร้ายคนแน่นอน!”
จี้หยวนใช้วิชาคุมเพลิง เพียงครึ่งลมหายใจเท่านั้น ตำราทั้งเล่มไหม้เป็นเถ้าโดยสมบูรณ์ กระจายตัวเป็นผงละเอียดลอยออกจากเรือนไปตามสายลม
“ฮู่…ไปทำความเข้าใจวิชาอภินิหารอัศจรรย์ดีกว่า ใช้วิชาในความฝัน”
จี้หยวนไม่รู้ว่ามีคนฝึกปราณในความฝันได้แบบเขาหรือไม่ ประสิทธิภาพในการฝึกปราณไม่รู้ว่าเทียบกับการนั่งขัดสมาธิเข้าฌานในแดนอริยะจวนเซียนได้หรือไม่ แต่การทำความเข้าใจความอัศจรรย์ในเขตแดนในความฝันไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ฝันในวันนี้ยาวนานจนตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา เพราะว่าศาลมืดจังหวัดชุนฮุ่ยท่างนั้นได้ข้อสรุปแล้ว จึงส่งข่าวถึงผีสางเทวดาตรงจุดตัดของจังหวัดเต๋อเซิ่ง จากนั้นให้จุดตัดแต่ละอำเภอส่งข่าวต่อ สุดท้ายมาถึงจี้หยวนแล้ว
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ชายชราผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับมารแท้เท่าไหร่ อย่างน้อยมองจากภายนอกเป็นเช่นนั้น แต่กลับหมายความว่าส่วนเล็กจ้อยร่อยของพวกเขาสงสัยข่าวลือหอความลับสวรรค์และชอบทำตัวเหมือนตนเองฉลาด
ส่วนจุดจบของผู้ฝึกมาร ทางศาลมืดจังหวัดชุนฮุ่ยไม่ได้บอกโดยละเอียด ฝ่ายจี้หยวนก็ไม่อยากถามเช่นกัน
เมื่อเข้าใจข่าวนี้แล้ว จี้หยวนส่งยมทูตดำที่มาเยี่ยมเยียนออกไป ก่อนจะหลับฝันอย่างอดทนรอไม่ได้อีกครั้ง
หลับครั้งนี้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครมารบกวนพอดิบพอดี ฝันคราวนี้ดำเนินยาวนานสี่ห้าเดือนก็ไม่เห็นทีท่าว่าจะตื่นขึ้น
คนในอำเภอที่รู้จักจี้หยวนคิดว่าท่านจี้อาจจะออกเดินทางไกลอีกแล้ว มีเพียงปราณวิญญาณในลานบ้านรวมกลุ่มกันไม่กระจายไปไหน…จนกระทั่งต้นพุทราใหญ่ออกดอกส่งกลิ่นหอมลอยไปทั่วอำเภอหนิงอันในปีต่อมา
เวลาเปลี่ยนผันมาถึงฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง วันนี้จิ้งจอกแดงตัวหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงกลุ่มคนและหมาแมวในอำเภอ เร่งร้อนผ่านถนนต่างๆ มายังเรือนสันติที่สงบเงียบภายในตรอกเทียนหนิว
เห็นต้นพุทราใหญ่ในลานบ้านออกดอกบานสะพรั่ง มันรีบกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในลานบ้าน
นี่เป็นอย่างน้อยครั้งที่สิบแล้วตั้งแต่ฤดูหนาวปีก่อนที่หูอวิ๋นมาที่เรือนสันติ ทุกครั้งล้วนไม่เห็นท่านจี้ ทว่าครั้งนี้ต่างออกไปอยู่บ้าง เพิ่งเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองกิ่งก้านต้นพุทรา
บนนั้นมีกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งกำลังเลียนแบบผึ้งจำนวนหนึ่งบนนั้น ใช้จะงอยปากกระดาษจิกดอกพุทราเล็กๆ น่ารัก
“กระเรียนกระดาษ ท่านจี้ตื่นแล้วหรือ”
หูอวิ๋นเห็นกระเรียนกระดาษแล้วดีใจ เอ่ยปากถามกระเรียนกระดาษตัวเล็กที่มองอย่างไรก็เหมือนเกิดปัญญาแล้ว
ทว่าปัญญาของฝ่ายหลังไม่ได้สูงถึงขั้นสื่อสารกับจิ้งจอกได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงได้ยินชื่อของเจ้านายตนเองแล้วบินลงมา ตกลงบนโต๊ะหินมองจิ้งจอกแดง จากนั้นพลันกระพือปีกบินกลับไปยังประตูเรือนหลัก ก่อนจะหดตัวลอดเข้าไปในซอกประตูอย่างรวดเร็ว
“ฮู่…”
หูอวิ๋นเพิ่งอ้าปากส่งเสียง กระเรียนกระดาษก็หายไปไม่เห็นแล้ว
หลังจากนั้นสองสามลมหายใจ ภายในห้องมีเสียงผิวปากดังมาระลอกหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ปฏิกิริยาแรกของหูอวิ๋นคือดีใจมาก ทว่าในใจยังคงกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
‘แย่แล้ว! หากถูกเจ้าภูเขาลู่รู้ว่าข้าปลุกท่านจี้ตื่นต้องตายแน่!’
ปฏิกิริยาถัดมาของหูอวิ๋นคือหนี ดังนั้นมันวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเรือนเล็ก จากนั้นกระโดดลงไปออกจากตรอกเทียนหนิวราวกับกำลังหลบหนี
“ฮะ…หาว…”
จี้หยวนหาวพลางบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นจากเตียง ในเรือนนอกจากบริเวณเตียงนอนแล้ว ตรงอื่นฝุ่นจับอยู่ชั้นหนึ่ง
“ฝันครั้งนี้นานทีเดียว!”
เมื่อมองไปทางประตู เหมือนกับสายตามองทะลุออกไปได้ เขาพึมพำว่า
“จิ้งจอกตัวนี้เหินห่างกับข้าแล้วหรือ ข้าตื่นแล้วกลับวิ่งหนีไปหรือนี่”
ถุงผ้าไหมตรงหัวเตียง กระเรียนกระดาษตัวหนึ่งลอดเข้าไปในนั้น จี้หยวนย่อมไม่ได้ตื่นเพราะกระเรียนกระดาษ มันเพียงรู้สึกว่าเจ้านายจะตื่นแล้วถึงตั้งใจเข้ามา
“นอนอีกไม่ได้แล้ว ขืนนอนต่อไปต้องไปไม่ทันฮูหยินอิ๋นคลอดลูกแน่ ไม่รู้เหมือนกันว่าอิ๋นชิงไปแล้วหรือยัง”