ตอนที่ 220 จิกสามครั้ง
ฝนตกหนักกลางดึกแบบนี้ไม่มีเค้าลางความอบอุ่นใดๆ ภูเขาลูกเล็กซึ่งจิ้งจอกสามตัวพักอยู่ห่างจากกลุ่มคนนั้นประมาณหนึ่งลี้
แม้ม่านฝนส่งผลกระทบกับการมองเห็น แต่ด้วยสายตาเฉียบคมของจิ้งจอกสามตัวก็ยังคงมองเห็นแสงไฟและควันจำนวนหนึ่งจากในสถานพักม้าได้รางๆ
“น่าโมโหจริงเชียว น่าโมโหจริงๆ! พวกเราถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งขับไล่หรือนี่!”
“เฮอะ…ตาแก่นั่นจับหางข้าด้วย นั่นทำให้ข้า…ตกใจแทบตาย…”
จิ้งจอกตัวนั้นที่อยู่ทางซ้ายยังคงอกสั่นขวัญแขวน เมื่อครู่ดาบของชายชราตระกูลลู่เกือบฟันถูกมันแล้ว ด้วยภาพลักษณ์ดุร้ายของเหล่าพ่อค้าเมื่อครู่ หากฟันถูกตัวจริงๆ จะต้องตายเป็นแน่แท้
“หึ ล้วนต้องโทษพวกใจเสาะอย่างเจ้าสองคน ก็แค่มนุษย์กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ดุร้ายหน่อยแล้วอย่างไร ด้วยร่างจิ้งจอกนี้ชัดเจนว่ากัดพวกเขาตายได้อย่างง่ายดาย แต่ปรากฏว่าพวกเจ้ากลับลนลาน ข้า…”
ครืน…เปรี้ยง…
ฟ้าผ่าลงบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ภูเขาลูกนี้
“อ๊าก…”
“อ๊าก…”
“อ๊าก…”
จิ้งจอกสามตัวขนตั้งส่งเสียงร้องพร้อมกัน กระโดดหนีไปยังสามทิศทาง
ภายในสถานพักม้า เมื่อผ่านการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทุกคนล้วนเหนื่อยล้ากันหมด แต่ปัญหาของการพักผ่อนตอนนี้ยิ่งสะเพร่าไม่ได้ จึงเพิ่มจำนวนคนเฝ้ายามกะกลางคืนขึ้นไม่น้อย
ฟากพ่อค้าครึ่งหนึ่งเฝ้ายาม ครึ่งหนึ่งพักผ่อน ส่วนพวกอิ๋นชิงก็จับกลุ่มสองคนผลัดกันนอนหลับเช่นกัน แม้เหล่าพ่อค้าจะบอกให้พวกเขานอนหลับ ส่วนพวกตนจะคอยเฝ้ายามให้ แต่บัณฑิตหลายคนนี้อย่างไรก็เติบโตขึ้นบ้างแล้ว จิตใจเฝ้าระวังคนไม่ควรขาด
ตอนเหลยอวี้เซิงตื่นขึ้นในตอนเช้า ข้างนอกไม่มีเสีงฝนแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ”
อิ๋นชิงขยี้ตาและหาวก่อนจะถาม จากนั้นลุกขึ้นยืนขยับร่างกาย หลินชินเจี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ เขายังคงฟุบหลับปุ๋ยอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย
เหลยอวี้เซิงมองโม่ซิวที่อยู่ข้างตน เดิมทีอิ๋นชิงและหลินชินเจี๋ยควรปลุกเขาและโม่ซิวมาเฝ้ายามต่อในครึ่งคืนให้หลัง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว อิ๋นชิงและหลินชินเจี๋ยเฝ้ายามตลอดทั้งคืน หรือเรียกได้ว่าครึ่งคืนให้หลังอิ๋นชิงเฝ้ายามตามลำพัง
“อิ๋นชิง เจ้าไม่ได้นอนเลยหรือ”
อิ๋นชิงบิดขี้เกียจเสร็จแล้วยิ้ม
“ข้าสดชื่นแจ่มใสทีเดียว นอนน้อยหน่อยไม่เป็นไรหรอก” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“คุณชายอิ๋นอ่านตำราให้พวกข้าฟังตอนกลางคืน เล่าเรื่องราวของชาวบ้านในสถานที่อื่นให้ฟังด้วย นอกจากจิตใจดีแล้ว การเล่าเรียนของเขาก็น่าจะยอดเยี่ยมเช่นกัน!”
“ไม่เลว มีความสามารถจริงๆ”
“เด็กหนุ่มคนนี้มีอนาคต”
พ่อค้าที่ตื่นแต่เช้ากล่าวกับเหลยอวี้เซิงด้วยความเบิกบานใจ หลายคนข้างๆ ก็กล่าวเสริมด้วย
หลายคนตื่นแล้วเช่นกัน เสียงดังขึ้นมาหน่อย หลินชินเจี๋ยและโม่ซิวก็ถูกปลุกเช่นกัน ภายในเพิงพักแรมคึกคักขึ้นมาแล้ว
เหล่าลู่หยิบฟืนท่อนเล็กโยนใส่กองไฟแล้วเป่าลมหลายครั้ง อาศัยถ่ายที่ยังเหลือจุดไฟใหม่อีกครั้ง สุดท้ายตั้งคานตั้งหม้อเริ่มเตรียมอาหารเช้า
ทุกคนรวมถึงบัณฑิตสี่คนได้โจ๊กข้าวฟ่างหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวที่อุ่นแล้วข้างกอกไฟหนึ่งลูก นอกจากนี้ยังมีผักดองเค็มคนละหนึ่งช้อน
เหลยอวี้เซิงและหลินซินเจี๋ยที่กินอาหารรสเลิศจนเคยชินก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นกัน อีกทั้งกล่าวชมฝีมือการทำอาหารของพ่อค้าเร่ด้วย
จนกระทั่งทุกคนเก็บกวาดเรียบร้อย ในที่สุดคนเกือบยี่สิบคนก็สะพายตะกร้าและกล่องตำรา เดินออกจากสถานพักม้าร้างไป
หลังจากฝนตกแล้วเหมือนถูกชำระล้าง อากาศสดชื่นดวงอาทิตย์ส่องสว่าง สูดลมหายใจข้างนอกแล้วล้วนทำให้ทุกคนกระปรี้กระเปร่า
“ไปๆๆ ทุกคนเดินทางด้วยกัน เขาทะลุแห่งนี้แค่สองวันก็ข้ามไปได้แล้ว บัณฑิตทุกท่านตามพวกข้ามาด้วยกันเป็นอย่างไร”
พวกอิ๋นชิงมองหน้ากัน โม่ซิวเป็นฝ่ายถามออกไปตามตรง
“สองวัน? ข้าได้ยินมาว่าต้องเดินเจ็ดวัน”
“ฮ่าๆๆ นั่นต้องอ้อมไปมาบนทางภูเขา พวกข้ามีเส้นทางที่คุ้นเคย เดินยากหน่อยแต่ใกล้กว่ากันมาก สินค้าจำพวกผ้าไหมของรัฐหวั่นในอดีตล้วนขนส่งด้วยวิธีการแบกใส่ตะกร้าเช่นเดียวกับพวกข้า อย่างไรก็ต้องมีทางลัดอยู่แล้ว!”
เจอกับภูตจิ้งจอกบนภูเขานี้แล้ว พวกอิ๋นชิงไม่ค่อยกล้าเดินทางเองเท่าไหร่ ได้ยินผู้อาวุโสลู่เสนอตัวย่อมตอบรับทันที
คนกลุ่มหนึ่งเดินเลียบถนนหลวงเดินไปประมาณครึ่งชั่วยามกว่า จากนั้นไม่ได้มุ่งหน้าไปทางถนนหลวงที่คดเคี้ยวอีก ทว่าตัดตรงขึ้นยอดเขา ผู้อาวุโสลู่นำหน้าเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
พูดตามตรงว่าบัณฑิตสี่คนนอกจากอิ๋นชิงแล้ว อีกสามคนเหนื่อยล้ามากอย่างชัดเจนในเวลาแบบนี้ โม่ซิวที่ไม่นับว่าเกิดในครอบครัวคนรวยก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้นไม่นานเหล่าพ่อค้าเร่จึงวางกล่องตำราที่ไม่นับว่าหนักมากบนตะกร้าสะพายหลังตนเองเสียเลย จากนั้นช่วยประคองอยู่เรื่อยๆ ถึงทำให้บัณฑิตหลายคนอดทนต่อไปได้
อิ๋นชิงไม่ได้ให้ใครช่วยเลยตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งรักษาเรี่ยวแรงตามจังหวะการเดินของพ่อค้าเร่ได้เป็นอย่างดี ยิ่งทำให้ชายหนุ่มทั้งกลุ่มต้องมองเขาใหม่เลยทีเดียว
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…ในที่สุดก็ข้ามทางคดเคี้ยวมาได้แล้ว!”
ข้ามเขามาลูกหนึ่งแล้ว ผู้อาวุโสลู่ผู้นำกลุ่มหอบหายใจเช่นกัน เพราะเมื่อวานมีฝนตกหนัก อากาศสดชื่นแจ่มใสอยู่หรอก ทว่าใต้เท้ามีแต่โคลนเลน จำเป็นต้องมองหาหินเพื่อเหยียบไปข้างหน้า เปลืองแรงยิ่งกว่าเวลาปกติมาก
มองไปข้างหลังเห็นทุกคนล้วนเหนื่อยล้า บัณฑิตเหล่านั้นยิ่งหอบหายใจแทบตาย
“ทุกคนพักก่อนเถอะ แต่อย่าไปไหนไกล ต่อให้ต้องไปปลดทุกข์ก็ต้องมีคนไปด้วย!”
“ตกลง”
“อ้อ พักผ่อนกัน”
“ได้พักเสียที…”
“ร่างจะแหลกแล้ว…”
มีคนยิ้มแย้มและมีคนโอดครวญ แต่ละคนหาที่แห้งๆ นั่งลงไม่ห่างกัน
ข้างๆ มีอีกาบินผ่าน ส่งเสียงกา…กา…อยู่พักหนึ่ง
หลินซินเจี๋ยบ่นโดยจิตใต้สำนึก
“ท่านลุงลู่ อีการ้องถือว่าอัปมงคลกระมัง”
ชายหนุ่มใช้กระบอกไม้ไผ่ดื่มน้ำได้ยินแล้วนึกสนุกขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ…บัณฑิตผู้นี้ คนมีปัญญาอย่างพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ นกบนภูเขามีเยอะแยะไป เจ้าได้ยินอีกาตัวหนึ่งร้องแล้วขลาดกลัว เช่นนั้นก็อย่าได้ไปไหนเลย เพราะข้าได้ยินเสียงเสือคำรามด้วยนะ!”
“นั่นน่ะสิ”
“บัณฑิตผู้นี้…”
ได้ยินคนรอบข้างเย้าหยอก อิ๋นชิงกลับจริงจังทันที
“ท่านอาเคยก็ได้ยินเสียงเสือคำรามกระมัง เป็นอย่างไร ตอนนั้นกลัวหรือไม่ ข้ามีสหายคนหนึ่งมักได้ยินเสียงเสือคำราม บอกว่าทุกครั้งล้วนกลัวแทบตาย เป็นเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่”
พ่อค้าเร่หลายคนด้านข้างมองอิ๋นชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด คนผู้นั้นที่ถูกถามก็ย้อนถามคำหนึ่งอย่างใคร่รู้
“สหายคนนั้นของเจ้ามักได้ยินเสียงเสือคำราม เช่นนั้นเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วเล่า ใจกล้ายิ่งนัก!”
“ฮ่าๆๆๆ เขาใจกล้าหรือ ใจเสาะที่สุดต่างหาก!”
เมื่อคิดถึงท่าทางขลาดกลัวของหูอวิ๋น อิ๋นชิงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนหน้านี้เต่าเฒ่าเคยพูดกับเขาว่าจิ้งจอกตัวนั้นถูกตนเองทำให้กลัวจนดูไม่ได้เลย
“สหายข้าบอกว่าเสียงเสือคำรามที่ได้ยินสั่นสะเทือนไปสิบลี้ นกและสัตว์ทุกตัวบนภูเขาได้ยินล้วนวิ่งหนี ท่านอาเล่าถึงเสียงเสือคำรามที่ท่านได้ยินให้ฟังบ้างเถอะ!”
ได้ยินอิ๋นชิงพูดเช่นนี้ คนรอบข้างรู้สึกว่าสหายของเขาน่าจะพูดโม้แล้ว
“เสียงเสือคำรามน่ากลัวมากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเหลือเกินขนาดนั้น พวกเราพ่อค้าเร่สิบกว่าคนอยู่ด้วยกัน ต่อให้ประจันหน้ากับเสือ สัตว์เดรัจฉานนั่นอย่างมากก็ต้องไม่กล้าทำร้ายคน ลำนำดาบไม่ใช่แค่การร้องเพลงขึ้นมาเท่านั้นหรอกนะ”
“ใช่ ที่จริงตอนนั้นพวกข้าได้ยินเสียงเสือคำรามแล้ว เมื่อลงเขาบอกนายพราน เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีนายพรานยี่สิบกว่าคนพากันขึ้นเขาไปวางกับดักแล้ว”
โม่ซิวพูดด้วยความงุนงง “เพื่อหนังเสือนี่ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ”
ผู้อาวุโสลู่ยิ้มพลางส่ายหน้า
“เสือในตอนนั้นน่าจะเดินไปภูเขาลูกอื่น ช่วยไม่ได้ นั่นใกล้กับหมู่บ้านสองแห่งมากเกินไป ไม่ใช่เพราะนายพรานต้องการหนังเสือ แต่คนแก่และเด็กล้วนอาศัยอยู่ที่ตีนเขา วางใจไม่ได้!”
“แล้วสุดท้ายจับเสือได้หรือไม่”
เหลยอวี้เซิงก็สงสัยขึ้นมาเช่นกัน
“ตอนนั้นพวกข้าเดินทางจากไปแล้ว ตอนไปที่นั่นอีกครั้งเป็นช่วงหลายเดือนให้หลัง เล่ากันว่าไม่ได้จับเสือ หลายหมู่บ้านโดยรอบสุดท้ายตั้งศาลเจ้าที่ขึ้นมา อีกทั้งไปอ้อนวอนเทพหลักเมืองที่ศาลหลักเมืองด้วย ผู้ดูแลศาลช่วยจัดพิธีเชิญเจ้าที่กลับมา ข้าต้องบอกกับพวกเจ้าเลยว่ามันได้ผลจริงๆ…”
เรื่องนี้น่าสนใจเช่นกัน บัณฑิตทุกคนฟังอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มหลายคนที่เพิ่งมาร่วมกลุ่มพ่อค้าเร่ได้ไม่นานก็เพิ่งเคยได้ฟังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
อิ๋นชิงฟังอยู่พลันรู้สึกหนาวที่คอ ครั้นหันไปมองพบว่ากระเรียนกระดาษตัวหนึ่งอยู่บนไหล่ กำลังใช้จะงอยปากกระดาษเล็กๆ จิกเขาอยู่
“กระเรียนกระดาษน้อย ท่านจี้มาแล้วหรือ”
คิดแล้วก็กล่าวอีก
“มาแล้วจิกหนึ่งครั้ง ไม่มาจิกสองครั้ง”
กระเรียนกระดาษเอียงคอมองอิ๋นชิง จิกสามครั้งโดยมีมือเขาบังไว้
อิ๋นชิงมุ่นคิ้ว จากนั้นลองถามดูว่า
“มาแล้ว จากนั้นไปแล้วหรือ”
ครั้งนี้กระเรียนกระดาษจิกหนึ่งครั้งแล้วกระพือปีกบินไปถึงข้างหลังพุ่มไม้ข้างๆ อิ๋นชิงเห็นแล้วรีบตามไป
“นี่อิ๋นชิง เจ้าจะไปไหน”
“ปลดทุกข์!”
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า!”
โม่ซิวกำลังฟังเรื่องเล่าของพ่อค้าเร่ มองเห็นอิ๋นชิงวิ่งไปคนเดียวก็รีบตามไป ทว่าอิ๋นชิงวิ่งเร็วเหลือเกิน เขาถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างชัดเจน
อิ๋นชิงย่อมไม่สนใจโม่ซิวที่อยู่ข้างหลัง ตามกระเรียนกระดาษไปตลอดทาง อ้อมพุ่มไม้หลายพุ่มแล้วเลี้ยวไปถึงด้านหลังเนินเขาหิน จากนั้นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า พลันร้องอ๊ากขึ้นมาเสียงหนึ่ง
เขาขนลุกทั่วตัว สิ่งประหลาดสวมชุดเก่าขาด ตัวสีกากีและมีส่วนโค้งงอยืนอยู่ตรงนั้น กระเรียนกระดาษบินวนอยู่เหนือศีรษะมัน
“ขะ ข้าน้อยคารวะคุณชายอิ๋น! ขะ ข้าน้อยคือเทพภูเขาทะลุแห่งนี้ เทพภูเขา ดะ ได้รับคำสั่งจากท่านเซียน…”
“อิ๋นชิง…”
เสียงโม่ซิวดังมา อิ๋นชิงหันกลับไปมอง ตอนหันกลับมาสิ่งประหลาดที่เรียกตนเองว่าเทพภูเขาหายไปไม่เห็นแล้ว