ตอนที่ 4 ความสำคัญของการล้างมือก่อนจับรางวัล
ไป๋เยี่ยมองหน้าจอโน้ตบุ๊กพลางส่งสายตา “สะดวกให้ผมดูไหม”
สวี่เหยียนพยักหน้าพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่สนใจนัก
ไป๋เยี่ยรับโน้ตบุ๊กมาเปิดดูหน้าแรกของธีสิส ก่อนจะไล่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบไปรอบหนึ่ง
หัวข้อธีสิสคือ ‘การวิจัยทางคลินิก เรื่อง การใช้เม็ดยากระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในภาวะสมองขาดเลือดเรื้อรัง’ เป็นการสำรวจโดยแบ่งเคสผู้ป่วยออกเป็นสามกลุ่มเล็กๆ กลุ่มที่หนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ใช้ยากระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ส่วนกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ใช้ยาทั่วไปในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
แต่ดัชนีของสวี่เหยียนนั้นเยอะเกินไป ทั้งสารโฮโมซิสเทอีน[1]ในซีรั่ม ไขมันในเลือด ความหนืดของเลือด การตรวจส่วนศีรษะโดยใช้นิวเคลียร์แมกเนติกแรโซแนนซ์[2] และการใช้คลื่นดอพเลอร์อัลตราซาวด์[3]บนศีรษะ
ต้องเปรียบเทียบหลายอย่างทั้งตอนก่อนและหลังการทดลอง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก
ไป๋เยี่ยพูดขึ้น “จริงๆ แล้วถ้าพี่จะเปรียบเทียบโฮโมซิสเทอีนในซีรั่มล่ะก็ ผมว่ามันแบ่งข้อมูลเป็นระดับๆ ได้นะ ถ้าตามที่พี่หมายถึงคือแบ่งออกเป็นสี่ระดับแล้วค่อยเอามาพิจารณา ซึ่งสามารถใช้ไค-สแควร์[4]หรือใช้การทดสอบผลรวมลำดับที่[5]ก็ได้…ถ้าเป็นไขมัน หรือว่าความหนืดในเลือด ผมคิดว่าใช้ทีเทส[6]ก็ได้นะ”
ไป๋เยี่ยพูดมาเยอะมาก สวี่เหยียนดูจะเข้าใจแบบงงๆ แต่เธอก็ยังคงส่ายหัวไปมา “ฉันวิเคราะห์สถิติไม่ค่อยเป็นน่ะ ช่วงนี้ก็เลยอ่านหนังสือวิชาสถิติเยอะ ยากมากเลย”
ไป๋เยี่ยคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าสะดวก พี่ส่งข้อมูลมาให้ผมที เดี๋ยวผมวิเคราะห์ให้เอง”
สวี่เหยียนชะงัก “แต่นายต้องสอบนี่นา จะมีเวลาเหรอ ช่างมันๆ เดี๋ยวฉันจ้างพวกเรียนสถิติที่มหา’ลัยแพทย์มาทำให้ก็ได้ นายตั้งใจทบทวนเถอะ”
ไป๋เยี่ยไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร อีกทั้งเขายังไม่มีเงินพอจะซื้อ ‘คัมภีร์ผู้ทระนง’ อีกด้วย อีกอย่างคือต่อให้เขาจะซื้อมันมา แต่มันก็คงผ่านมานานแล้ว จึงตอบกลับว่า “ใช้เวลาไม่นานหรอกพี่ เมื่อก่อนผมเคยเรียนสถิติมา ผมเก่งเลขนะ พี่ส่งมาให้ผมมา ตอนบ่ายทำเสร็จแล้วเดี๋ยวผมส่งกลับไปให้”
ไป๋เยี่ยพูดไปพร้อมกับเพิ่มเพื่อนสวี่เหยียนในวีแชต
หลังจากกลับไปตอนเที่ยง ไป๋เยี่ยก็จัดการเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โหลดโปรแกรม SPSS[7] แล้วเริ่มลงมือทำ
ด้วยความที่วิชาเวชสถิติของไป๋เยี่ยนั้นอยู่ที่เลเวลสี่ การวิเคราะห์พวกนี้จึงเป็นเรื่องง่ายมาก ไป๋เยี่ยใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จแล้ว
ทว่าไป๋เยี่ยกลับรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะในด้านของทั้งการทดลอง การสังเกต หรือการตั้งดัชนีนั้น สวี่เหยียนทำออกมาได้ค่อนข้างดีและรอบคอบมากเลยทีเดียว ไป๋เยี่ยคิดว่าเขาสามารถทำออกมาได้ดีกว่านั้น จึงสร้างไฟล์ขึ้นมาใหม่ และใช้การวิเคราะห์แบบอภิมานกับธีสิสของสวี่เหยียน เมื่อมีวิธีการวิเคราะห์นี้ ไป๋เยี่ยก็คิดว่าธีสิสจบของสวี่เหยียนคงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็ส่งไฟล์ให้กับสวี่เหยียนผ่านทางวีแชต
ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยอยู่เล็กๆ ว่าเขาจะจับได้รางวัลอะไรกันแน่
พอนึกถึงเรื่องจับรางวัล ไป๋เยี่ยจึงรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ หยิบสบู่มาล้างมือสักพักใหญ่ๆ แล้วค่อยกดปุ่มจับรางวัล
เขาเห็นเพียงบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนกับจานใบใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้า ไป๋เยี่ยเริ่มหมุนจานนั่น ก่อนจะพูดว่า ‘หยุด’ ในใจ
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับแคปซูลเพิ่มความจำ*10 แคปซูลเพิ่มความจำ สามารถช่วยเพิ่มความจำจำนวนมาก โดยจะมีผลภายในห้าชั่วโมงหลังใช้]
แคปซูลเพิ่มความจำ? เพิ่มความจำงั้นเหรอ
เมื่อนึกถึงวิชายาจีนซึ่งมีข้อมูลมากมายต้องท่องจำ ไป๋เยี่ยก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยมทันที ฉันอาจจะสอบติดจริงๆก็ได้!
ตอนที่สมัครสอบไปในเดือนตุลาคม ไป๋เยี่ยก็ยังทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ตอนนี้ดูท่าจะมีความหวังขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
และตอนนี้ หลังจากที่สวี่เหยียนได้รับการตอบกลับจากไป๋เยี่ยนั้น เมื่อลองเปิดไฟล์ดูก็แทบตาพร่าไปชั่วขณะ
มีตารางมากกว่ายี่สิบหน้า ดัชนีทุกหน้าถูกวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นระบบระเบียบและสมเหตุสมผล โดยนำทุกผลต่างที่ทั้งมีและไม่มีความหมายทางสถิติมารวมกัน
คำนวณความน่าจะเป็นผ่านโปรแกรม SPSS จากนั้นจึงได้ผลลัพธ์เท่ากับ p < 0.05 โดยที่ผลต่างนี้มีความหมายทางสถิติ
ไป๋เยี่ยจริงจังกับมันสุดๆ เขาทำออกมาละเอียดมาก อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความชำนาญ เมื่อมีความชำนาญก็จะตรวจหาข้อผิดพลาดได้
เธอยังพบว่ามีอีกหนึ่งไฟล์ด้วย หลังจากที่เปิดดู สวี่เหยียนก็ตาพร่าไปในทันที
การวิเคราะห์อภิมาน[8]เหรอ
ไม่น่าเชื่อว่ารุ่นน้องคนนี้จะทำเป็นกระทั่งการวิเคราะห์อภิมาน
สวี่เหยียนเรียนการวิเคราะห์อภิมานมาเป็นเวลานานเพื่อที่เธอจะได้นำมาเขียนวารสารวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังเรียนไม่เข้าใจอยู่ดี เมื่อได้เห็นการวิเคราะห์ที่ไป๋เยี่ยทำ เธอก็รู้สึกตื้อไปเล็กน้อย
จู่ๆ รูมเมทของสวี่เหยียนก็พูดขึ้นมา “เฮ้ ฉันกลับมาแล้ว พวกที่มหา’ลัยแพทย์ส่งข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์มาให้ฉันแล้วนะ สวี่เหยียนมาดูสิ ลองดูว่าเป็นไงบ้าง”
สวี่เหยียนปิดคอมพิวเตอร์ลง ก่อนจะเดินไปข้างๆ หญิงสาว อ่านการวิเคราะห์ข้อมูลที่เธอเปิดขึ้นมา ซึ่งมันมีเพียงสี่ห้าหน้าเท่านั้น แถมยังดูง่ายมากด้วย โดยเป็นการวิเคราะห์ดัชนีทั่วๆ ไป และอธิบายออกมาอย่างง่ายๆ แต่ในความคิดของสวี่เหยียนนั้นมันดูธรรมดาไป และไม่มีจุดเด่นอะไรนัก
พอเอามาเทียบกับที่ไป๋เยี่ยทำ มันต่างกันคนละโลกเลย! ไป๋เยี่ยนำความคลาดเคลื่อนของข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ รวมทั้งอธิบายถึงข้อผิดพลาดชนิดที่หนึ่ง[9]และสอง[10]ออกมาได้ละเอียด
สวี่เหยียนเอ่ยถาม “เหลยเหล่ย เธอจ่ายไปเท่าไหร่น่ะ”
เด็กสาวถอนหายใจ “ฉันหาคนที่เพื่อนแนะนำมาน่ะ จ่ายไปพันนึงได้มั้ง แพงจริงๆ แต่ว่านะ ฉันอยากทำให้เสร็จไวหน่อยจะได้เอาไปให้อาจารย์ดู เพราะเดี๋ยวก็จะปลายปีแล้ว พอช่วงปีใหม่ก็วุ่นเรื่องหางานอีก จะเอาเวลาไหนไปทำธีสิสล่ะ จ่ายๆ ไปเถอะจะได้โล่งใจ”
“สวี่เหยียน นี่เธอตั้งใจจะทำเองจริงเหรอ ฉันว่าให้คนที่เขาถนัดทำดีกว่านะ พอตอนเรียนจบเกิดมีปัญหาขึ้นมาจะยิ่งยุ่งยากนะ เกิดทำมาไม่ดีแล้วมันเลื่อนเวลารับปริญญาออกไปก็จบเห่เลยนะ!”
สวี่เหยียนยิ้ม พลางเปิดโน้ตบุ๊กของตนเองขึ้นมา “เหลยเหล่ย ฉันทำเสร็จแล้ว เธอลองดูสิว่าเป็นไงบ้าง”
สวี่เหยียนเอ่ยพร้อมกับเปิดหน้าแรกของไฟล์ เด็กสาวคนนั้นจึงคว้าโน้ตบุ๊กมาอ่านดูคร่าวๆ
ผ่านไปไม่กี่นาที…
“โอ้โห! อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึกขนลุกจนพูดไม่ออกเลยเนี่ย! สวี่เหยียน เธอให้อาจารย์ที่ปรึกษาทำให้เหรอ” หญิงสาวส่งเสียงดังด้วยความประหลาดใจ
สวี่เหยียนส่ายหน้า เมื่อถึงตอนบ่าย เธอก็นำสิ่งที่ไป๋เยี่ยส่งมาไปใส่ในธีสิสของตนเอง และส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษา ให้อาจารย์ลองดูว่ามีปัญหาตรงไหนหรือไม่
อาจารย์ที่ปรึกษาของสวี่เหยียนชื่อว่าจางฮั่นหลิน เป็นหัวหน้าห้องจิวัยโรคทางสมองของโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน จบปริญญาเอกจากประเทศสหรัฐอเมริกา เขียนวารสารทางวิทยาศาสตร์มากมาย และมีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัย
สวี่เหยียนยื่นธีสิสที่พิมพ์ออกมาแล้วให้อาจารย์ พร้อมกล่าว “อาจารย์คะ หนูแก้ธีสิสเรียบร้อยแล้วนะคะ ไว้อาจารย์สะดวกช่วยดูให้ด้วยค่ะ”
จางฮั่นหลินกำลังว่างพอดี เขาพูดพลางพยักหน้า “เสียวสวี่ ผมได้อ่านบรรยายหัวข้อของคุณแล้ว ค่อนข้างน่าสนใจนะ สิ่งสำคัญสำหรับธีสิสจบคือการจัดการและการค้นข้อมูลเชิงลึก ซึ่งถือว่าค่อนข้างท้าทายเลยทีเดียว”
“ถึงแม้ว่าดัชนีที่คุณตั้งมาจะไม่ใหม่นัก แต่การจัดการทดลองนั้นเป็นไปตามคำแนะนำของผม ผมคิดว่าควรจะใช้เวลาอีกสักหน่อยในการจัดการกับสถิติ ซึ่งนี่แหละที่เป็นหัวใจของการทำธีสิสจบ”
พูดจบ จางฮั่นหลินก็เปิดดูการวิเคราะห์สถิติที่หน้าสุดท้ายของธีสิส เขาอึ้งไปในทันที ก่อนจะขมวดคิ้วและเข้าสู่ห้วงความคิด
นี่มัน…
เขาพลิกต่อไปเรื่อยๆ แถมยิ่งอ่านก็ยิ่งตะลึง!
การวิเคราะห์นี่
ละเอียดถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
กลุ่มตัวอย่างง่ายๆ เพียงสองกลุ่ม กลุ่มที่ไม่ได้ทดสอบกับดัชนีทั้งห้าตัว ถึงกับวิเคราะห์ออกมาได้ละเอียดถึงขนาดนี้เชียวเหรอ
อีกทั้งยังทำแต่ละส่วนออกมาได้ดีมาก โดยเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์สถิติที่ดีที่สุด
ทั้งทำการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นและความคลาดเคลื่อนของทุกการทดลอง
นี่…
นี่เรากำลังอ่านธีสิสจบของนักศึกษาป.โทอยู่จริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่วารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติใช่ไหม
นี่คือระดับความสามารถด้านการวิเคราะห์ของนักศึกษาป.โทจริงเหรอ
จางฮั่นหลินขมวดคิ้วแน่น
ต่อให้เป็นตัวเขาเอง ก็ยังคงอยู่ห่างไกลกับการวิเคราะห์ข้อมูลนี้มาก…
[1]โฮโมซิสเทอีน คือ สารที่เกิดจากการย่อยสลายของอาหารประเภทโปรตีน หรือการย่อยสลายของกรดอะมิโน
[2] นิวเคลียร์แมกเนติกเรโซแนนซ์ (NMR) คือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการพิสูจน์โครงสร้างของสารเคมี โดยใช้การดูดกลืนพลังงานในสนามแม่เหล็ก
[3] ดอพเลอร์อัลตราซาวด์ คือ การใช้คลื่นเสียงตรวจการไหลเวียนของหลอดเลือดดำ
[4] ไค-สแควร์ (Chi-Square) คือ วิธีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์ของตัวแปรสองตัวว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่
[5] การผลรวมลำดับที่ (Rank Sum Test) หรือ การทดสอบของวิลคอกซันแมนท์วิทนี (The Wilcoxon-Mann-Whitney Test) คือ วิธีการทดสอบข้อมูลสองชุดที่เป็นอิสระต่อกัน โดยใช้ผลรวมของลำดับที่ในแต่ละกลุ่ม
[6] ทีเทส (T-Test) หรือ การทดสอบที คือ วิธีการทดสอบสมมติฐานทางสถิติเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของแต่ละกลุ่มตัวอย่าง
[7] SPSS (Statistical Package for the Social Science) คือ โปรแกรมที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติให้ออกมาเป็นรูปแบบต่างๆ
[8] การวิเคราะห์อภิมาน (Meta-Analysis) คือ วิธีการทางสถิติที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบและรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยที่ต่างกัน เพื่อนำมากำหนดสิ่งที่พบเหมือนกัน สิ่งที่ต่างกัน หรือความสัมพันธ์ต่างๆ ที่ปรากฏในงานวิจัย
[9] ข้อผิดพลาดชนิดที่หนึ่ง (Type I Error) คือ การที่ผู้วิจัยสรุปผิดโดยปฏิเสธว่าสมมติฐานว่างทั้งที่เป็นจริง (บอกว่ามีความแตกต่างทั้งที่ไม่มี)
[10] ข้อผิดพลาดชนิดที่สอง (Type II Error) คือ การที่ผู้วิจัยไม่ได้ปฏิเสธสมมติฐานว่างที่ไม่เป็นจริง (บอกว่าไม่มีความแตกต่างทั้งที่มี)