ตอนที่ 31 อ่านหนังสือร้อยเล่ม
การแข่งขันรอบระดับมณฑลมีผู้เข้าแข่งขันราวหนึ่งพันคน พ่างจื่อถือว่าตนเองเป็นพวกประหลาด เขาได้อันดับหนึ่งพันเป๊ะ จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ถ้าตามคำพูดของเขาคือ ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ได้เพิ่มมาคะแนนเดียวถือว่าสิ้นเปลือง!
การแข่งขันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวไป๋เยี่ยก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ยังมีอีกหลายคนที่รอซ้ำเติมไป๋เยี่ยอยู่
และแม้ว่าช่วงนี้คนในอินเทอร์เน็ตจะติดตามไป๋เยี่ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจ
หลายวันมานี้ไป๋เยี่ยเอาแต่ขลุกอยู่ที่ศูนย์ค้นคว้าเอกสารในชั้นยี่สิบสี่ของสถาบันวิจัยแพทย์แผนจีน เขาอ่านหนังสือที่นั่นทุกวัน
เขาพบว่าหลังจากที่อัปขึ้นเลเวลสี่ ความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาก็เริ่มต่างออกไปจากในตอนแรกแล้ว เหมือนกับว่าตนต้องคอยพิสูจน์ข้อถูกผิดวนไปวนมาตลอดเวลา
ไป๋เยี่ยกลับไปเฉพาะตอนกินข้าวและนอน เขาแทบจะสิงอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
นอกจากทำงานจัดหมวดหมู่หนังสือแล้ว เขาก็เอาแต่อ่านหนังสือ
ไป๋เยี่ยอ่าน ‘หวงตี้เน่ยจิง’ ‘หนานจิง’ จบไปหลายรอบแล้ว เขายังไม่พลาดที่จะอ่านตำราของแต่ละยุคสมัยด้วย
น่าเสียดายที่เขามีเวลาจำกัด แต่พอถึงวันอาทิตย์ เขาก็ตะบี้ตะบันอ่านหนังสือไปสิบกว่าเล่ม
ครั้งนี้เขาอ่านช้าและละเอียด เพราะว่าเขากำลังค่อยๆ ทำความเข้าใจ แม้ว่าจะอ่านจบไปหลายรอบแล้วแต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
‘อ่านหนังสือร้อยรอบและทำความเข้าใจด้วยตนเอง’ คือสิ่งที่เขากำลังพูดถึง
[ติ๊ง! สำเร็จภารกิจอ่านหนังสือร้อยเล่ม ได้รับค่าประสบการณ์ 10000 แต้มและโอกาสจับรางวัลสามดาวจำนวน 1 ครั้ง]
ไป๋เยี่ยชะงัก เขาเกือบลืมภารกิจนี้ไปแล้ว
โอกาสจับรางวัลสามดาวถือเป็นโอกาสหายาก ไป๋เยี่ยเองก็ตื่นเต้นมาก คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจจับรางวัลเลย ลองดูหน่อยว่าจะได้อะไร
เข็มหยุดลง ไป๋เยี่ยมองสิ่งที่เข็มชี้ไปด้วยความสงสัย มันคืออะไร
มันคือหนังสือเล่มหนึ่ง บนปกเขียนว่า ‘ประสบการณ์และการแบ่งประเภทการต้มยา’
ไป๋เยี่ยเห็นว่ามันเป็นหนังสือหนาประมาณสามพันกว่าหน้า หนึ่งหน้ามีขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่ เมื่อเปิดดูก็จะพบกับหน้าหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษร
หนังสือหนาขนาดนี้เลยเหรอ
จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรกันนะ
ไป๋เยี่ยลองดูดีๆ ก็พบว่ามันถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 2218
น…นี่มันหนังสือจากอีกสองร้อยปีข้างหน้านี่หว่า!
หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงวิธีการปรุงยา แหล่งผลิต และการควบคุมคุณภาพของยาจากอนาคตอีกสองร้อยปีข้างหน้า อีกทั้งยังมีงานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับยาจีนด้วย
หนังสือเล่มนี้โคตรมีความหมายเลย!
แม้ว่ามันจะไม่ได้ออกมาเป็นรูปเล่ม แต่มันก็เป็นหนังสือจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าหนังสือเล่มนี้ยังเป็นเหมือนกับสกิลในเกมที่พอเรียนรู้แล้วจะบันทึกไว้ในสมองของผู้เล่น ไป๋เยี่ยเลือกอ่านได้ตลอดเวลา
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาอ่านหนังสือ ไป๋เยี่ยเปิดอ่านไม่กี่หน้าก่อนจะเก็บมันไป รอมีเวลาว่างๆ เขาค่อยลองไปอ่านและค้นคว้าดู
เพียงพริบตาเดียวก็เป็นวันอาทิตย์แล้ว เวลาแข่งคือเก้าโมงถึงเที่ยง ใช้เวลานานถึงสามชั่วโมง
สนามสอบถูกจัดแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วคืออาจารย์ที่มาคุมสอบในวันนี้ล้วนเป็นอาจารย์จากโรงเรียนมัธยมในมณฑล ไม่ใช่อาจารย์จากมหาวิทยาลัย
ห้องสอบหนึ่งห้องจะมีผู้เข้าสอบประมาณสามสิบกว่าคน และอาจารย์คุมสอบอีกสามคน
ในขณะเดียวกัน ผู้คนทั้งบนอินเทอร์เน็ต หน้าโทรทัศน์ และในเวยป๋อต่างให้ความสนใจกับการแข่งขันครั้งนี้
แต่เมื่อเทียบดูแล้ว การจัดห้องสอบของรอบนี้เปลี่ยนแปลงไปจากรอบก่อน เพราะเป็นการแบ่งตามอันดับคะแนนที่ได้
นั่นหมายความว่า ในห้องสอบที่ไป๋เยี่ยอยู่เป็นห้องของผู้เข้าแข่งขันสามสิบอันดับแรก พูดได้เลยว่า แต่ละคนนี่อัจฉริยะทั้งนั้น!
ห้องสอบที่ไป๋เยี่ยอยู่มีแต่อัจฉริยะเต็มไปหมด!
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แค่คนจากมหาวิทยาลัยของเขาก็มีทั้งสวี่จงเหล่ย ด็อกเตอร์จบจากอเมริกา (ในปัจจุบันผู้ที่เรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนมักจะถูกส่งไปฝึกงานที่ต่างประเทศ) หลิวเจิ้นซี และซุนเฉียวเย่ว์ ซึ่งล้วนจบด็อกเตอร์กันหมด ยังไม่นับคนอื่นๆ อีก
อาจกล่าวได้ว่าอย่างน้อยๆ คนที่อยู่ในห้องนี้ก็จบปริญญาเอกกันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าไป๋เยี่ยไม่ใช่หนึ่งในนั้น
ตอนนี้ฝ่ายจัดการของทางมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีนั้นกำลังให้ความสนใจกับห้องสอบห้องแรก
ทั้งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน หูเฟิงอวิ๋น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน เซียวฮั่นซี หัวหน้าแผนก หลี่หวายจง และผู้อำนวยการโรงพยาบาลอื่นๆ กำลังพูดคุยกันอยู่
“ผอ.หู มหาวิทยาลัยของคุณเก่งมากเลยครับ ติดสามอันดับแรกตั้งสองคน ไม่เพียงแค่อัจฉริยะอย่างไป๋เยี่ย แต่ก็ยังมีสวี่จงเหล่ยที่ไม่ได้เก่งแต่เปลือกนอกอีกคน ถือเป็นสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ!” เซียวฮั่นซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หูเฟิงอวิ๋นส่ายหน้าน้อยๆ “ผอ.เซียวชมเกินไปแล้วค่ะ ไป๋เยี่ยยังเด็กอยู่ ยังต้องสะสมความรู้ให้มากกว่านี้ ส่วนเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนดิฉันก็ยังไม่มั่นใจจริงๆ สวี่จงเหล่ยเป็นอัจฉริยะ แต่หัวหน้าแผนกเรียบเรียงวารสารจากศูนย์วิจัยของคุณอย่างหัวหน้าจางจี๋เซียนต่างหากที่เป็นผู้มากพรสวรรค์ เขาเป็นอัจฉริยะสิบอันดับแรกจากทั้งประเทศเลยนะคะ เป็นที่สองของมณฑล และติดสิบอันดับแรกของทั้งประเทศ คนที่มีอัตราการตอบถูกหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นี่แหละค่ะที่เรียกว่าเก่ง!”
หลี่หวายจงแค่นเสียงหัวเราะ “เอาละ ทุกท่านอย่าถ่อมตัวเลย ครั้งนี้พวกเขาจะได้สิบอันดับแรกของทั้งประเทศหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้ว ผอ.หู ผอ.เซียว พวกท่านเตรียมตัวไว้ได้เลยครับ หลังการสอบครั้งนี้จบลง ต้องพาผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนมาอบรมสักหน่อย ให้แพทย์ชื่อดังอย่างผอ.จางมาให้ความรู้พวกเขาเป็นการเตรียมตัวก่อนสอบสักหน่อย การพัฒนาด้านการแพทย์แผนจีนในมณฑลจิ้นซีนั้นค่อนข้างล้าหลัง แต่ถ้าหากผลลัพธ์ครั้งนี้ออกมาดี ทางการจะต้องให้การสนับสนุนอย่างดีแน่!”
เซียวฮั่นซีพยักหน้า “อืม ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน รอให้ผลการแข่งขันออกมาก่อน ผู้ที่ได้สิบอันดับแรกจะต้องเข้าร่วมการอบรมเป็นระยะเวลาห้าวัน เราจะเชิญแพทย์ชื่อดังในจิ้นซีมาเป็นผู้ให้ความรู้ ถึงตอนนั้นแล้วคงต้องขอความร่วมมือจากผอ.หูนะครับ”
หูเฟิงอวิ๋นตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ดิฉันจะให้การสนับสนุนและความร่วมมือเป็นอย่างดีค่ะ”
ขณะนี้ผู้เข้าแข่งขันทยอยเข้ามากันแล้ว ที่นั่งของไป๋เยี่ยอยู่อันดับแรก คนด้านหลังที่เดินเข้ามาต่างพากันจับจ้องไป๋เยี่ย เพราะว่าเด็กคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
ผู้เข้าแข่งขันทยอยเข้ามาจนครบ ระหว่างนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีท่าทีสุขุม สวมแว่นตากรอบทอง ใส่ชุดลำลองสีเทากับรองเท้ากีฬา รูปร่างผอม ไว้ผมสั้นทรงเรียบๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนักวิชาการ
คนคนนั้นเดินเข้ามา เขาเป็นฝ่ายเริ่มโบกมือและก้มศีรษะให้ไป๋เยี่ยเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวแนะนำตัว “ดีครับ ผมชื่อจางจี๋เซียน ผมรู้จักคุณนะ คุณไป๋เยี่ย หวังว่าต่อไปเราจะไปคุยกันมากขึ้นนะครับ จริงสิ ผมทำงานอยู่ในแผนกเรียบเรียงของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนนะ ไว้มานั่งเล่น คุยเรื่องแพทย์แผนจีน จิบชากันนะครับ”
ไป๋เยี่ยชะงักไป เขาเห็นว่าแววตาของชายผู้นี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความเป็นมิตร ไป๋เยี่ยจึงลุกขึ้นโค้งคำนับและจับมือ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ผมเชื่อว่าคุณจะติดสิบอันดับแรก ผมดูไม่ผิดแน่ๆ”