ตอนที่ 35 เป้าหมายในการเรียน
ไป๋เยี่ย พ่างจื่อ และหวังเหมิ่งกำลังนั่งดื่มกินกันสนุกสนานที่สวนหลังบ้าน
สวนหลังบ้านของที่นี่ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป แม้ว่าที่นี่จะเป็นบ้านชั้นเดียวธรรมดาๆ หลังหนึ่ง แต่ก็มีพื้นที่กว้างมาก ตัวบ้านมีความสูงราวๆ ห้าถึงหกเมตร ทว่าบนเพดานกลับมีภาพสลักลายหงส์มังกร เสาบ้านแต่ละเสาก็ล้วนมีลวดลายย้อนยุค
ตัวบ้านด้านหนึ่งกว้างประมาณแปดถึงเก้าห้องล้อมทั้งสี่ทิศ คงพอจินตนาการได้ว่าบ้านน่าจะกว้างประมาณไหน
ที่สวนหลังบ้านก็มีพื้นที่ว่างสำหรับเพาะปลูกผักผลไม้ มีสุนัขคอยเฝ้า และยังมีรถมอเตอร์ไซค์คันหรูจอดอยู่คันหนึ่ง
พ่างจื่อเคี้ยวคากิอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะพูดขึ้น “โห เรียนมาตั้งกี่ปี ไม่เห็นรู้เลยว่ามีที่ดีๆ แบบนี้อยู่ด้วย! เหมิงจื่อ นายโคตรเจ๋ง! วันนี้นายเปิดโลกให้ฉันมากเลย! ฟินสุดๆ มาๆ ชนแก้ว!”
ทั้งสามคนชูแก้วเบียร์ขึ้นดื่มกันคนละอึก เหมิงจื่อดุดันสมชื่อจริงๆ เขาดื่มเบียร์ได้ทีละครึ่งแก้วเชียวแน่ะ
หวังเหมิ่งหัวเราะพร้อมกับมองทั้งสองคนที่กำลังอึ้ง “ฮ่าๆ ทำตัวสบายๆ กันก็ได้ ฉันดื่มแบบนี้อยู่แล้ว พ่อสอนดื่มเหล้าตั้งแต่คลอดน่ะ ก็เลยชินแล้ว”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าก่อนจะถามขึ้น “เหมิงจื่อ เมื่อกี้ฉันบังเอิญเห็นว่าที่บ้านนายเคารพหลี่สือเจิน อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็ดูเก่าแล้ว แถมยังตกแต่งได้ประณีตมากๆ ด้วย ครอบครัวนายเป็นหมอเหรอ”
หวังเหมิ่งหัวเราะแล้วจึงส่ายหัวไปมา “ใช่ และ ไม่!”
พ่างจื่อถึงกับงง “อะไรกัน เฮยพ่างจื่อ ตัวอ้วนดำแบบนี้แค่แสร้งทำตัวเป็นอันธพาลก็พอแล้ว อย่าทำตัวเป็นพวกรู้วิชาสิ ฉันไม่ชอบ ถ้านายเป็นพวกหนุ่มน้อยหน้าขาวๆ แบบเยี่ยจื่อก็ว่าไปอย่าง นายทั้งดำทั้งอ้วน ไม่เข้ากับลุคแบบนั้นหรอก!”
ทว่าหวังเหมิ่งก็ไม่ได้ใส่ใจ เจ้าหมอนั่นนิสัยแบบนั้นอยู่แล้ว เขาเดินถือขวดเบียร์ไปหาพ่างจื่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คือว่าที่บ้านฉันทำธุรกิจยาน่ะ เป็นธุรกิจยาจีน ก็ถือว่าเป็นหมอครึ่งหนึ่งล่ะมั้ง ฉันโตมากับหนังสือแพทย์น่ะ ก็เลยค่อนข้างชอบด้านนี้ แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังเรียนวิศวะโยธาอยู่น่ะสิ…”
ที่แท้ครอบครัวของหวังเหมิ่งก็ทำธุรกิจยามาหลายต่อหลายรุ่นและทำมานานกว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งก็ถือว่าพอมีประวัติและมีชื่อเสียงในหมู่บ้านหวังแห่งนี้ สมัยก่อนคนในหมู่บ้านยากจน ไม่มีงานทำ ก็มาทำงานให้กับตระกูลหวัง ผ่านไปหลายปี ธุรกิจก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่
จนมาถึงรุ่นของหวังเหมิ่ง ตอนแรกเจ้าหมอนี่คิดว่าหมู่บ้านหวังจะถูกรื้อถอน ครอบครัวของเขามีฐานะ เขาจึงต้องเรียนวิศวกรรมโยธา เพื่อกลับมาซ่อมแซมบ้านของตนเอง
แต่หวังเหมิ่งก็รู้หน้าที่ของตน ความรู้ด้านยาจีนที่ทางครอบครัวสืบทอดต่อกันมานั้นเป็นสิ่งที่ดี ความรู้ด้านวิศวกรรมที่เขาเรียนมาตลอดสี่ปีนั้นก็ใช้ได้แค่ตอนซ่อมบ้าน
ทั้งสามคนพูดคุยกันออกรสขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหวังเหมิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น “พ่างจื่อ ฉันจำตอนเรียนได้ อาจารย์เคยถามพวกฉันว่าทำไมถึงมาเรียนวิศวะ ฉันเลยตอบไปว่า ‘ผมเรียนเพื่อเอาไปซ่อมบ้าน’ แล้วทุกคนก็หัวเราะดังก๊ากเลย บ้าจริง พวกเขารู้ไหมว่าที่บ้านฉันมีทรัพย์สินเยอะแค่ไหน มีที่ดินตั้งกี่สิบไร่ ถ้าไม่ตั้งใจเรียนแล้วจะไปซ่อมบ้านได้ไง”
พ่างจื่อเริ่มโม้บ้าง “พอๆ เล่าเรื่องบ้านตัวเองทั้งวันละ ฉันมีความฝันอยากช่วยผู้คนจากภัยพิบัติตั้งแต่เด็กๆ คอยนึกถึงแต่คนอื่นก่อนเสมอ ฉันก็เลยอยากเป็นหมอผู้ยิ่งใหญ่คอยช่วยคนไข้จากโรคร้ายยังไงล่ะ! จริงด้วย! ฉันชอบช่วยหญิงโสเภณีนะ เหมิงจื่อ ที่นี่พอมีโสเภณีบ้างไหม มันถึงเวลาที่ฉันจะต้องตอบแทนบุญคุณประเทศชาติแล้ว!”
ไป๋เยี่ยรู้สึกหมดคำพูดกับทั้งสองคน
“เยี่ยจื่อ แล้วทำไมนายถึงมาเรียนหมอ” หวังเหมิ่งถาม
ไป๋เยี่ยถอนหายใจพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน คิดไปคิดมาแล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “พ่อฉันเคยบอกว่าปัญหาที่ใช้เงินแก้ได้ย่อมไม่ใช่ปัญหา ฉันคิดมานานแล้วและพบว่าชีวิตเราคือสิ่งที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ ฉันเลยเลือกเรียนหมอ บ้านฉันรวยจะตาย ฉันอยากรู้ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองมีชีวิตอยู่นานๆ แล้วใช้เงินให้หมดเกลี้ยงเลย”
“ชิ!”
“เฮ้ย! ไอ้เวรนี่”
ทั้งสองคนพร้อมใจกันชูนิ้วกลาง
พวกเขาดื่มกันจนสี่ทุ่มกว่า หวังเหมิ่งจึงให้คนพาไป๋เยี่ยและพ่างจื่อไปส่งที่มหาวิทยาลัย
วันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยถูกปลุกให้ตื่นทั้งที่ยังสะลึมสะลือ
“เยี่ยจื่อ เยี่ยจื่อ รีบตื่นเร็วโว้ย เฮ้ย ตื่นเร็ว!”
“ผลสอบออกแล้ว รีบตื่นเร็ว เดี๋ยวผอ.ก็มาแล้ว!”
วันนี้เป็นวันจันทร์ หรือวันประกาศผลสอบนั่นเอง เมื่อวานไป๋เยี่ยและสองพ่างจื่อดื่มกันหนักเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สร่างเมาดี
ไป๋เยี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าต้วนเย่ว์กับลู่เผยอี้กำลังเขย่าร่างของตนอยู่จึงถามขึ้น “มีอะไรเหรอ”
ลู่เผยอี้พูดด้วยความตื่นเต้น “แย่แล้วเยี่ยจื่อ ผลสอบออกมาแล้ว นายได้ที่หนึ่งอะ! ที่หนึ่งของมณฑล แล้วก็เป็นที่หนึ่งของประเทศด้วย! ได้ข่าวว่าอีกสักพักหัวหน้าเหยียนกับผอ.หูจะมาหานายแล้วมอบเหรีบญรางวัลให้ด้วย! รีบตื่นเร็ว!”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้นก็ตอบรับเสียงงัวเงีย “ที่หนึ่งน่ะเหรอ ฉันรู้อยู่แล้วน่า! เฮ้อ ก็นึกว่าเรื่องอะไร ขอนอนต่ออีกสักนิดแล้วกัน มึนหัวไม่ไหวแล้ว…”
พูดจบไป๋เยี่ยก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม
ต้วนเย่ว์และลู่เผยอี้พากันจนมุม ปล่อยมันไปแล้วกัน…
ภายในหอพักกลับสู่ความเงียบสงบ ทว่าในมหาวิทยาลัยกลับกำลังครึกครื้น!
“ได้ข่าวหรือยัง รุ่นพี่ไป๋เยี่ยได้ที่หนึ่งจากทั้งประเทศอีกแล้ว ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะ! คนเก่งก็เป็นคนเก่งอยู่วันยันค่ำจริงๆ!”
“ฮ่าๆ ฉันบอกแล้วไง! รุ่นพี่ไป๋เยี่ยของพวกเราน่ะเป็นอัจฉริยะตัวจริง ใครว่ากามั่วกัน ลองมั่วให้ได้พันแปดร้อยคะแนนสิ!”
“ใช่ รุ่นพี่ไป๋เยี่ยเก่งมากเลย! ครั้งนี้ก็ได้ตั้งร้อยแปดสิบคะแนน”
“ใช่เลย! เห็นว่าที่สองยังได้แค่ร้อยหกสิบเอง ห่างตั้งยี่สิบคะแนน”
“ที่สองนี่ใช่หัวหน้าสวี่จงเหล่ยหรือเปล่า” สาวรุ่นน้องคนหนึ่งถามขึ้น
“ไม่ใช่ซะหน่อย! คือคนที่ชื่อจางจี๋เซียนต่างหาก เห็นว่าคนนี้เก่งมากเลยนะ เป็นหัวหน้าแผนกเรียบเรียงนิตยาสารประจำม.จิ้นซี หัวหน้าสวี่สอบได้แค่ร้อยยี่สิบคะแนนเอง ได้ที่แปดรอบมณฑล คาบเส้นสิบอันดับแรกเอง”
คนในมหาวิทยาลัยต่างพากันวิจารณ์ว่อน แต่ภายในห้องผอ.กำลังมีการประชุมประจำสัปดาห์ขึ้น ซึ่งบุคลากรระดับในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องเข้าร่วม
คนกว่าสามสิบคนอัดกันอยู่ภายในห้องทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก ผู้บริหารกว่าสิบแผนกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หูเฟิงอวิ๋นยืนขึ้นด้วยสีหน้าชื่นบานพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส
“ดีมาก! ดีมาก! ในที่สุดมหา’ลัยของเราก็มียอดอัจฉริยะสักที ต้องยกความดีความชอบให้หัวหน้าเหยียนแล้ว!” เสียงของหูเฟิงอวิ๋นสั่นเล็กน้อย
“อันดับหนึ่งของประเทศ! นานทีจะมีครั้ง! ไป๋เยี่ยนี่เป็นยอดอัจฉริยะจริงๆ! ขนาดเป็นแค่นักศึกษาป.ตรียังทำผลงานได้ดีขนาดนี้ มีอนาคตก้าวหน้าจริงๆ!” เลขาเองก็ปลาบปลื้มใจ
หูเฟิงอวิ๋นเอ่ยขึ้น “ดิฉันคิดว่าเราควรจะจัดงานมอบเหรียญเกียรติยศให้ไป๋เยี่ยเพื่อถือโอกาสสร้างความเชื่อมั่นให้กับบุคลากรในมหาวิทยาลัยของเรานะคะ ดิฉันเชื่อว่า ในเมื่อมีครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆ ไปไป๋เยี่ยจะต้องทำได้แน่นอน พอมีไป๋เยี่ยเป็นต้นแบบแล้ว ต่อไปมหาวิทยาลัยของเราจะต้องมีนักศึกษาเก่งๆ เยอะขึ้นมากแน่ๆ ค่ะ!”
คุณค่าของฮีโร่หรือไอดอลอยู่ที่ไหน
ก็อยู่ตรงนี้ไง!
“เห็นด้วยค่ะ”
“เห็นด้วยครับ”
….
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน หูเฟิงอวิ๋นก็ค่อยชื่นใจหน่อย