“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งพะยะค่ะ” หลงเซียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไรดี
“อยู่ต่อหน้าเราไม่ต้องมาทำอึกๆอักๆ”
“ไทเฮา น่ะ….ฮ่องเต้หญิง ทรงมีสัมผัสใกล้ชิดกับบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ตอนนี้ทั้งสองอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา หวานชื่นราวดั่งคู่สามีภรรยาที่พึ่งจะแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น”
หลงเซียวทูลจบ ก็รู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาท่วมศีรษะ
พอเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นสีพระพักตร์ของฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นเลวร้าย สองพระหัตถ์ภายใต้แขนฉลองพระองค์กำแน่นเสียจนเส้นพระโลหิตปูดโปนขึ้นมา
“ฝ่าบาท นี่เป็นข่าวสารที่องครักษ์ลับส่งกลับมา …..บางทีพวกเขาอาจจะตาฝาด มองผิดไป” หลงเซียวรีบกล่าวปลอบพระทัยไปอีกสองประโยค
ความปลอดภัยของเขาเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในตอนนี้!
“ฝ่าบาท หากว่าซูเยาผู้นั้นไม่รักษาคำพูด …..พวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องรักษาคำสัญญา หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยายังคงอยู่ในเมืองหลวง หากว่าไม่ได้ฝ่าบาททรงคุ้มครองเอาไว้แต่แรก สองผู้เฒ่านั่นก็คงจะ…..”
ฝ่าบาททรงทำพระองค์เป็นขวดแก้วเสียแล้ว มิว่าเรื่องใดๆก็เก็บเอาไว้กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
อะไรก็ไม่ยอมอธิบายออกไป เอาแต่แอบทำอย่างเงียบๆ
พูดตามตรง สุดท้ายแล้วนี่มิเท่ากับว่าเป็นการทำร้ายพระองค์เองหรอกหรือ?
ตอนนี้ละเป็นเรื่องแล้ว นี่มิเท่ากับว่าอยู่ดีๆก็ไปส่งเสริมซูเยาผู้นั้นหรอกรึ
นับตั้งแต่ที่เจ้าผู้นั้นไปอยู่กับฮ่องเต้หญิง ก็มีอิสระเสรีอย่างที่สุด ความสัมพันธ์ก็ใกล้ชิด แทบจะนอนด้วยกันอยู่แล้ว!
หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ……เกรงว่าอีกไม่กี่วันก็อาจจะนอนด้วยกันขึ้นมาก็ได้ละมั้ง?
พระหัตถ์ที่กำหมัดของฝ่าบาทมิได้คลายออก ดวงเนตรหงส์คู่นั้นเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา พระองค์หันไปจดจ้องหลงเซียว ตรัสว่า “เจ้าบอกมาสิว่าใครคือบุรุษที่งามที่สุดในแผ่นดินนี้?”
หลงเซียว “อ่า……ฝ่าบาท หากว่าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ พระองค์กับซูเยานั้นเป็นคนละประเภทกันนะพะยะค่ะ”
“เราถามเจ้า ว่าใครคือบุรุษที่งามที่สุดในแผ่นดิน?”
หลงเซียว “นั่นย่อมต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอนอยู่แล้วพะยะค่ะ! ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีบุรุษใดที่จะงดงามไปกว่าฝ่าบาทอีกแล้ว! ต่อให้มี ก็ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน!”
“ในเมื่อเราคือบุรุษที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ที่บอกว่าผูกพันใกล้ชิดแนบแน่นกับฮ่องเต้หญิง ย่อมไม่มีสิ่งใดผิด”
หลงเซียว “? ? ? “ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าฟังไม่เข้าใจว่าฝ่าบาททรงหมายความเช่นไร?
หลงเซียวยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “ไปหาซุนย่วนขอยาพอกมา”
หลงเซียวรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ดีละมั้ง?
ครั้งก่อนพอกไปรอบหนึ่ง ก็เกิดสิวขึ้นเต็มพระพักตร์ยังไม่เข็ดอีกหรืออย่างไร?
หลงเซียวคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าหากเป็นเรื่องของความงดงามฝ่าบาทนั้นยังพ่ายแพ้ให้กับซูเยาอยู่บ้างจึงจะถูก
………………..
เพียงไม่ถึงสองวัน ในวังก็มีข่าวลือออกมา ว่าซุนเชวี่ยย่วนสื่อแห่งสำนักหมอหลวงได้รับแต่งตั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องตกต่ำลงไปอีกครั้งแล้ว
ครั้งนี้ยังอนาถกว่าตอนเป็นเด็กต้มยาเสียอีก เพราะกลายเป็นหมอรักษาสัตว์ไปเสียแล้ว ทุกๆวันเป็นต้องไปขลุกอยู่ที่คอกม้า คอยสอดส่องดูแลบรรดาสัตว์ต่างๆในวังหลวง
ฟังว่าเป็นเพราะวิชาแพทย์ของเขามันไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถตรวจรักษาฉางซุนอิงได้?
ดูเอาสิ …..ฝ่าบาททรงหลงใหลสตรีผู้นั้นถึงขนาดนี้เลย?
วันนี้คนที่ถึงคราวรับเคราะห์ก็คือซุนย่วนซื่อ คนต่อไปที่จะต้องโชคร้ายไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพระองค์เองก็ได้?
หากว่าวันๆทรงเอาแต่หมกมุ่นอยู่อย่างนี้ต่อไป คนต้าโจวย่อมอดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงวันดีๆยามที่ไทเฮายังทรงอยู่
นี่เรียกว่าอะไรเล่า หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่รู้ว่าอะไรเจ็บกว่ากัน!
ไทเฮาน้อยอย่างมากก็แค่เปลือกนอกเอาแต่พระทัยอยู่บ้าง แต่แก่นแท้แล้วยังคงมีความเมตตาอยู่
นางได้ทำสิ่งใดเพื่อต้าโจวเอาไว้บ้าง?
ในงานเลี้ยงของราชสำนักนางสามารถเลือกไข่มุกได้ถูกต้อง ช่วยเหลือท่านหญิงน้อยที่ถูกลักพาตัวไปจากจวนองค์หญิงใหญ่ เสด็จไปค้นหาสมบัติร่วมกับฝ่าบาท ทั้งยังใช้ความเฉลียวฉลาดทำลายแผนกบฏของจวิ้นอ๋องเมืองกู่เย่ว
ไทเฮาน้อยมักจะทรงรับสั่งอยู่เสมอว่า ‘เราตั้งใจจะทำทุกสิ่งเพื่อต้าโจว’
ตอนนี้พอมาย้อนคิดดูแล้ว ทุกสิ่งที่นางได้ทำไว้ แต่ละเรื่องล้วนทำเพื่อแคว้นต้าโจวมิใช่หรือ?
ส่วนเรื่องที่เมื่อเร็วๆนี้นางชิงเอาแคว้นต้าเหยียนที่พึ่งตีได้ไปล่ะ……คงจะมีสาเหตุอื่นอีกกระมัง?
แล้วลองดูแม่นางฉางซุนผู้นั้นสิ …….ทำเรื่องอันใดไปบ้าง
ราชโอรสองค์โตที่คนทั้งแคว้นต่างตั้งตารอคอยถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว…..
ตอนนี้ในใจของชาวต้าโจวทั้งหลายต่างก็รู้สึกว่าเหมือนกับว่า ‘ก่อนหน้านี้บุตรชายในบ้านไปชื่นชอบหญิงสาวที่ออกจะนอกกรอบไปหน่อยผู้หนึ่ง แต่เหล่าผู้อาวุโสภายในบ้านต่างก็ไม่เห็นด้วย คราวนี้ละเป็นเรื่องแล้ว บุตรชายไปรับเอางูพิษกลับมา ทุกคนถึงได้ค่อยพากันนึกถึงความดีของหญิงสาวที่นอกกรอบไปบ้างผู้นั้น’
ในแคว้นต้าโจว ชื่อเสียงของแม่นางฉางซุนอิงยังย่ำแย่กว่าตู๋กูซิงหลันเมื่อตอนแรกๆอีกมากโข
ตอนนี้พวกเขาได้แต่เฝ้าหวังว่าเมื่อไหร่ฝ่าบาทจะทรงคิดได้เสียที แล้วไปคืนดีกับไทเฮาน้อย เมื่อสองคนดีกัน สองแคว้นจะได้มีสัมพันธ์อันดี จับมือกันครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้จึงจะเป็นหนทางที่ถูกที่ควร!
……………………………….
แคว้นเหยียน
เมื่อเข้าสู่ยามสนธยา สายลมยามค่ำในต้นฤดูสารทก็พัดเอาความชื้นจากทะเลมาด้วย กลีบบุปผาพลิ้วไปในอากาศจนทั่วทั้งเมือง
ในพระตำหนักหย่งหนิง ตอนนี้ยังคงจุดเทียนอยู่
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีหนังสือโบราณสูงเป็นตั้งๆ
นางอดหลับอดนอนจนสองตาแดงก่ำ ดวงตาปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด
ข่าวที่มนุษย์มัจฉาน้อยบอกมานั้นไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร…
มารดาแท้ๆของชือหลีเดิมเป็นองค์หญิงของเผ่ามังกรตะวันตก แต่เพราะการแต่งงานที่ผิดพลาดสุดท้ายจึงต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ
แม้แต่เผ่ามังกรตะวันตกเองก็พลอยตกต่ำไปเพราะเจ้ามังกรทรยศผู้นั้นไปด้วย
เป็นผลให้ชือหลีและชือฉิงสองสาวพี่น้องต้องถูกถอดกระดูกมังกรออก จนต้องไปอยู่ในโลกของมนุษย์ธรรมดา
พอกลับไปครั้งนี้ก็ยังต้องประสบเคราะห์กรรม เพราะบังเอิญเป็นช่วงที่รัชทายาทของเผ่ามังกรทมิฬที่อยู่ใต้ทะเลลึกไร้ก้นบึ้งจะเลือกคู่พอดี
มังกรบิดาตัวร้ายที่ใจดำอำมหิตจนผิดเพี้ยนผู้นั้นก็จับชือหลีส่งออกไปในทันที
แต่ละบ้านต่างก็มีเหตุแห่งความทุกข์ยากของตนเอง เผ่ามังกรตะวันตกเผ่านี้ก็มิได้อยู่นอกเหนือออกไป ยามใจดำขึ้นมาแม้แต่กับเลือดเนื้อเชื้อไขก็ยังไม่เหลือน้ำใจให้สักนิด
…………………………
นางย่อมต้องการไปช่วยเหลือชือหลี แต่ว่าไม่อาจไปอย่างบุ่มบ่ามได้
เดิมทีตัวนางเองก็มีโรคกลัวน้ำลึกที่หนักหนาอยู่แล้ว หากไม่เตรียมตัวให้พร้อม อย่าว่าแต่จะช่วยชือหลีเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงต้องมอดม้วยไปด้วย
“อาหลัน……” ซูเยา นำของว่างมื้อดึกเข้ามา “บอกให้เจ้าพักผ่อนเจ้าก็ยังไม่ยอมนอน ถ้าเช่นนั้นก็กินอะไรตุ๋นๆร้อนๆบำรุงร่างกายเสียหน่อยแล้วกัน”
เขาพูดพลางก็ตักขึ้นมาช้อนหนึ่ง ยกขึ้นมาถึงริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ จากนั้นก็ค่อยส่งเข้าปากของนาง
ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นอย่างคุ้ยเคย พอกลืนลงไปคำหนึ่งก็อบอุ่นไปถึงหัวใจ
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฝีมือการครัวของเจ้าจิ้งจอกน้อยจะดีถึงเพียงนี้
ขนาดแค่ของตุ๋นร้อนที่เรียบง่ายชามหนึ่งก็ยังตุ๋นได้อร่อยมาก
ซูเยาป้อนนางจนหมดชาม ค่อยเลื่อนตะเกียงมาที่ข้างหน้านางมากกว่าเดิม “แสงเทียนสลัวเกินไปทำร้ายดวงตาแล้ว”
เจ้าจิ้งจอกน้อยผู้นี้ช่างเป็นตัวอบอุ่นที่ทั้งน่ารักทั้งน่าหยิกจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันวางตำราโบราณในมือลง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาเบาๆ “เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอข้าหรอก”
คำพูดเหล่านี้ช่างทำให้คนฟังเข้าใจผิดโดยง่ายเสียจริงๆ
ราวกับว่าคนทั้งสองนอนบนเตียงหลังเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน ซูเยาก็ยิ้มง่ายอยู่เสมอ
เขาพยักหน้าหงึกๆ “ข้าจะอ่านเป็นเพื่อนเจ้า ค่อยนอนพร้อมเจ้า หากเจ้าไม่นอนข้าก็นอนไม่หลับหรอก”
ถึงแม้ว่าอาหลันจะยังไม่เคยนอนเตียงเดียวกันกับเขา
แต่ว่าตอนนี้เขาก็คือคนที่นางโปรดปรานมากที่สุดมิใช่หรือ?
ขอแค่ได้เฝ้าดูนางนอน แล้วตนเองค่อยหลับทีหลังก็พอใจมากแล้ว….นั่นเป็นความสุขที่บ่งบอกไม่ถูกเลย!
……………………………..
ตำหนักบรรทมของนางมีบานหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
ที่ด้านนอกหน้าต่าง ดวงตาหงส์คู่นั้นหรี่อยู่ครึ่งๆ รอบตัวล้วนมีแต่ความมืดมิด
เขามองดูอย่างใจจดใจจ่อ จึงไม่ทันสังเกตว่าที่ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งเดินมา
พอพระอังสาถูกคนผู้นั้นตบเบาๆ ฝ่าบาทถึงได้หันพระเศียรกลับไป จึงได้เห็นว่าเป็นบุรุษที่สวมใส่ชุดหลวมๆรุ่ยร่ายผู้หนึ่งยื่นศีรษะเข้ามามองดูพระองค์
“สหายผู้นี้ เจ้าคงเป็นคนใหม่ที่พึ่งจะเข้าวังมาสินะ?”
………………………………….
ตอนต่อไป “ฝึกฝนฝ่าบาทให้ได้เป็นคนโปรด”
ไรท์ : แค่ชื่อตอนก็บอกแล้วว่า หากคิดจะชิงกับซูเยา งานนี้ฉวนฉวน คงต้องทำการบ้านหนักหน่อยนะ