ตอนที่ 56 เริ่มภารกิจลูกโซ่
คำพูดของจางฮั่นหลิงทำให้ไป๋เยี่ยตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง โครงงานมูลค่ายี่สิบล้านนั้นมีน้อยมาก หากโครงงานไหนเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ก็จะได้รับรางวัลการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
คิดแล้วไป๋เยี่ยก็รู้สึกอิจฉาเล็กๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจางฮั่นหลิงถึงได้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตผู้อำนวยการ แค่มีโครงงานมูลค่ายี่สิบล้านหยวนของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติคอยหนุนอยู่ ก็ทำให้เขากลายเป็นบุคคลมากความสามารถแล้ว
เดิมทีผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็เคยเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสองเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันเขาก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในแวดวงวิทยาศาสตร์และการวิจัยแห่งมณฑลจิ้นซีแล้ว
จางฮั่นหลิงพูดต่อ “โคงงานของผมมีปัญหา คำนวณสถิติต่อไปไม่ได้ก็สรุปไม่ได้เช่นกัน”
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนในหัว
[ติ๊ง! เริ่มภารกิจลูกโซ่: ภารกิจแรก: ความสับสนของจางฮั่นหลิง เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ: ช่วยจางฮั่นหลิงค้นหาจุดที่มีปัญหาในโครงงาน
รางวัลสำเร็จภารกิจ: 1. แต้มสมาชิก 20 แต้ม 2. โอกาสจับรางวัล 2 ดาว]
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง ภารกิจลูกโซ่งั้นเหรอ แสดงว่าจะมีภารกิจตามมาหลังภารกิจนี้อีกใช่ไหม
จางฮั่นหลิงถอนหายใจ “แน่นอน โครงงานชิ้นใหญ่ขนาดนี้คงจะทำไม่เสร็จเร็วๆ นี้หรอก สิ่งที่พวกผมกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในธีสิสสรุปเท่านั้น ผมคิดว่าบทความนี้เป็นบทความที่น่าสนใจมาก ถ้าได้ตีพิมพ์ออกไปมันจะต้องเป็นธีสิสที่ดีมากๆ เล่มหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะว่าหัวข้อนี้เป็นทิศทางใหม่ของการวิจัย”
ไป๋เยี่ยเข้าใจแล้ว ที่แท้โครงงานนี้ก็เป็นโครงงานย่อยๆ ในโครงงานใหญ่ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาตินี่เอง เขาคิดดูดีๆ ก่อนจะตัดสินใจกดรับภารกิจ
จากนั้นไป๋เยี่ยก็เปิดอ่านสถิติอย่างละเอียด โดยที่จางฮั่นหลิงก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนเขาแต่อย่างใด แถมยังลุกไปรินน้ำให้ไป๋เยี่ยด้วยตนเองอีก
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ไป๋เยี่ยก็เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจออกมา
จางฮั่นหลิงเห็นดังนั้นก็คิดในใจ แม้แต่ไป๋เยี่ยก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ
เขาไปหาเพื่อนในแวดวงมาแทบทุกคนเพื่อเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ก็ไม่มีใครทำได้เลย เพราะว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติส่วนใหญ่นั้นอยู่ต่างประเทศเกือบหมด อีกอย่าง เวชสถิติยังเป็นเพียงสาขายิบย่อยของวิชาสถิติเท่านั้น ไม่ใช่แค่ต้องมีความรู้เชิงสถิติที่ลึกพอสมควร แต่ก็ต้องมีความเข้าใจในศาสตร์การแพทย์ขั้นสูงอีกด้วย
เพราะเหตุนี้จางฮั่นหลิงจึงมาหาไป๋เยี่ย อันที่จริงเขาแค่คิดจะลองดูอีกสักตั้งเท่านั้น แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็อดคาดหวังไม่ได้
ไป๋เยี่ยพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง “ผมจะลองดู ขอเวลาสองวันครับ”
จางฮั่นหลิงที่กำลังสิ้นหวังก็พลอยมีความหวังขึ้นมาบ้าง “ดีเลย! ผมจะรอคุณนะ ถ้าคุณวิเคราะห์มันออกมาได้ ผมจะเขียนชื่อคุณเป็นผู้เขียนด้วย!”
ไป๋เยี่ยรู้สึกดีใจมากที่จะได้เป็นหนึ่งในผู้เขียน นี่ถือเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ระดับสูง ยิ่งมีจางฮั่นหลิงเป็นผู้มีส่วนร่วมด้วยก็ยิ่งสร้างอิทธิพลได้มากขึ้น คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็ตกลงรับงานนี้มาโดยไม่ลังเล
จางฮั่นหลิงยื่นแฟลชไดร์ฟให้ไป๋เยี่ย ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกตะลึงและประหลาดใจในคราวเดียวกัน เพราะว่าในแฟลชไดร์ฟมีทั้งสถิติการทดลองทั้งหมด ดัชนีทุกตัว และขั้นตอนการวิจัยทั้งหมด
จางฮั่นหลิงเชื่อใจเขามากขนาดนั้นเลยหรือ
เมื่อจางฮั่นหลิงเห็นท่าทีของไป๋เยี่ยก็หัวเราะออกมาพลางยื่นมือไปตบบ่าไป๋เยี่ย “เสี่ยวเยี่ย ผมเชื่อว่าอนาคตของคุณคงไม่ไกลเพียงแค่ท้องฟ้าผืนนี้หรอก แน่นอน นี่อาจจะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ระดับสูงก็ได้ อีกอย่างการทดลองในนี้ก็ล้วนมีคุณค่าทั้งนั้น แต่เมื่อเทียบกับคุณแล้ว มันก็ไม่มีค่ามากไปกว่าตัวคุณหรอก สบายใจเถอะ ผมเชื่อในตัวคุณนะ”
ความเชื่อใจที่มีต่อไป๋เยี่ยของจางฮั่นหลิงนั้นมีมากจนไม่ต้องกล่าวออกมา เขาได้แต่พยักหน้าและลุกเดินออกไปจากห้อง สวี่เหยียนเองก็อยากตามไปด้วย ทว่าเธอกลับถูกจางฮั่นหลิงมอบหมายให้ไปที่ห้องแล็บแทน
สวี่เหยียนเห็นไป๋เยี่ยเดินออกไปก็เบ้ปากลง “อาจารย์ ทำไมไม่ปล่อยหนูไปบ้าง”
จางฮั่นหลิงมองสวี่เหยียนด้วยความเอ็นดู “เสี่ยวเหยียน วันนี้ผมนัดเพื่อนของผมมาที่นี่ เขามีลูกชายอายุยี่สิบเจ็ด จบบริหารจากอเมริกา ตอนเที่ยงก็ไปทำความรู้จักเขาสักหน่อยสิ”
สวี่เหยียนหันหน้าหนี “ไม่เอา หนูไม่อยากไป”
จางฮั่นหลิงยิ้ม “อย่าดื้อ ไปเก็บข้าวของซะ เดี๋ยวพวกเราจะออกไปกันแล้ว”
สวี่เหยียนถอนหายใจพลางมองไป๋เยี่ยที่กำลังเดินออกไปช้าๆ ผ่านหน้าต่าง
จางฮั่นหลิงเข้าใจความรู้สึกของสวี่เหยียนดี ทว่า คนบางคนก็ถูกกำหนดให้มาพบพานกันเท่านั้น ไม่อาจเคียงข้างกันได้ตลอดไป
จางฮั่นหลิงคิดว่าหากชีวิตคนเราเดินเป็นเส้นตรง ทั้งไป๋เยี่ยและสวี่เหยียนก็อาจจะมีจุดตัดกันเพียงแค่จุดเดียวก็ได้
ทว่าชีวิตของเรานั้นไม่ได้มีเพียงเส้นตรง บางทีก็อาจจะเป็นเส้นหมี่ หรือเส้นด้ายก็ได้
หลังจากที่ไป๋เยี่ยกลับไปถึงห้อง เขาก็เปลี่ยนไปใส่ชุดสูทสุดเท่และออกไปพบกับสวี่จงเหล่ย จากนั้นก็นั่งรถไปที่สภาประชาชนด้วยกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เยี่ยได้มาที่หน่วยงานระดับสูงของรัฐบาล เขามองธงชาติที่กำลังปลิวไสวด้วยความเคารพ
ด้านหน้าทางเข้ามีตำรวจติดอาวุธยืนอยู่ ขณะที่ทั้งคู่กำลังลงจากรถมาอธิบายนั้น จู่ๆ ราวกั้นก็ถูกยกขึ้นโดยมีตำรวจทั้งสองด้านโค้งคำนับให้
สวี่จงเหล่ยจึงหันไปพูดกับไป๋เยี่ย “ผอ.หูเป็นรองผอ.ของสภาประชาชนน่ะ รถที่พวกเราขับอยู่ก็เป็นรถของผอ.หู”
ไป๋เยี่ยได้ฟังก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด รองผู้อำนวยการสภาประชาชน! ไม่น่าเชื่อว่าผู้อำนวยการหูจะพ่วงตำแหน่งนี้อีกหนึ่งตำแหน่งด้วย
เรื่องทั้งหมดได้รับคำอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว
ทั้งคู่ขับรถมาจอดที่ด้านหลังอาคารแล้วเดินเข้าไปในโถงจัดงานพร้อมกัน เมื่อเข้าไปก็พบว่าคนรู้จักหลายคนมาถึงที่นี่กันแล้ว
อย่างเช่นจางจี๋เซียนผู้ยังคงท่าทีนอบน้อมไว้ดั่งเคย เขานั่งเงียบไม่พูดไม่จาพร้อมกับอ่านหนังสือ ‘อีหลินก่ายชั่ว’[1] ในมืออย่างเพลิดเพลิน
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปทักทายพลางส่งยิ้มให้ “‘อีหลินก่ายชั่ว’ ยิ่งแก้ก็ยิ่งมั่ว แต่จะว่าไปข้างในนั้นก็มีเนื้อหามากมายที่ควรค่าแก่การศึกษา”
จางจี๋เซียนพยักหน้า “ใช่แล้ว หนังสือแต่ละเล่มล้วนเป็นจิตวิญญาณที่สืบทอดต่อกันมาจากปรมาจารย์ในแต่ละยุคสมัย การจะอ่านให้เข้าใจนั้นง่าย แต่การจะเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดโรคนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทว่าจู่ๆ ก็มีชายศีรษะโล้นอายุราวๆ ห้าสิบปีเดินเข้ามาทักไป๋เยี่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณคือไป๋เยี่ยสินะ อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ จะเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ มานี่พ่อหนุ่ม มาคลำชีพจรให้ฉันหน่อยสิ”
ทว่าไป๋เยี่ยกลับส่ายหน้า “คุณลุงครับ ถ้ากำลังมองหาคนช่วยคลำชีพจรอยู่ ผมว่าลุงน่าจะมาหาผิดคนนะครับ ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย ยังไม่เคยสอบใบประกอบวิชาชีพเลยครับ”
ชายวัยกลางคนชะงัก “คุณไม่ใช่แชมป์การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนหรอกเหรอ แค่คลำชีพจรก็ทำไม่เป็นเรอะ”
ไป๋เยี่ยส่ายหน้าอีกครั้ง “ทำเป็นครับ แต่วิชาแพทย์เป็นวิชาทางคลินิกและยังเป็นวิชาที่ต้องนำความรู้มาปฏิบัติจริง จะอาศัยเพียงความรู้จากในหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ครับ ตอนนี้ผมคงเป็นได้แค่นักศึกษาดีเด่นคนหนึ่งเท่านั้นครับ ผมยังไม่ใช่หมอที่ดีคนหนึ่ง”
ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ไป๋เยี่ยจึงหันหลังกลับไปมอง แล้วก็ได้พบกับบุคคลคุ้นเคยคนหนึ่ง จางจี๋เซียนกล่าวทักทายบุคคลผู้นั้นด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับผอ.เซียว ไป๋เยี่ย ท่านนี้คือ ผอ.เซียว เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลของเรา”
ไป๋เยี่ยเคยฝึกงานกับทางมณฑลมาก่อน ดังนั้นเขาจึงพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของผู้อำนวยการเซียวมาบ้าง เขาคือแพทย์แผนจีนผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศ ‘เซียวฮั่นซี’
[1] อีหลินก่ายชั่ว เป็นคัมภีร์แพทย์แผนจีนในยุคราชวงศ์ชิงซึ่งกล่าวถึงเลือดเป็นหลัก