ตอนที่ 95 เป็นครูครั้งแรก
หอประชุมของมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่มีไว้จัดงานใหญ่ๆ เช่น พิธีต้อนรับปีการศึกษาใหม่ งานเฉลิมฉลองวันครบรอบของมหาวิทยาลัย พิธีสำเร็จการศึกษา การกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำ ฯลฯ หอประชุมมีทั้งหมดสองชั้น จุคนได้ราวๆ สองสามพันคน
ไป๋เยี่ยมองเหล่านักศึกษาที่นั่งกันแน่นขนัดพลันรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย ความรู้สึกของการพูดอะไรจริงจังต่อหน้าสาธารณะมันเป็นยังไงกันนะ
บนเวทีมีโพเดียมอยู่หนึ่งแท่น อันที่จริงเมื่อก่อนจะมีที่นั่งสำหรับบุคลากรตำแหน่งสูงๆ หลายที่ด้วย แต่ปัจจุบันก็เหลือแค่โพเดียมแท่นเดียวเท่านั้น
นี่…คือการต้อนรับยอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนอย่างทรงเกียรติ!
ไป๋เยี่ยยืนอยู่หลังเวที เขามองผู้ฟังแถวแรกด้วยหัวใจที่เต้นระรัว!
เรามาทำอะไรที่นี่…
นี่มันอะไรกัน
ทั้งยอดปรมาจารย์อย่างหลีว์จิ่งเทียนกับหวังซื่อหมิน
ไหนจะแพทย์ชื่อดังระดับประเทศ เซียวฮั่นซี
คณบดีจากสาขาต่างๆ และอาจารย์…
ดวงตาของไป๋เยี่ยเบิกกว้าง เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเลย…
นี่เรา…กำลังสอนจระเข้ว่ายน้ำอยู่หรือเปล่า
ทำไมเราถึงตอบรับคำขอนั้นกันนะ จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็รู้สึกเสียใจ
เราต้องเป็นคนชี้ทางสว่างให้กับเด็กๆ พวกนี้ต่อหน้ายอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนสินะ ไป๋เยี่ยกระตุกยิ้มเมื่อลองนึกถึงสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้…
คงไม่ออกมาแย่ขนาดนั้นหรอกเนอะ
วันนี้หูเฟิงอวิ๋นมาในฐานะสปอนเซอร์และพิธีกร เธอเดินขึ้นเวทีและกล่าวสุนทรพจน์เพื่อเปิดงานกับทุกคน “ทุกคนโปรดต้อนรับรุ่นพี่ไป๋เยี่ยอย่างอบอุ่นด้วยเสียงปรบมือ! ยินดีต้อนรับไป๋เยี่ย”
ไป๋เยี่ยเดินขึ้นไปบนเวทีช้าๆ เขายืนมองผู้คนที่นั่งปรบมือด้วยสีหน้าอันตื้นตันจากด้านบน จู่ๆ ก็มีความรู้สึกขลังแล่นเข้ามาในใจของเขา
เขาหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วจึงโค้งคำนับทุกคน
ไป๋เยี่ยส่งเสียงชู่ว์เบาๆ เพื่อบ่งบอกให้เงียบ
ทันใดนั้นทั้งหอประชุมก็เงียบลง!
ไป๋เยี่ยยืนนิ่งไม่พูดอะไรอยู่กับที่ ทว่าผู้คนด้านล่างเวทีกลับเริ่มหันไปพูดคุยกันจนเสียงกลับมาดังอีกครั้งหนึ่ง
ไป๋เยี่ยจึงพูดขึ้นทันที “เอาละ! ไหนทุกคนลองตอบผมมาซิว่าการแพทย์แผนจีนคืออะไร!”
ทุกคนชะงักไปและพากันเงียบเสียงลงทันที
ไป๋เยี่ยยิ้ม “นี่แหละหยินหยาง! ความเงียบคือหยิน ส่วนเสียงที่ดังอึกทึกคือหยาง ทั้งสองคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน หยินและหยางเปลี่ยนแปลงและรวมเข้าด้วยกันได้ นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างหยินและหยาง ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของการแพทย์แผนจีน!”
ตอนแรกหลีว์จิ่งเทียนและคนอื่นๆ รู้สึกกังวลเล็กน้อยที่หูเฟิงอวิ๋นมอบหมายให้ไป๋เยี่ยขึ้นไปบรรยาย ถึงอย่างไรไป๋เยี่ยก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง พวกเขาจึงกังวลว่าไป๋เยี่ยอาจจะคุมสถานการณ์ไม่ได้ ทว่าทันทีที่ไป๋เยี่ยเอ่ยปาก ทุกคนกลับต้องตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้างไปตามๆ กัน นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่แปลกใหม่มาก
ไป๋เยี่ยพูดต่อ “แต่ถึงกระนั้น หยินหยางก็ไม่มีอยู่จริง!”
ผู้คนด้านล่างพากันตื่นเต้น ทำไมล่ะ
“หยินหยางเป็นหนทางแห่งสวรรค์และโลก เป็นกฎเกณฑ์ของทุกสรรพสิ่ง เป็นหลักแห่งการแปรเปลี่ยน เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตและความตาย และเป็นบ้านของบรรดาทวยเทพ การรักษาโรคจะต้องดำรงอยู่บนรากฐานนี้!”
“หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าหยินหยางไม่มีอยู่จริงและไม่ปรากฏอยู่ที่ไหน เพราะว่ามันเป็นแค่คำจำกัดความเท่านั้น! เป็นคำจำกัดความของความสัมพันธ์ กฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง และเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด!”
ไป๋เยี่ยกล่าวบางอย่างที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงออกมา!
“หยินหยางไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เรากำหนดขึ้นเองซึ่งมองเห็นหรือสัมผัสไม่ได้ แต่ทำความเข้าใจได้ เช่นเดียวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ พวกมันไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์! ซึ่งนี่ก็คือรากฐานของการแพทย์แผนจีน!”
“ศาสตร์วิชาแขนงต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้ หากไม่มีแนวคิดที่เป็นแกนหลัก ศาสตร์นั้นๆ ก็จะพัฒนาหรือสืบทอดต่อไปไม่ได้”
“พวกคุณจะต้องบอกว่าฟิสิกส์มีอยู่จริงแน่นอน นิวตันก็แค่ค้นพบกฎเท่านั้น ใช้แล้ว! คุณพูดถูก! เช่นนั้นกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสรีรวิทยาและพยาธิวิทยาของมนุษย์ก็มีอยู่จริงเหมือนกัน การแพทย์แผนจีนก็แค่สรุปกฎเหล่านี้ไว้ด้วยกันเท่านั้น!”
“ดังนั้น โปรดอย่าไปฟังคนที่บอกว่าการแพทย์แผนจีนเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องอุดมคตินิยม หรือเรื่องต้มตุ๋นเด็ดขาด!”
“ผิด! พูดแบบนี้ผิดมากนะ! การแพทย์แผนจีนเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่กล่าวถึงวัตถุนิยมธรรมดา และวิทยาศาสตร์การทดลอง การปฏิบัติจริงเป็นเพียงเกณฑ์การทดลองเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าการแพทย์แผนจีนอิงความจริงนะ เพราะเดิมทีบนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงโดยแท้อยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น ซึ่งพวกเราใช้ความจริงที่ได้จากการคาดคะเนนี้มาอธิบายเรื่องสสารและปรากฏการณ์ต่างๆ”
“การแพทย์แผนจีนพัฒนาขึ้นมาได้นับหลายยุคหลายสมัยโดยอิงตามการเกิดโรคภัยต่างๆ ทั้งวิจัย สร้างแนวคิด และทำการทดลองอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์และเป็นระบบแขนงหนึ่ง!”
“ทำไมถึงบอกว่าการแพทย์แผนจีนเป็นระบบน่ะหรือ เพราะว่าศาสตร์นี้ใช้ทฤษฎีของตัวเองอธิบายทุกอย่างตั้งแต่การป้องกันโรค สาเหตุการเกิดโรค การเกิดโรค การพัฒนาของโรค การรักษาโรค และการคาดเดาโรค”
“นอกจากนี้ เรายังมีการวินิจฉัย ยาแผนจีน ใบสั่งยา การฝังเข็ม ฯลฯ ที่เราใช้ในการวินิฉัยและรักษาโรคอีกด้วยไม่ใช่หรือ”
“เพียงแต่ว่าการแพทย์แผนจีนได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในขณะนั้น ทำให้ไม่สามารถทำการค้นคว้าเชิงลึกต่อไปได้!”
“แต่ในวันนี้สิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนไปแล้ว วิทยาศาสตร์และการแพทย์แผนปัจจุบันก็พัฒนาขึ้นมาก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบุคลากรด้านการแพทย์แผนจีนสมัยใหม่ สิ่งที่เราต้องทำไม่ได้มีเพียงแค่ท่องจำตำราโบราณหรือศึกษาวิทยาการสมัยโบราณแต่อย่างใด ยังมีอีกหลายอย่างที่พวกเราต้องทำ!”
“เราต้องศึกษาการแพทย์สมัยใหม่และศาสตร์ต่างๆ ให้ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา พยาธิวิทยา ชีวเคมี ฯลฯ เพราะศาสตร์เหล่านี้คือกุญแจสู่คลังสมบัติแห่งการแพทย์แผนจีน!”
“แน่นอนว่าที่ผมพูดอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นของตัวเองไปบ้าง ถ้าคิดว่ามันสมเหตุสมผลก็โปรดรับฟังไว้ ถ้าไม่สมเหตุสมผลก็มองว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขันไป ต่อไปผมจะเล่าเรื่องการแพทย์แผนจีนให้ฟังครับ”
ไป๋เยี่ยพูดจบก็หยุดนิดหนึ่ง เตรียมพร้อมสำหรับการบรรยายในวันนี้ต่อไป
เวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วโมง ไป๋เยี่ยก็หยุดบรรยาย
“พวกคุณส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่น่าจะเป็นนักศึกษาใหม่ ในฐานะรุ่นพี่ของพวกคุณ ผมอยากจะบอกพวกคุณว่าทุกอย่างที่พวกคุณตั้งใจทำคืออนาคตอันสดใส ความรู้ที่คุณเพียรศึกษาย่อมไม่มีที่สิ้นสุด โปรดเชื่อมั่นในตนเอง และอนาคตของคุณจะต้องออกมายอดเยี่ยมอย่างแน่นอน!”
การบรรยายกินเวลานานถึงสามชั่วโมง ไป๋เยี่ยไม่ได้ถือสคริปต์ ก้มหน้า ดื่มน้ำ หรือพักผ่อนเลย
เขาบรรยายเนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบด้วยน้ำเสียงไพเราะอันเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบรรดานักศึกษาใหม่ได้ฟังการบรรยายก็พลอยเข้าใจถึงแก่นแท้ของการแพทย์แผนจีนที่เดิมทีเป็นเรื่องคลุมเครือมากขึ้นด้วย
การบรรยายสามชั่วโมงนั้นไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่ได้อธิบายเรื่องลมปราณ เลือด หยินหยาง และเส้นลมปราณให้พวกเขาฟังอย่างละเอียดนัก
แต่คลาสในวันนี้กลับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับว่าถูกพาเข้าไปในตำหนักแพทย์แผนจีนก็มิปาน
ให้พวกเขาได้วาดแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนไว้ในหัว!
นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก! ทุกคนต่างดื่มด่ำไปกับการบรรยายของไป๋เยี่ยจนไม่รู้ตัวว่าการบรรยายได้จบลงแล้ว
หลีว์จิ่งเทียน หวังซื่อหมิน หูเฟิงอวิ๋น และเซียวฮั่นซีต่างมองไป๋เยี่ยที่ยืนอยู่บนเวที ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
การบรรยายเรื่องแพทย์แผนจีนในวันนี้แตกต่างออกไปจากเดิม มันน่าสนใจมาก ทั้งที่เป็นการบรรยายอย่างเรียบง่ายแต่ก็ยังบรรยายออกมาได้ตรงประเด็น
จะว่าอย่างไรดีล่ะ
ไป๋เยี่ยใช้วิธีการพูดที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา น่าสนใจ ทำให้ผู้คนยอมรับและนำพาพวกเขามุ่งหน้าเข้าสู่ประตูแห่งโลกของการแพทย์แผนจีนที่แต่เดิมนั้นเข้าใจยาก และทำให้พวกเขาบรรลุได้ในที่สุด!
บุคลากรระดับปรมาจารย์อย่างหลีว์จิ่งเทียนมีระดับสูงกว่าไป๋เยี่ยมาก ทว่าสิ่งที่พวกเขาพูดอาจจะยากเกินไปสำหรับเหล่านักศึกษาใหม่พวกนี้
หลีว์จิ่งเทียนยิ้มและพยักหน้าให้ไป๋เยี่ย ทั้งยังเป็นคนแรกที่ปรบมือให้ไป๋เยี่ย เขาทำได้ดีจริงๆ บางทีความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนอาจจะพัฒนาไปได้รวดเร็วและไกลมากยิ่งขึ้นหากถูกสืบทอดต่อไปได้แบบนี้!
ทุกคนในหอประชุมต่างพากันปรบมือเสียงดังระงมไปทั้งหอประชุมให้กับไป๋เยี่ยด้วยความจริงใจ!