ตอนที่ 136 หลีว์เฟิ่งเซียน
ไป๋เยี่ยใช้เวลาสองวันไปกับการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการแยกและสกัดสาร
เพื่อความปลอดภัย เขาจึงจดมันลงไปในสมุดบันทึกแทน
นี่ถือเป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ด้วย
ไป๋เยี่ยยังคงสงสัยว่าทำไมเลเวลทักษะ ‘การแยกและสกัดสาร’ ของเขาถึงไม่มีความคืบหน้าเลย
แปลกๆ
การค้นคว้าก็ไม่ทำให้เลเวลเพิ่มได้เหรอเนี่ย
ไป๋เยี่ยจึงได้แต่ปรึกษากับระบบ
[ทักษะด้านงานวิจัยและทักษะทางคลินิกเป็นทักษะเชิงปฏิบัติ การค้นคว้าจะเพิ่มค่าประสบการณ์ได้เพียง 50% เท่านั้น ส่วนอีก 50% นั้นจะต้องได้รับจากช่องทางอื่น]
ไป๋เยี่ยถึงกับชะงัก!
มีแบบนี้ด้วยเหรอ
แต่พอคิดดูดีๆ มันก็สมเหตุสมผล สุดท้ายแล้วต่อให้เรียนทฤษฎีไปมากแค่ไหน หากไม่นำไปลองฝึกจริงๆ ก็คงพัฒนาตนเองไม่ได้
เขามองที่ [การแยกและสกัดสาร] lv 0: 500/1000
ไป๋เยี่ยได้แต่ปิดโน้ตบุ๊กของเขาลง ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เขารู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย
ต่อไปเราจะต้องฝึกทักษะภาคปฏิบัติให้มากกว่านี้แล้ว!
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เราเอาแต่วิเคราะห์ข้อมูลจนไม่ได้ดูเวลาเลย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันจะต้องเกิดปัญหาแน่ๆ
ต่อไปเราต้องพยายามหาวิธีแล้วแหละ เวลาออกกำลังกายไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะมีกล้ามเนื้อสักกี่มัด ขอแค่อย่างน้อยได้ขยับร่างกายก็พอ
คลาสวิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นกัน หนึ่งในวิชาบังคับในช่วงปีหนึ่งก็คือ มวยไทเก๊ก และ ปาต้วนจิ่น[1]
จะมีการสอบสองวิชานี้ในช่วงปลายปี ตอนแรกไป๋เยี่ยมองว่ามันลึกลับมากๆ จึงตั้งใจศึกษาเป็นพิเศษ
ตอนนั้นทางสถาบันได้เชิญผู้สืบทอดมวยไทเก๊กจากตระกูลเฉินมาให้ความรู้เป็นการส่วนตัวด้วย
และพอขึ้นปีสอง เขาก็ได้เรียนกีฬาอื่นๆ เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน จึงยังต้องเรียนรู้การออกกำลังกายแบบดั้งเดิมด้วย ไม่ว่าจะเป็น มวยฉางเฉวียน[2] มวยไทเก๊ก ปาต้วนจิ่น และ อู่ฉินซี่[3]
ไป๋เยี่ยไม่ได้คิดจะค้นคว้าเรื่องนี้ในตอนแรก แต่ไปๆ มาๆ ตอนนี้เขาก็กำลังคิดจะทำ
ถ้านำความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์กับสรีรวิทยามาผสมผสานกับความรู้เรื่องเส้นลมปราณในการแพทย์แผนจีน เราจะเจาะลึกหัวข้อนี้ได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ
ต้องลองดูซะแล้วว่ามันจะเป็นยังไง!
วันอาทิตย์ ไป๋เยี่ยนั่งรถไฟไปที่เมืองหลวง
ช่วงนี้เขาเสียเงินเป็นหมื่นไปกับการเดินทางระหว่างไห่ซื่อ เมืองหลวง และจิ้นซี ถ้าเขาไม่มีรายได้เลย ค่าใช้จ่ายก็คงจะเข้าเนื้ออยู่พอตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าสมาชิกที่เขาต้องจ่ายเดือนละสามหมื่นหยวนเลย
เมื่อมาถึงเมืองหลวง เขาก็นั่งรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อทันที ค่าแท็กซี่ในเมืองหลวงก็แพงใช่ย่อยจริงๆ
เย็นวันนั้น เขาก็ได้พบกับรุ่นพี่ ‘หลีว์เฟิ่งเซียน’ ตามที่นัดกันไว้
ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของไป๋เยี่ย ผู้ชายคนนี้…เล่นบาสเกตบอลใช่ไหม
ไป๋เยี่ยรู้สึกกดดันเมื่อเงยหน้าขึ้นมองชายรูปร่างกำยำที่น่าจะสูงเกือบๆ สองเมตร อีกทั้งยังมีใบหน้าคมเข้มด้วย…
เขาได้ยินเสียงทักทายจากอีกฝ่าย “คุณคือไป๋เยี่ยใช่ไหม”
เสียของเขาก็ฟังดูเข้ากับรูปร่างดีนี่นา!
ไป๋เยี่ยมองรุ่นพี่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์พลางคิดว่าเขาคือผลสำเร็จแห่งการถ่ายถอดพันธุกรรม
ทั้งหัวดี แข็งแรง ตัวสูง พลังงานล้น!
“สวัสดีพี่ชาย! ฝากตัวด้วยครับ!”
หลีว์เฟิ่งเซียนจับมือไป๋เยี่ย “พูดได้ดี! เข้าไปสั่งอาหารกันเถอะ เจอกันครั้งแรกพี่เลี้ยงเอง”
“ขอบคุณครับ ต่อไปผมจะต้องดูแลพี่บ้างแล้ว คงปล่อยให้พี่เลี้ยงผมเป็นน้องชายต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอก!” ไป๋เยี่ยยิ้ม
ที่นี่เป็นร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์และราคาไม่แพงนัก
ไม่ว่าหลีว์เฟิ่งเซียนจะไปที่ไหน เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง เขาสูงและดูแข็งแรงมากจนใครๆ ก็คิดว่าเขาเป็นนักกีฬา
หลีว์เฟิ่งเซียนอ่านเมนูพร้อมกับถอนหายใจ “มาๆ สั่งอาหารกัน กินเยอะๆ หน่อย ดูสิว่านายผอมขนาดไหนน่ะ!”
ไป๋เยี่ยยิ้ม อันที่จริงเขาไม่ได้ผอมเลย เพียงแค่ว่าหลีว์เฟิ่งเซียนตัวสูงเกินไป เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับตอบไปว่าตนไม่ใช่คนเลือกกินสักเท่าไหร่ แล้วจึงสั่งมันฝรั่งหม้อดินมาหนึ่งจาน
ในขณะที่หลีว์เฟิ่งเซียนสั่งอาหารไปราวๆ หกอย่าง ไป๋เยี่ยเห็นดังนั้นก็ผวาและรีบห้ามเขาไว้ “พอแล้วพี่! พอได้แล้ว! ผมกินไม่ไหวหรอก…”
หลีว์เฟิ่งเซียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ “โอเคๆ งั้นก็เอาแค่นี้ก่อน…ข้าวอีกสองโถแล้วกัน”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ไป๋เยี่ยต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอาหารตรงหน้านั้นหมดเกลี้ยง…เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองหลีว์เฟิ่งเซียน
ของแบบนี้มันต้องฝึกกันมา!
นี่มันยอดมนุษย์ชัดๆ!
หลังจากที่ทั้งสองจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไป หลีว์เฟิ่งเซียนก็ถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ “รู้งี้น่าจะพาไปกินบุฟเฟ่ต์”
ไป๋เยี่ยชะงัก…จู่ๆ ก็มีภาพบางอย่างผุดเข้ามาในหัวของเขา เขาจึงได้แต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “คราวหน้าไว้ผมเลี้ยงบุฟเฟ่ต์นะ!”
เมื่อพวกเขากลับมาถึงโรงแรมก็นั่งคุยกันอีกพักใหญ่
หลีว์เฟิ่งเซียนเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง ตอนแรกเขามีโอกาสได้เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิม แต่ท้ายที่สุดกลับถูกคัดออก!
กำหนดการสอบปริญญาเอกนั้นค่อนข้างเร็ว โดยปกติแล้วจะอยู่ประมาณช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เขาไม่มีโอกาสได้สอบปริญญาเอกแล้ว แถมยังหมดโอกาสทำงานด้วย…
เขาจึงเตรียมตัวกลับบ้านเกิดหลังจากเรียนจบด้วยความสิ้นหวัง
เขาอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปไม่ได้แล้ว จนกระทั่งเห็นประกาศรับสมัครของหลิวป๋อหลี่
หลีว์เฟิ่งเซียนเป็นคนมีความสามารถ เขาตีพิมพ์บทความมากมายและเข้าร่วมโครงการต่างๆ ในช่วงก่อนเรียนจบ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยหรอก
ครั้งนี้เขาจึงผ่านการรับสมัครเข้าเรียนต่อของหลิวป๋อหลี่!
ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ อย่างไรเสียหลิวป๋อหลี่ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ว่ากันตามตรง ถ้าคุณอยู่กับหลิวป๋อหลี่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหางานทำหลังเรียนจบเลย!
นี่แหละความอดทนของหลีว์เฟิ่งเซียน!
หลีว์เฟิ่งเซียนมีบุคลิกตรงไปตรงมาและค่อนข้างคิดน้อย เขาพูดคุยกับไป๋เยี่ยเกือบทั้งคืนจนผล็อยหลับไปในห้องของไป๋เยี่ย
โชคดีที่ไป๋เยี่ยจองห้องธรรมดาไว้ ไม่งั้นเขาคงต้องนอนเตียงเดียวกับผู้ชายคนนี้แน่ๆ!
วันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ตื่นแต่เช้า แต่งตัวให้เรียบร้อย และเดินทางไปที่ห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลผู่เจ๋อทันที
ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ไม่มีใครมาทำงาน ทั้งคู่จึงได้แต่นั่งรอหน้าประตูเงียบๆ
จนกระทั่งเป็นเวลาแปดโมงเช้า ผู้อำนวยการหลิวก็เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีเข้มและถือกระเป๋าใบเก่าไว้ในมือ ทันทีที่เห็นทั้งสองคน เขาก็ส่งยิ้มให้พลางพยักหน้า
“พวกคุณมาเร็วมาก กินอะไรกันมาหรือยัง”
รูปประโยคที่ฟังดูเข้าหาได้ง่ายนี้ทำให้ไป๋เยี่ยประทับใจมาก
ตอนแรกเขาจินตนาการฉากการพบกันครั้งแรกไว้อีกแบบหนึ่ง ทว่าเขากลับไม่คาดคิดเลยว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้
หลีว์เฟิ่งเซียนหัวเราะเบาๆ “สวัสดีครับ อาจารย์หลิว พวกเรายังไม่ได้กินอะไรมาเลยครับ ก็แลยมาถึงเร็ว”
ไป๋เยี่ยยังคงช็อก…ก่อนจะเอ่ยปากพูด “สวัสดีครับ อาจารย์หลิว”
[1] ปาต้วนจิ่น คือ แปดกระบวนท่าที่ดีที่สุดในการฝึกเดินลมปราณ
[2] มวยฉางเฉวียน หรือ มวยยาว คือการรำมวยไทเก๊ก เรียกรวมๆ กันว่ามวยฉางเฉวียนไท่จี๋ หรือ มวยยาวไทเก๊ก
[3] อู่ฉินซี่ คือ กายบริหารที่เลียนแบบท่าทางของสัตว์ห้าชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง นก