บทที่ 189 ไขปริศนาสำเร็จ
มาร์คไลท์ขมวดคิ้วแน่น คำถามนี้ตั้งใจพุ่งเป้ามาที่คำตอบของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งการวิจัยเรื่องการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมยังเกิดขึ้นแบบสุ่ม การจะตอบคำถามนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขานัก
“ต้องแบ่งออกเป็นสองประเด็นนะครับ ความสามารถในการปรับตัวและความเสถียรของยีนนั้นไม่เกี่ยวข้องกันมากนัก ที่เกี่ยวคือการแสดงออกทางพันธุกรรมของตัวหนูเอง ผมว่าคุณควรจะกลับไปศึกษามาให้ดีก่อนนะครับ ยังมีคำถามเกี่ยวกับพันธุวิศวกรรมอีกไหมครับ”
ทันทีที่มาร์คไลท์พูดจบ คนอื่นๆ ก็เริ่มพูดต่อทันที
แม้แต่จางซูหลานเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ นี่เป็นการพูดจาเล่นลิ้นชัดๆ การแสดงออกทางพันธุกรรมคือสาเหตุของการปรับตัว การปรับตัวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการแสดงออกทางพันธุกรรม
เห็นได้ชัดว่ามาร์คไลท์ตอบคำถามของไป๋เยี่ยไม่ได้ เขาอธิบายไม่ได้เลยว่าทำไมการทดลองหนูเอสเอชอาร์ถึงต้องใช้หนูวิสตาร์แทนหนูประเภทอื่นอย่างหนูเอสดีหรือหนูเคเอ็ม
บางที…เขาอาจจะไม่ได้มีส่วนรวมกับงานวิจัยชิ้นนี้เลย จึงได้แต่สร้างคำตอบมั่วๆ ขึ้นมา
จางซูหลานคิดพลางหันไปมองไป๋เยี่ยด้วยความสนใจ
ไป๋เยี่ยเอ่ยขึ้นเบาๆ “ผมคิดว่าความสำคัญของการทดลองหนูเอสเอชอาร์อาจจะยังไม่มากพอสำหรับตลาดก็ได้ บางทีเราน่าจะลองใช้หนูพันธุ์อื่นๆ มาทดลองทำการปลูกถ่ายยีนแล้วดูว่าเราจะสร้างหนูพันธุ์ใหม่ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงแต่กำเนิดได้หรือไม่นะครับ”
มาร์คไลท์ได้ยินดังนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าถมึงทึง “การทดลองใดๆ ก็ตามจำเป็นต้องมีผลลัพธ์และข้อมูลมาใช้ในการพิสูจน์ทั้งนั้น การที่หนูเอสเอชอาร์ยังดำรงพันธุ์อยู่ได้เป็นเวลาหลายปี ทั้งยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสากลโลกนั้นย่อมต้องมีความหมายอยู่แล้วครับ ข้อสงสัยใดๆ เองก็จำเป็นจะต้องมีข้อมูลและการทดลองมาสนับสนุนเช่นกัน ถ้าไม่มี คำพูดของคุณก็เป็นเพียงข้อโต้แย้งที่ไร้ความหมายครับ”
มาร์คไลท์พูดจบก็ยืดตัวตรงและเดินออกไปทันที
การสัมมนาครั้งนี้จบลงอย่างไม่น่าพอใจนัก และแน่นอนว่าไป๋เยี่ยก็คือคนที่ทำลายฉากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของลอนก้าอย่างหนูเอสเอชอาร์ลงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ทว่าไป๋เยี่ยก็ได้อะไรมามากเช่นกัน เขาคิดว่าเขาค้นพบแนวทางแล้ว นั่นคือเขาต้องเริ่มศึกษาหนูเคเอ็มจากหนูเอสเอชอาร์ก่อน บางทีเขาอาจจะได้พบกับกลไกการแสดงออกทางพันธุกรรมได้
เพราะว่าหนูเอสเอชอาร์สูญเสียยีนต้านภาวะความดันโลหิตสูงหลังจากการพัฒนาพันธุ์มาหลายชั่วอายุคน ทว่าหนูเคเอ็มยังคงมียีนดังกล่าวอยู่ นั่นหมายความว่าภายในตัวของหนูเคเอ็มยังคงมีสิ่งที่คอยควบคุมการแสดงออกทางพันธุกรรมของมันอยู่
ต่งฉุนกวงหันไปมองไป๋เยี่ยพร้อมกับยกนิ้วให้
“ทำดีมาก!”
ไป๋เยี่ยยิ้ม เขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างข้อโต้แย้ง เขาเพียงแค่อยากหาความรู้เท่านั้นเอง
ทั้งสองคนลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป ทว่าจางซูหลานกลับเดินเข้ามาหาพวกเขา
ไป๋เยี่ยประหลาดใจเล็กน้อย เขาได้ฟังการบรรยายอันเรียบง่ายและไม่กล่าวเกินความเป็นจริงของจางซูหลานมาแล้ว
“ศาสตราจารย์จาง?”
จางซูหลานยิ้ม “คุณเก่งมากเลยค่ะ ทำงานด้านพันธุวิศวกรรมมาเหรอคะ แล้วคุณชื่อว่าอะไร”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ ชื่อว่าไป๋เยี่ย”
แววตาของจางซูหลานเป็นประกาย “ไป๋เยี่ยที่คิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชน่ะเหรอ”
ไป๋เยี่ยไม่คิดว่าเขาจะมีชื่อเสียงขนาดนี้ “ใช่ครับ”
จางซูหลานได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจก่อนจะเผยรอยยิ้มยินดีออกมา “คุณคือไป๋เยี่ยที่เหล่าหลิวชมอยู่ทุกวันนี่เอง!”
ไป๋เยี่ยชะงัก งุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า
จางซูหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ปรึกษาของคุณคือหลิวป๋อหลี่ไม่ใช่เหรอคะ เขาชมคุณตลอดเลยนะ พูดถึงตลอดเลยว่าคุณน่ะเก่งแค่ไหน! พอฉันได้ฟังสิ่งที่คุณพูดในวันนี้ ฉันก็ยิ่งเชื่อว่าคุณเป็นเด็กอัจฉริยะจริงๆ!”
ไป๋เยี่ยกล่าวขอบคุณพลางเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ของเขาก็เป็นคนจากสถาบันวิทยาศาสตร์เหมือนกัน และอาจารย์เขาก็น่าจะรู้จักศาสตราจารย์จางด้วย
จางซูหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จริงๆ แล้ว แนวคิดที่คุณเสนอมานั้นดีมาก งานวิจัยเกี่ยวกับหนูของทางเรามีการอ้างอิงเอกสารล่าสุดจากต่างประเทศมาโดยตลอด พวกเรามุ่งเรียนรู้โดยที่ไม่มีข้อครหาใดๆ ซึ่งความคิดของคุณก็คุ้มค่าพอที่จะลองทำตาม แล้วก็นี่ เบอร์โทรศัพท์ของฉัน ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็มาหาฉันได้ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ได้เลยนะ”
จางซูหลานอ่านเบอร์โทรศัพท์ให้ไป๋เยี่ยฟังก่อนจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋เยี่ยมองตามร่างของจางซูหลานที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่อยู่ดีๆ จะนึกอะไรออก “อาจารย์จางครับ…คือว่า อย่าบอกอาจารย์ผมนะว่าผมเอาแต่วิจัยเรื่องหนูอีกแล้ว…”
จางซูหลานได้ยินดังนั้นก็เกือบสะดุดล้ม เธอหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วเดินจากไปทันที
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ เฮ้อ…โดนดุเรื่องอู้งานอีกแน่
จู่ๆ ใบหน้าของต่งฉุนกวงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เขารีบดึงไป๋เยี่ยเข้ามาอย่างตื่นเต้น “ศ…ศาสตราจารย์จางให้เบอร์กับคุณเนี่ยนะ!”
ไป๋เยี่ยพึมพำ “ใช่แล้ว คุณได้ยินแต่ไม่ได้จดไว้เหรอ ไว้กลับไปเดี๋ยวผมเอาเบอร์ให้นะ ว่าแต่คุณรู้จักศาสตราจารย์จางด้วยเหรอ”
ต่งฉุนกวงกล่าวด้วยใบหน้าเคอะเขิน “ไอดอลของผมน่ะ แนวคิดหลายอย่างของเธอมีอิทธิพลต่อผมมากจริงๆ ผมยังหวังมาตลอดเลยว่าสักวันจะต้องได้เรียนป.เอกใต้สังกัดของอาจารย์จาง…”
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปทักทายล่ะ”
ต่งฉุนกวงตอบเบาๆ เกร็งน่ะ กลัวว่าถ้าผมเอาแต่พูดจาติดอ่างจะสร้างความประทับใจแย่ๆ ให้กับอาจารย์”
ไป๋เยี่ย “…”
ในการสัมมนาครั้งนี้ ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าเงินหนึ่งพันหยวนถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า ทั้งได้พักผ่อนในโรงแรมระดับไฮเอนด์ตั้งสองวัน ได้แหย่คนดังจากต่างประเทศ ได้ผูกมิตรกับผู้เชี่ยวชาญในประเทศ แถมยังได้แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยใหม่ๆ อีกด้วย
รวมๆ แล้ว ไป๋เยี่ยให้คะแนนตนเองเต็มสิบเลย
เมื่อกลับมาถึงห้องแล็บ ไป๋เยี่ยก็เริ่มทำวิจัยตามแนวคิดที่วางไว้ตั้งแต่แรก
เขาค้นคว้าข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นวิชาพื้นฐาน เช่น กายวิภาคศาสตร์และสรีวิทยาของหนู โชคดีที่เขามีวิธีตอบข้อสงสัยทั้งหมด แถมยังทำให้งานวิจัยมีความคืบหน้าอย่างมาก
เช้าวันหนึ่งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ไป๋เยี่ยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง หรือว่าเราจะหาเจอแล้ว
แต่นี่มันก็ยังเหลือเชื่ออยู่ดี
ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ในเมื่อมันเป็นแค่เบสกวานีน[1]ที่อยู่บนโครงสร้างเกลียวของดีเอ็นเอหนู
สิ่งนี้มีผลต่อการแสดงออกทางพันธุกรรมซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะกลายพันธุ์ระหว่างการถอดรหัสจริงเหรอ
ไป๋เยี่ยแทบไม่เชื่อ แต่เพื่อพิสูจน์ เขาจึงนำตัวยาที่ใช้ทดลองครั้งแรกมาทดลองอีกครั้งหนึ่ง
สามวันต่อมา ในที่สุดไป๋เยี่ยก็พิสูจน์จนได้ข้อสรุปแล้ว!
ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษ เบสกวานีนอาจจะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของอาร์เอ็นเอได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมระหว่างกระบวนการถอดรหัสนั่นเอง!
แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของหนูในสภาพแวดล้อมพิเศษ
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกทางพันธุกรรมจะต้องขึ้นอยู่กับเบสกวานีนเสมอไป แต่การมีอยู่ของเบสกวานีนนั้นส่งผลต่อความเสถียรของโครงสร้างดีเอ็นเอของหนู และจะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษ
ไป๋เยี่ยมองตรงไปที่ห้องแล็บตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้การทดลองของคาร์ลล้มเหลว เมื่อหนูได้รับยาตัวนั้น มันกลับทำให้เบสกวานีนกระตุ้นการกลายพันธุ์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างดีเอ็นเอระหว่างกระบวนการถอดรหัสและก่อให้เกิดการยับยั้งการสร้างเซลล์เนื้องอก
สาเหตุมาจากเบสกวานีนนี่เอง!
ในที่สุดก็ไขปริศนาที่ถูกซ่อนไว้มานานหลายสิบปีได้เสียที ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา ถ้าการทดลองกับหนูล้มเหลว ก็จะไม่มีการทดลองทางคลินิก และผู้ป่วยเหล่านั้นก็จะไม่เสียชีวิต
ไป๋เยี่ยถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง บางทีวิทยาศาสตร์ก็อาจจะกำลังพัฒนาไปทางที่แย้งกัน ไม่แน่สักวันหนึ่งกฎของนิวตันอาจจะถูกคว่ำทฤษฎีก็เป็นได้
ไป๋เยี่ยยิ้มพลางจดคำตอบที่ได้รับลงในโน้ตบุ๊ก จัดระเบียบข้อมูลต่างๆ และใส่มันลงไปในกระเป๋าของเขา
[1] กวานีน คือ เป็นหนึ่งในนิวคลีโอเบสหลักสี่ชนิด ที่พบในกรดนิวคลีอิก (ดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ)