บทที่ 203 เรื่องฮอตเรื่องใหม่
กิจวัตรเช่นนี้ดำเนินไปได้ราวๆ หนึ่งสัปดาห์ ช่วงเช้าล้างแผล ตกบ่ายเข้าห้องผ่าตัด บางครั้งพานเซี่ยงเหนียนก็อนุญาตให้ไป๋เยี่ยเข้าไปร่วมผ่าตัดด้วย ช่วงนี้ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นใคร ไป๋เยี่ยก็จะได้รับหน้าที่เป็นคนเย็บแผลตลอด
ปกติเหอเสี่ยวหมิงจะตามไปดูการผ่าตัดของฉางลี่เฉียง ทว่าเขากลับทำได้เพียงยืนดูการผ่าตัด ไม่แม้แต่จะได้สวมชุดผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ผ่านการดูเท่านั้น
แต่ในทางกลับกัน ไป๋เยี่ยดูจะกลายเป็นแพทย์ประจำแผนกไปแล้ว เขาทำทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่เย็บแผลเขายังเป็นคนทำเลย
เรื่องนี้ทำให้เหอเสี่ยวหมิงอึดอัดมาก แม้ว่าทุกคนจะเป็นนักศึกษาเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงยังยืนอยู่ตรงนั้นในฐานะผู้ชม ในขณะที่ไป๋เยี่ยเข้าไปทำงานร่วมกับหัวหน้าแผนกและแพทย์คนอื่นๆ ได้แล้ว
ใกล้จะถึงวันหยุดวันชาติแล้ว ทุกคนเริ่มหารือกันเรื่องเวรวันชาติ ทุกๆ วันจะมีแพทย์ที่อยู่เวรทั้งวันแค่หนึ่งคน ส่วนเวรฉุกเฉินนั้นเป็นอีกเรื่อง
ไป๋เยี่ยดูภารกิจล้างแผลของเขา: 72/200 ถ้ามีแค่เคสของซ่งเจี๋ยก็คงใช้เวลานานกว่าภารกิจจะเสร็จ ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้ว ไป๋เยี่ยก็ไม่อยากปล่อยมันให้หลุดมือไป
ไป๋เยี่ยจึงพูดขึ้น “ช่วงวันหยุด ผมจะเป็นคนช่วยล้างแผลเองครับ”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยพูดออกมา ทุกคนก็เบิกตากว้าง อย่างไรเสียทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าฝีมือการล้างแผลของไป๋เยี่ยอยู่ในระดับไหน แถมยังได้รับคำชมจากหัวหน้าแผนกอีกด้วย
พานเซี่ยงเหนียนมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาสงสัย “คุณไม่กลับบ้านเหรอ”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ไม่ครับ”
ในเมื่อมีไป๋เยี่ยแล้ว แพทย์ที่อยู่เวรประจำก็ค่อนข้างสบายขึ้นมาก อีกทั้งในแผนกยังมีแพทย์ชายจำนวนมาก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจึงค่อนข้างแน่นแฟ้น ต่างคนก็ต่างมองไป๋เยี่ยด้วยความขอบคุณ
ส่วนบรรดานักศึกษาแพทย์คนอื่นๆ ก็มองไป๋เยี่ยด้วยความประหลาดใจ รวมถึงเหอเสี่ยวหมิงด้วย
พานเซี่ยงเหนียนพยักหน้าพลางเหลือบมองไป๋เยี่ยเป็นเชิงอนุญาต ทว่าระหว่างที่กำลังเดินไปนั้น เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาอีกที “จะมีการประชุมระดับนานาชาติของแผนกทวารหนักที่โตเกียวในช่วงกลางเดือนตุลาคม ไป๋เยี่ยไปเข้าร่วมได้นะ”
คำพูดของพานเซี่ยงเหนียนทำให้ทุกคนต้องเบิกตากว้างตามๆ กันไป
การประชุมระดับนานาชาติของแผนกทวารหนักถือเป็นงานใหญ่ แม้ว่าแพทย์ฝึกหัดทั้งหมดจะเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ไม่ได้ต่อเฉพาะทางสาขาทวารหนัก แต่การประชุมครั้งนี้จะกลายเป็นคะแนนต่อไปในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น การประชุมนี้ยังจัดขึ้นที่โตเกียว โอกาสเช่นนี้คงไม่ได้มีมาบ่อยๆ นอกจากจะได้ความรู้เพิ่มแล้วยังได้ออกไปเที่ยวด้วย เอาไปเล่าให้ใครฟังก็ดูมีหน้ามีตาทั้งนั้น
ทั้งซ่งเจี๋ย ฉางลี่เฉียง และคนอื่นๆ ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน คนที่จะได้เข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาตินั้นมีไม่มาก แต่ละโรงพยาบาลจะส่งตัวแทนเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ต้องออกไปกับหัวหน้าแผนกอีกทีหนึ่ง ถ้าได้ไปก็จะได้รับความรู้มากมาย โดยเฉพาะเทคโนโลยีและแนวทางการแพทย์ใหม่ๆ การออกไปเข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาตินั้นอาจจะได้รับประโยชน์เทียบเท่ากับการเรียนในคลาสหนึ่งหรือสองปีเลยด้วยซ้ำ
ไป๋เยี่ยได้ฟังคำพูดของพานเซี่ยงเหนียนก็เบิกตากว้างทันที นี่มันแหล่งประสบการณ์เลยนี่หว่า!
ในสายตาของไป๋เยี่ย ไม่ว่าจะเป็นการประชุมใดๆ ก็ล้วนเป็นแหล่งประสบการณ์และภารกิจที่หาได้ยาก
แต่ว่า…โตเกียว! เฮ้อ ไม่รู้จะใส่ชุดอะไรไปนี่สิ เพราะคนในเน็ตบอกว่าที่โตเกียวร้อนมาก ร้อนจริงเหรอ…ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอย่างหนัก
พานเซี่ยงเหนียนพูดจบก็เดินออกจากห้องทำงานไป
ซ่งเจี๋ยจึงเดินเข้ามาหาไป๋เยี่ย “ไม่เลวเลยเจ้าหนู หัวหน้าแผนกสนใจคุณนะเนี่ย”
ไป๋เยี่ยได้แต่ยืนยิ้มไม่พูดอะไร ในขณะที่ผู้คนรอบตัวเขากำลังจ้องมองมาด้วยความอิจฉา
เหอเสี่ยวหมิงรู้สึกอึดอัดมาก ทำไมเขาจะไม่อยากเข้าร่วมการประชุมระดับนานาติบ้างล่ะ ถึงจะเป็นการประชุมเกี่ยวกับแผนกทวารหนัก แต่นี่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน
หลังจากเดือนตุลาคม ก็จะเริ่มมีการประชุมของสาขาอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ในอนาคตก็ยังคงมีโอกาสผ่านเข้ามาอยู่เสมอ
บ่ายวันนั้น ไป๋เยี่ยได้รับสายจากโจวเม่า
“สวัสดี เสี่ยวเยี่ย ลุงมาถึงเมืองหลวงแล้วนะ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ได้ครับ ผอ.โจวอยู่ไหนแล้วล่ะครับ”
โจวเม่าส่ายหัว “ต่อไปจะมาเรียกผอ.โจวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้วนะ”
ไป๋เยี่ยตะลึง “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ อย่าบอกนะว่าลุงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผอ.มหา’ ลัยน่ะ”
โจวเม่าหัวเราะเบา ๆ “อยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวลุงไปรับ”
ทั้งคู่นัดกันไว้ที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล ไม่นานนักรถแลนด์ครุยเซอร์ทะเบียนขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘จิ้น’ ก็มาจอดอยู่ตรงหน้าไป๋เยี่ย
รถของโจวเม่านั่นเอง ทันทีที่ไป๋เยี่ยขึ้นมาบนรถก็เอ่ยปากถามขึ้น “ลุงโจว ทำไมไม่เปลี่ยนรถล่ะ”
โจวเม่ายิ้ม “มีรถก็ดีอยู่แล้วนี่ ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน”
ทั้งคู่มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จากนั้นก็สั่งอาหารมารอไว้สองสามอย่าง
โจวเม่าเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ลุงจะลาออก”
ไป๋เยี่ยสับสนกับคำพูดของโจวเม่าเล็กน้อย “ลาออกเหรอ แต่ลุงเป็นผอ.นะ ทำไมถึงอยากลาออกล่ะ”
โจวเม่ายิ้มพลางส่ายหัวไปมา “ลุงก็สี่สิบเก้าแล้ว คงหมดโอกาสได้เป็นรองผอ.แล้วแหละ”
“หลังเกษียณลุงจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ เลี้ยงนก อ่านหนังสือ จิบชาไปวันๆ นั่นไม่ใช่ชีวิตแบบที่ลุงต้องการเลย”
ทุกคนมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง ซึ่งไป๋เยี่ยก็เข้าใจจุดนี้ดี เขาตั้งใจฟังโจวเม่าพูดโดยไม่ขัดจังหวะใดๆ
โจวเม่าจิบชาแล้วถอนหายใจ “ลุงอยากเริ่มทำบริษัทยา เคยคุยๆ กับครอบครัวไว้บ้างแล้วแหละนะ พวกเขาก็ดูจะสนับสนุน”
“ลุงขายสิทธิบัตรไปตลอดไม่ได้หรอก บางทีก็อยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ไม่งั้นคงจะมานั่งเสียดายทีหลังแน่ ลุงเลยอยากเริ่มทำธุรกิจเองไง”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ผมเชื่อว่าลุงจะทำได้ครับ”
โจวเม่ายิ้ม “อยากมาร่วมมือกันไหม วันนี้ลุงไม่ได้มาหาแค่เพราะอยากเล่าเรื่องเก่าๆ หรอก ลุงอยากมาร่วมมือด้วย”
ไป๋เยี่ยเงียบ เขาเคยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว โจวเม่าคือคนที่มีพรสวรรค์หายาก เขาใช้มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีเป็นเวทีให้ตนเองได้เฉิดฉายมาเป็นเวลาหลายปี จนเขามีเส้นสายมากมาย
ทั้งคู่คุยเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเป็นเวลาห้าทุ่ม ไป๋เยี่ยจึงกลับหอพักไป
เหตุใดไป๋เยี่ยจึงสนใจเรื่องนี้ ก็เพราะไป๋เยี่ยเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน เขาคิดค้นหลายอย่างได้ ถ้าเขาต้องการนำสิ่งเหล่านั้นเผยแพร่สู่สังคมและตลาด เขาก็ต้องมีบริษัทเป็นสื่อกลาง
การขายสิทธิบัตรไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในระยะยาว คำพูดของโจวเม่าจึงกระตุ้นความสนใจของไป๋เยี่ยได้มากเลยทีเดียว
สิ่งที่โจวเม่าต้องการจะสื่อก็คือ ในเมืองหลวงมีบริษัทยาแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘บริษัทยาจื้อเหิง’ กำลังจะล้มละลาย ถ้าเขาเข้าไปรับช่วงต่อก็อาจจะตั้งตัวได้เร็วกว่าการเริ่มต้นธุรกิจเอง
โจวเม่าให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน บริษัทนี้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ถึงสามครั้ง แต่ในที่สุดก็ยื้อต่อไปไม่ไหว
ทว่ามูลค่าของบริษัทก็ไม่ได้น้อย โจวเม่าจึงพยายามระดมทุนให้มากกว่าสามสิบล้านหยวน แต่ทางบริษัทต้องการอย่างน้อยสามร้อยล้านหยวน
เมื่อกลับมาถึงหอพัก ไป๋เยี่ยก็โทรหาเถ้าแก่ไป๋และถังฮั่นเพื่อถามเรื่องบริษัทยาจื้อเหิง
อย่างไรเถ้าแก่ไป๋ก็เป็นคนที่ติดตามข่าวตลอด ส่วนถังฮั่นก็มีเส้นสายมากมาย ไป๋เยี่ยจึงคิดว่าสองคนนี้อาจจะทำให้เขาเข้าใจอะไรเกี่ยวกับบริษัทนี้ได้มากขึ้น
ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดวันชาติ ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มีเรื่องอะไร โจวเม่าเองก็ยังไม่ได้ลาออก เพียงแค่มาที่เมืองหลวงเพื่อติดต่อกับบริษัทจื้อเหิง
ไป๋เยี่ยก็ได้แต่รอฟังข่าวดีต่อไป