ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 4 สอนความรู้

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 4 สอนความรู้

ตอนที่ 4 สอนความรู้

ครั้นหมอคนนั้นเห็นฉินมู่หลานตอบตกลง เขาก็รู้สึกยินดี

“จริงเหรอ ได้อย่างนั้นก็ดีมากแล้ว” จากนั้นจึงแนะนำตนเอง “ผมชื่อหลี่เฉิงต้ง”

“สวัสดีค่ะคุณหมอหลี่ ฉันชื่อฉินมู่หลานค่ะ”

ฉินมู่หลานเห็นดังนี้จึงแนะนำตนเองเช่นกัน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวอวี่ตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันหน้าไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วบอกเขา “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะอยู่คุยกับคุณหมอหลี่ก่อน คุยเสร็จแล้วฉันจะกลับเองค่ะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองฉินมู่หลาน จากนั้นหันกลับไปบอกเซี่ยเจ๋อเหว่ย “พี่ใหญ่ พวกพี่กลับไปก่อนเถอะ พวกเราเสร็จจากทางนี้แล้วจะกลับไปเอง”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนล่ะ”

เซี่ยเจ๋อเหว่ยได้ยินแล้วก็พยักหน้า จากนั้นเขาหันไปขอบคุณฉินมู่หลานอย่างจริงจังอีกครั้ง

แม้กระทั่งเหยาจิ้งจือยังขอบคุณฉินมู่หลานเช่นเดียวกัน

ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ ตั้งแต่ลูกสะใภ้เล็กคนนี้แต่งเข้าบ้านมา หล่อนก็ดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อน ดูเหมือนนางจะไม่ได้รังเกียจฉินมู่หลานคนปัจจุบันนี้แล้ว หวังแค่เพียงว่าหล่อนจะเป็นอย่างนี้ตลอด

ฉินมู่หลานคาดไม่ถึงว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะอยู่ด้วย แต่เธอควรจะทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นกว่าจะกลับฟ้าคงมืดแล้ว

“คุณหมอหลี่คะ ถ้าอย่างนั้นคุณลองดูว่าในโรงพยาบาลของพวกคุณมีใครพอมีเวลาว่างบ้าง ทุกคนจะได้ศึกษาไปพร้อม ๆ กัน ฉันจะได้สาธิตวิธีให้พวกคุณดูโดยละเอียด”

“ได้ครับ”

หลี่เฉิงต้งเรียกหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลที่ว่างอยู่มา

ถึงแม้หลี่เฉิงต้งจะมีเจตนาดี แต่ก็ยังมีบางคนที่ต่อต้านขึ้นมา “คนหมดลมหายใจไปแล้ว ทำอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร?”

“แน่นอนว่ามีประโยชน์ เนิ่นนานมาแล้วกว่าหนึ่งพันปีก่อน ใน ‘ตำราจินคุ่ยเย่าเลวี่ย'[1] ได้เอ่ยไว้ว่าเพื่อช่วยคนที่ผูกคอตาย……ให้นอนลงบนเตียง คนหนึ่งกดมือของเขาลงบนอกคนผู้นั้น แล้วทำการกดซ้ำ ๆ หลายครั้ง…….”

ฉินมู่หลานบอกเล่าต้นกำเนิดและการพัฒนาของการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จากนั้นจึงสาธิตวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดให้ดู สุดท้ายจึงกล่าว “เวลาที่ดีที่สุดในการให้ความช่วยเหลือมีเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ถ้าพวกคุณฝึกฝนวิธีนี้จนเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะเพิ่มความหวังในการช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น”

“พูดได้ดี”

หลี่เฉิงต้งเป็นคนนำปรบมือขึ้นมา จากนั้นเขาจึงหันไปมองทุกคนแล้วเอ่ย “พวกเราอยู่ในฐานะแพทย์ก็เพื่อช่วยคน มีวิธีการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวิธีไม่ดีกว่าหรือ? วันนี้พวกคุณต้องศึกษาวิธีการให้ดี”

คนอื่น ๆ เห็นว่าสิ่งที่ฉินมู่หลานพูดมีที่มาที่ไป จึงค่อย ๆ เชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว

เซี่ยเจ๋อหลี่มองฉินมู่หลานที่อยู่ตรงกลางวงล้อม เขาพลันรู้สึกว่าวินาทีนั้นเธอดูเปล่งประกายขึ้นมา ทั้งคนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ฉินมู่หลานง่วนอยู่กับการสาธิตวิธี จึงไม่ได้สังเกตสายตาที่จับจ้องมาของเซี่ยเจ๋อหลี่ เธอเห็นว่ามีคนไม่น้อย จึงให้พวกเขาจับคู่กันทดลองทำวิธีปฏิบัติจริง ถ้ามีตรงไหนผิดพลาด เธอก็จะชี้แนะข้อผิดพลาดให้ฟังทันที

เมื่อกระบวนการสาธิตสิ้นสุดลงแล้ว ฉินมู่หลานก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจที่ทุกคนศึกษาด้วยความจริงจังและปฏิบัติออกมาได้ดี โดยในหมู่พวกเขามีคุณหมอหลี่ทำได้ดีที่สุด “คุณหมอหลี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะคะ”

หลี่เฉิงต้งยิ้มแล้วบอกลาฉินมู่หลาน “สหายฉิน ทำให้คุณเสียเวลาแล้ว พวกคุณกลับดี ๆ นะครับ”

“ค่ะ”

เมื่อทั้งสองคนออกมาจากประตูโรงพยาบาลแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่จึงหันไปถามฉินมู่หลาน “คุณหิวไหมครับ?”

ได้ยินคำถามนี้ฉินมู่หลานจึงตอบกลับ “นิดหน่อยค่ะ”

เธอหิวแล้วจริง ๆ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว และพวกเขาก็พลาดอาหารมื้อกลางวันไป ตอนนี้เธอหิวจนไส้กิ่วแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาอะไรกินหน่อยแล้วค่อยกลับนะครับ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าเร็ว ๆ จากนั้นตามเซี่ยเจ๋อหลี่ไปยังร้านอาหารของรัฐ แต่โชคไม่ดีที่ในร้านตอนนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว กระนั้นเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไปร้องขอ หัวหน้าพ่อครัวคนนั้นจนเขายอมตกลงทำบะหมี่ให้พวกเขา

“ไม่มีอย่างอื่นให้กินแล้ว พวกเรากินบะหมี่รองท้องเถอะ”

ขอแค่มีอาหารให้กินก็ไม่แย่แล้ว ฉินมู่หลานไม่เลือกมากแม้แต่น้อย “มีบะหมี่ก็ดีมากแล้วค่ะ ลำบากคุณแล้ว”

เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามราวดอกไม้บานและดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับของฉินมู่หลาน เซี่ยเจ๋อหลี่ก็อดตะลึงงันไม่ได้ เขาแทบจำไม่ได้แล้วว่าฉินมู่หลานที่น่ารำคาญคนก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร รู้สึกเพียงว่าฉินมู่หลานในตอนนี้แม้จะอวบอ้วนไปสักนิด แต่กลับดูน่ารักอย่างไม่มีสาเหตุ

ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มองตนเองโดยไม่พูดอะไร ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมคุณเอาแต่จ้องฉันล่ะคะ? มีอะไรติดหน้าฉันเหรอ?”

เธอพูดพลางลูบคลำใบหน้าอ้วนกลมของตัวเองไปด้วย

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน จึงได้สติกลับคืนมา ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับไม่ปรากฎอารมณ์ใด ๆ เขาส่ายหัวนิ่ง ๆ แล้วบอกเธอ “บนหน้าคุณไม่มีอะไรเปื้อนหรอก เมื่อครู่ผมกำลังคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่ เลยเหม่อลอยไปนิดหน่อย”

ฉินมู่หลานไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้เองบะหมี่ก็ทำเสร็จและนำมาเสิร์ฟแล้ว ทั้งสองคนรีบกินบะหมี่ทันที

หลังจากกินบะหมี่แล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็พาฉินมู่หลานกลับไปที่หมู่บ้านชิงซาน

ตอนขามาพวกเขามาพร้อมกับวัวเทียมเกวียนของหมู่บ้าน ตอนนี้พวกเขาจึงต้องพึ่งขาของตัวเองกลับไป ในตอนแรกฉินมู่หลานค่อนข้างผ่อนคลาย แต่หลังจากเดินไปได้สักพักเธอก็เริ่มเหนื่อย เหงื่อไหลโซมกายไม่หยุดขณะที่ก้าวเดิน เหมือนกับว่าทั้งร่างของเธอเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ

เหนื่อยเกินไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนยังไม่รู้สึก แต่ตอนนี้ค้นพบแล้วว่าจากตัวเมืองกลับไปที่หมู่บ้านชิงซานไกลมากแค่ไหน

ครั้นได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างหนักหน่วงของฉินมู่หลาน เซี่ยเจ๋อหลี่จึงเอ่ยแนะนำ “พวกเราพักกันก่อนเถอะ”

“ก็ดีค่ะ”

ฉินมู่หลานนั่งลงบนก้อนหินข้าง ๆ ทาง เธอไม่เหลือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงจะพูดแล้ว

เซี่ยเจ๋อหลี่คิดไม่ถึงว่าฉินมู่หลานผู้มีร่างกายใหญ่โตปานนี้จะมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด เพียงเดินเป็นระยะทางสั้น ๆ แค่นี้ก็เดินต่อไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็นึกโทษตัวเองเหมือนกัน “ถ้ารู้ล่วงหน้าผมคงไปหายืมจักรยานมาก่อน พวกเราจะได้กลับง่าย ๆ หน่อย”

ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า และยังไม่มีทีท่าหอบหายใจ ก็รู้ว่าเขากำลังคิดเพื่อเธอ แต่เธอต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง จึงส่ายหัวแล้วบอก “ฉันไม่เป็นไรค่ะ พักสักครู่คงดีขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันอ้วนขนาดนี้ เดินให้มากหน่อยถือซะว่าเป็นการลดน้ำหนักทางหนึ่งแล้วค่ะ”

“อันที่จริง…..คุณไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักหรอก แบบนี้ก็สวยเหมือนกัน”

แม้ฉินมู่หลานจะอ้วน แต่เธอก็มีผิวขาว ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าขาวอวบ มองนานๆ เข้าก็เริ่มชินแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ดูน่าเกลียดขนาดนั้น ถ้าลองมองใกล้ ๆ จะพบว่าอันที่จริงแล้วเครื่องหน้าของเธอประณีตลงตัวมาก

ได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็เหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยความประหลาดใจ และนึกสงสัยสุนทรียภาพของเขาขึ้นมา เขาคิดว่าแบบนี้สวยจริง ๆ หรือ เขาคงกำลังปลอบใจตนเองกระมัง

หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่พูดอย่างนี้ ใบหูของเขาก็เริ่มแดงขึ้นมาอีกแล้ว

พูดกันตามตรง เขาและฉินมู่หลานยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนัก แต่เมื่อได้เผชิญหน้าเธอวันนี้ เขาไม่เพียงพูดมากขึ้นเท่านั้น น้ำเสียงยังเป็นมิตรมากขึ้นอีกด้วย กระทั่งเขายังแปลกใจตนเอง

ทั้งสองคนหยุดพักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงออกเดินต่อไป จวบจนฟ้ามืดแล้วสุดท้ายพวกเขาก็กลับมาถึงบ้าน

“อาหลี่ มู่หลาน พวกเธอกลับมาเสียที อาหารเย็นเพิ่งทำเสร็จ รีบมากินข้าวเถอะ”

หลี่เสวี่ยเยี่ยนเห็นสามีภรรยาหนุ่มสาวกลับมาก็เรียกพวกเขามากินมื้อค่ำอย่างอบอุ่น วันนี้ที่ลูกชายของหล่อนปลอดภัย เป็นเพราะฉินมู่หลานมีส่วนในการช่วยเหลือมากที่สุด หล่อนจึงเห็นฉินมู่หลานดีไปหมดทุกอย่าง

แม้แต่เหยาจิ้งจือก็ยังมองฉินมู่หลานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วเรียกเธอมานั่ง “มู่หลาน รีบมานั่งเร็ว”

เซี่ยเจ๋อน่าเห็นท่าทางรักใคร่เอ็นดูที่แม่และพี่สะใภ้ใหญ่มีให้ฉินมู่หลานก็รู้สึกไม่พอใจ “เหอะ ก็แค่แมวตาบอดจับหนูตาย ยังพากันคิดว่าฉินมู่หลานมีความสามารถจริง ๆ อยู่อีก”

[1] 金匮要略 ตำราจินคุ่ยเย่าเลวี่ย เป็นตำราแพทย์แผนจีนที่กล่าวถึงการรักษาโรคทั่วไป ที่จางจ้งจิ่งนักปราชญ์แห่งการแพทย์ในราศวงศ์ฮั่นตะวันออกเขียนขึ้น

สารจากผู้แปล

เริ่มสนิทสนมใกล้ชิดกันแล้วสินะ ถึงได้เริ่มมองเห็นข้อดีของเขา

ยัยน้องสาวไม่ชอบก็เงียบไปค่ะ ว่าเขาแบบนี้เธอลองช่วยชีวิตหลานชายแทนเขาดูบ้างไหม

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท