ตอนที่ 15 เจี่ยงสือเหิง
ตอนที่ 15 เจี่ยงสือเหิง
ครั้นฉินมู่หลานมองเห็นใบหน้าของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจนแล้ว เธอก็ตกตะลึงนิดหน่อย บุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือชายชราผู้มีผมหงอกสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยร่องแก้มชัดลึก แสดงถึงความแปรเปลี่ยนของช่วงวัยที่พ้นผ่าน
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานกำลังจ้องมองตนด้วยแววตาประหลาดใจ ชายชราจึงหยิบห่อผ้าสีขาวสะอาดที่อยู่ในอ้อมแขนออกมาพลางเปิดมันออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองฉินมู่หลานด้วยใบหน้าเปี่ยมความหวัง “สหาย สิ่งนี้สามารถใช้แลกกับวัตถุดิบทำยาได้ไหม?”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงมองตาม ก่อนจะพบว่าในห่อผ้าสีขาวสะอาดนั้นมีหยกขาวอยู่ชิ้นหนึ่ง
“นี่….คือหยกมันแพะขาวนี่คะ”
ชายชราคนนั้นรีบพยักหน้าทันควัน “ใช่แล้ว นี่คือชิ้นหยกมันแพะขาว ฉันอยากจะขอแลกกับวัตถุดิบทำยาในมือของหนูหน่อยน่ะ”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ชายชราคนนั้นจึงมองอย่างคาดหวัง
“ครอบครัวของฉันมีคนป่วย ตอนนี้ต้องการยามาก ๆ ขอยาให้ฉันเถอะนะ”
เธอกลับยังไม่ยอมใจอ่อน และเอ่ยถามขึ้น “คุณตารู้ได้ยังไงคะว่าหนูมียา?”
หลังจากได้ฟังคำพูดนั้น ชายชราคนนั้นก็เอ่ยตามจริง
“ตอนแรกฉันอยากจะเอาหยกนี้ไปแลกยา แต่หาในตลาดมืดเท่าไหร่ก็ไม่มี แล้วก็บังเอิญเจอหนูถามหาร้านขายยาแผนโบราณกับคนแถวนี้พอดี เลยคิดว่าหนูน่าจะมียาอยู่ในมือ”
เมื่อฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงได้รับรู้ว่าสาเหตุที่ความลับถูกเปิดเผยเป็นเพราะตนเดินเอ่ยถามผู้คนเกี่ยวกับสิ่งนี้ไปเรื่อย สงสัยในครั้งต่อไปเธอคงต้องทำตัวให้ลึกลับมากกว่านี้สักหน่อย
ชายชราคนนั้นเห็นฉินมู่หลานขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยจึงกลัวว่าเธอจะไม่ให้ยากับเขา ก่อนจะรีบมอบจี้หยกลงในมือของฉินมู่หลาน พลางเอ่ย “สหาย ที่บ้านของฉันมีคนป่วย ต้องการยามากจริง ๆ ขอให้ฉันเถอะนะ”
เมื่อเห็นว่าชายชราเว้าวอนจนแทบจะร้องไห้ ท้ายที่สุดมู่หลานจึงเริ่มใจอ่อนลง
“แต่ว่าหนูมีไม่เยอะนะคะ และถึงจะจำเป็นต้องใช้ยาก็ควรจะใช้ยาให้ถูกขนานด้วย หนูยังไม่รู้เลยว่าคนในครอบครัวของคุณตาป่วยเป็นอะไร ถ้าหนูให้ยาไปส่งเดชก็กลัวว่าจะเป็นอันตรายกับคนในครอบคุณตาได้ค่ะ”
ชายชราคนนั้นเห็นว่ามู่หลานมีเหตุผลและชี้แจงให้เห็นอย่างชัดเจน แววตาจึงมีความหวังมากขึ้น
“สหาย ถ…ถ้าอย่างนั้นเธอไปตรวจคนที่บ้านฉันได้ไหม?”
เกรงว่าฉินมู่หลานจะไม่ยอม เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เธอไม่ต้องห่วง ไปถึงที่นั้นแล้วฉันจะมอบทองแท่งขนาดหนึ่งตำลึงให้เธอด้วยสองแท่ง”
ความจริงแล้วมูลค่าของทองแท่งขนาดหนึ่งตำลึงไม่ได้มากมายเท่าหยกมันแพะขาวอันนี้หรอก เพียงแต่ว่าหยกในยุคสมัยนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากมายขนาดนั้นแล้ว กลับกลายเป็นทองคำที่มีมูลค่ามากแทน
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
หยกมันแพะขาวหนึ่งอันรวมกับทองแท่งขนาดหนึ่งตำลึงอีกสองแท่ง เท่านี้มูลค่าก็มากเกินพอแล้ว
“บ้านของคุณตาอยู่ตรงไหนคะ?”
เมื่อชายชราคนนั้นได้ยินเช่นนี้ เขาจึงรีบเอ่ย “สหาย บ้านของพวกเราอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ฉันจะพาเธอไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ฉินมู่หลานยังไม่ยอมขยับเขยื้อนพลางเอ่ยถามต่อ “คุณตาชื่ออะไรคะ เป็นคนที่ไหน คนที่ป่วยตอนนี้เป็นคนในครอบครัวจริง ๆ ใช่ไหม?”
ชายชราเห็นสีหน้าหวาดระแวงของฉินมู่หลาน จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มอย่างขมขื่น “สหาย เธอเรียกฉันว่าลุงเจี่ยงก็ได้ คนที่ป่วยเป็นคนในครอบครัวฉันเอง เขา…เขาคือนายน้อยของพวกเรา พวกเราเดินทางมาจากปักกิ่ง ตอนนี้พักแรมอยู่แถวห้องน้ำฝั่งนู้น”
หลังจากพูดแล้ว ดวงตาของชายชราก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เดิมทีเขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้ติดตามนายน้อยจนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่ทันคิดว่านายน้อยอาจจะต้องมาตายก่อนตน หากนายน้อยตายไป อย่างนั้นแล้วเขาจะมีหน้าไปเจอนายท่านหลังจากตัวเองตายได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าชายชราร้องไห้ ซ้ำยังแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนเธอ ฉินมู่หลานจึงต้องรีบห้ามปรามทันที “คุณตาคะ อย่าทำแบบนี้เลย หนูจะไปดูให้ค่ะ”
“ดี ดีจังเลย ขอบคุณนะสหาย ขอบคุณเธอมากจริง ๆ”
ลุงเจี่ยงเดินนำทางไป เขาพาฉินมู่หลานตรงไปยังห้องน้ำสาธารณะโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับ
“สหาย ที่นี่อาจจะมีกลิ่นนิดหน่อย ต้องขอบคุณเธอมากเลยนะ”
ฉินมู่หลานไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ได้แต่เดินตามลุงเจี่ยงเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ข้างห้องน้ำสาธารณะ แม้ว่ากระท่อมเล็กนั้นจะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ข้างในกลับเป็นระเบียบเรียบร้อย ลุงเจี่ยงก้าวเดินเข้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นายน้อยครับ พวกเรามีหวังแล้ว สหายผู้นี้มียาติดมือมา เธอยอมแลกยากับผมแล้ว”
หลังจากพูดจบ ลุงเจี่ยงก็ช่วยให้คนที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้น
“แค่ก แค่ก…”
หลังจากชายผู้นั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรงจากท่านอน เขาก็เริ่มไอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับว่าอยากจะไอให้สุดปอด
“นายน้อย….”
ลุงเจี่ยงตบลูบหลังของคนผู้นั้นด้วยท่าทางประหม่า พลางมองฉินมู่หลานด้วยแววตาคาดหวัง
ตอนแรกฉินมู่หลานคิดว่านายน้อยของลุงเจี่ยงจะเป็นชายหนุ่ม ไม่คิดว่าจะเป็นชายวันกลางคนรูปร่างซูบผอมเช่นนี้
เธอเห็นว่าชายคนนั้นกำลังไออย่างรุนแรง จึงก้าวเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยว่า “ขอหนูตรวจชีพจรเขาหน่อยค่ะ”
“ได้สิ ได้”
เมื่อลุงเจี่ยงได้ฟังดังนั้น เขาจึงรีบหลบทางให้
หลังจากที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นหยุดไอ เขาก็ได้หันมองคนที่ลุงเจี่ยงบอกเรื่องการแลกเปลี่ยนนั้น เมื่อเห็นชัดแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นหญิงสาว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางเอ่ยว่า“สหายน้อยเอ๋ย ขอบใจเธอมากนะที่มา แต่ร่างกายของฉัน ฉันรู้ตัวเองดีว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เรื่องของแลกเปลี่ยนที่สัญญาเอาไว้กับลุงเจี่ยงนั้นเธอก็เอาไปเสียเถอะ ส่วนยาไม่ต้องทิ้งไว้ที่นี่หรอก ฉันคงไม่ต้องใช้มันแล้วล่ะ”
“นายน้อย….”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลุงเจี่ยงจึงร้องไห้ออกมา “แค่ลองให้สหายน้อยผู้นี้ตรวจท่านก่อนเถอะขอรับ ถ้าได้ตรวจก็ย่อมดี ถึงแม้ว่า….จะทำอะไรไม่ได้จริง ๆ ก็เถอะ แต่หากมันทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น เช่นนั้นมันก็ดีแล้วล่ะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของชายชราผู้ดูแลเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและน้ำตาไหลอาบหน้าเช่นนั้น เจี่ยงสือเหิงจึงได้แต่ถอนหายใจและไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก
ฉินมู่หลานที่กำลังตรวจจับชีพจรอยู่นั้น คิ้วเริ่มขมวดมุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
ลุงเจี่ยงที่เห็นสีหน้าของมู่หลานเช่นนั้นก็รู้สึกใจร่วงลงไปถึงตาตุ่ม
ตั้งแต่นายน้อยล้มป่วย เขาอยากจะตามหมอมาดูอาการให้ใจแทบขาด น่าเสียดายที่พวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด จึงไม่มีโอกาสได้ออกไปหาหมอ วันนี้เขาเองก็แอบอาศัยช่วงที่ไม่มีคนจับตาเฝ้ามองอยู่ข้างนอก จนในที่สุดได้พบกับฉินมู่หลาน แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เหมือนว่านายน้อยจะอาการแย่มากเสียแล้ว
เจี่ยงสือเหิงค่อนข้างเป็นคนใจกว้าง เขามองไปยังมู่หลานด้วยสีหน้าผ่อนคลายพลางเอ่ยว่า “สหายน้อยเอ๋ย เธอไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ร่างกายของฉันมันเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ เธอรีบรับของแล้วกลับไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะมาเห็นเข้า”
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่หลานก็ดึงมือของตนกลับ ก่อนจะมองตอบเขา
“ใครบอกกันคะว่าเกินเยียวยาแล้ว หนูรักษาคุณลุงได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลุงเจี่ยงก็มีปฏิกิริยาตอบโต้มาเป็นคนแรก เขามองไปที่ฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจก่อนจะเอ่ยถาม “สหาย เธอ…เธอรักษานายน้อยของเราได้จริงเหรอ ได้จริง ๆ ใช่ไหม?”
“ได้แน่นอนค่ะ”
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงอยากเอ่ยปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าจะเสียเวลา แต่เมื่อเห็นสีหน้าแสนมุ่งมั่นของฉินมู่หลาน อยู่ ๆ เขาก็กลับรู้สึกลังเลขึ้นมานิดหน่อย หรือว่าสาวน้อยคนนี้….จะรักษาเขาได้จริงอย่างนั้นหรือ?
หลังจากได้ยินคำพูดหนักแน่นของฉินมู่หลานแล้วก็รู้สึกประหม่าขึ้นมานิดหน่อย
“แต่โรคที่คุณลุงเป็นอาจจะรักษายากสักหน่อย ต้องใช้เวลานานถึงจะหายขาดค่ะ”
“สหาย เวลาไม่ใช่ปัญหาหรอก ขอเพียงแต่นายน้อยของพวกเราหายดี ไม่ว่าเธอต้องการอะไรก็จะหามาให้ได้ทั้งนั้น”
ในตอนแรกความหวังของเจี่ยงสือเหิงค่อนข้างริบหรี่ แต่พอได้ยินสิ่งที่ลุงเจี่ยงพูดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองเขาแล้วเอ่ย “ลุงเจี่ยง แล้วถ้าพวกเราไม่มีสิ่งที่สหายต้องการจะทำอย่างไรเล่า ลุงสัญญาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังไม่ได้นะ”
“ใช่ ใช่แล้ว ผมผิดเองครับ”
ลุงเจี่ยงยอมรับผิดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาจึงรีบเดินไปตรงมุมห้อง หลังจากนั้นก็ดึงก้อนอิฐจำนวนหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง พลางคลำหาและหยิบกล่องไม้เคลือบสีดำหนึ่งกล่องที่อยู่ด้านในออกมา เขายื่นกล่องไม้นั้นให้ฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ยขึ้น “สหาย กล่องไม้อันนี้ขอมอบให้เธอ ได้โปรดช่วยนายน้อยของเราด้วยเถอะ เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย จึงอยากจะขอติดค้างไว้ทนแทนให้ในอนาคต”
ฉินมู่หลานเปิดกล่องไม้นั้นออกดู ก่อนจะพบว่ามันเต็มไปด้วยทองแท่งขนาดหนึ่งตำลึง
“พั่บ…”
ฉินมู่หลานนำทองแท่งหนึ่งตำลึงออกมาสองแท่งแล้วก็ปิดฝากล่องไม้ พลางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะแลกเปลี่ยนเป็นหยกมันแพะขาวหนึ่งอันและทองแท่งขนาดหนึ่งตำลึงสองแท่ง มากกว่านี้หนูไม่ต้องการ ขอหนูเขียนสูตรยาก่อนนะคะ หลังจากนั้นอยากจะให้คุณลุงกินยานี้ไปก่อนสามครั้ง หลังจากนั้นอีกสามวันเดี๋ยวหนูจะมาหาใหม่”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คนป่วยนี่น่าจะเป็นผู้ดีเก่ายุคศักดินานะเนี่ย มีทั้งหยกมันแพะมีทั้งทองแท่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
มู่หลานได้ใช้ความรู้มารักษาคนจริงๆ แล้ว
ไหหม่า(海馬)