ตอนที่ 39 บังคับให้ออกไป
ตอนที่ 39 บังคับให้ออกไป
เซี่ยเหวินปิงจ้องมองเซี่ยเจ๋อน่าอย่างหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใช่ ถ้าแกแต่งกับมัน ความเป็นพ่อลูกของเราขาดกัน แต่ถ้าแกยอมเลิกกับมัน ไมว่าอย่างไรครอบครัวเราก็จะเลี้ยงดูแกต่อไป”
เขาเก็บลูกสาวไว้ในบ้านยังดีเสียกว่าจะให้หล่อนไปแต่งงานกับคนอย่างเกาหยวน
จนถึงตอนนี้ เซี่ยเหวินปิงก็ยังอยากให้โอกาสลูกสาวของตนได้เลือก
แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยเจ๋อน่ากลับจ้องมองเซี่ยเหวินปิงด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง พลางเอ่ย “พวกพ่อโหดร้ายจริง ๆ แค่เพราะหนูไม่อยากแต่งงานกับคนที่พวกพ่อเลือกเอาไว้ให้ พวกพ่อถึงกับอยากตัดสัมพันธ์กับหนู นี่เหรอที่พวกพ่อบอกว่ารัก เหอะ…ในเมื่อพ่อไม่อยากมีหนูเป็นลูกสาวแล้ว ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไม่ต้องการพ่อแม่แบบพวกคุณเหมือนกัน”
เมื่อเอ่ยจบ เซี่ยเจ๋อน่าก็หันมองเกาหยวนแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ”
เมื่อเกาหยวนเห็นพ่อและลูกสาวทะเลาะกัน เขาก็พยายามเกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่ายให้ใจเย็น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเซี่ยเหวินปิงสักเท่าใด คนกำลังโกรธ จะเอ่ยสิ่งใดก็ได้ สายเลือดแท้ ๆ จะเอ่ยตัดขาดกันได้เพียงประโยคสองประโยคเชียวหรือ
“น่าน่า ตอนนี้คุณลุงกำลังโกรธ คุณก็พูดให้น้อยลงหน่อย วันนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ เอาไว้วันหลังค่อนยมาใหม่”
เซี่ยเจ๋อน่ากำลังรู้สึกโกรธและอยากพูดต่ออีกสักสองสามประโยค แต่ก็โดนเกาหยวนลากออกไปทันที เมื่อทั้งสองออกไปก็ไม่ลืมนำสมุดทะเบียนบ้านไปด้วย
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนไปกับผู้ชายคนนั้นจริง ๆ เซี่ยเหวินปิงก็รู้สึกเดือดดาลมาก พยายามลูบอกพลางเป่าปากเพื่อระงับโทสะของตัวเอง
เหยาจิ้งจือยืนมองสามีของตนอยู่ข้าง ๆ พลางมองออกไปด้านนอกประตูท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง และนิ่งเงียบไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดอยู่ครู่หนึ่ง
ฉินมู่หลานไม่คาดคิดว่าเซี่ยเจ๋อน่าจะตกลงแต่งงานกับคนที่พูดคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง หากเธอคาดเดาถูก เซี่ยเจ๋อน่าและเกาหยวนต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเซี่ยเหวินปิงคงไม่โมโหเดือดดาลขนาดนี้ นอกจากนี้ยังยอมนำสมุดทะเบียนบ้านออกมาด้วย
หลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็รู้สึกประหลาดใจกับวิธีการของน้องสามีคนนี้มาก แต่หล่อนกลับคิดมากเรื่องที่จะนัดดูตัวในวันพรุ่งนี้ว่าควรทำอย่างไร ถึงแม้ว่าพ่อสามีจะกำลังโกรธและเสียใจมาก แต่หล่อนก็ยังคงเอ่ยขึ้น “พ่อแม่คะ พรุ่งนี้ครอบครัวทางฝั่งเจ้าบ่าวจะยังมาอยู่ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นแล้วเราควรจะทำอย่างไรดี เลื่อนออกไปก่อนดีไหมคะ”
หล่อนเอ่ยอย่างมีไหวพริบว่าให้เลื่อนออกไปก่อน แต่หากใครฉลาดก็พอจะเดาได้ ในเมื่อเซี่ยเจ๋อน่าตกลงปลงใจจะแต่งงานกับเกาหยวน นั่นหมายความว่าอาจไม่ได้นัดดูตัวกับใครอีกแล้ว
เซี่ยเหวินปิงได้ยินสิ่งที่สะใภ้ใหญ่เอ่ย จึงกล่าวขึ้นตามตรง “จะทำอย่างไรได้อีก เซี่ยเจ๋อน่าถูกใจหมอนั่น พวกเราเองก็ไม่ควรเห็นแก่ตัวใส่บ้านนั้น พรุ่งนี้ก็ควรบอกความจริงกับทางบ้านนั้นเสีย”
“นี่…มันจะไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ”
เหยาจิ้งจือร็สึกลังเลนิดหน่อย สุดท้ายแล้วหากเอ่ยเช่นนั้น ชื่อเสียงของลูกสาวของตนก็จะพังยับเยินไม่มีชิ้นดี
เซี่ยเหวินปิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่เป็นที่เรียบร้อย “ถึงจะไม่อยากบอกความจริงทั้งหมด แต่ก็ควรจะบอกกับบ้านนั้นตามตรง ว่าเซี่ยเจ๋อน่ากำลังจะแต่งกับคนอื่น”
เมื่อเห็นสามีตัดสินใจเช่นนั้น เหยาจิ้งจือจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ อยู่อย่างนั้น ถึงอย่างไรก็โต ๆ กันแล้ว
ในที่สุดเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ได้เอ่ยขึ้น “พ่อครับแม่ครับ ออกไปตามหาคนเสียนาน ทุกคนคงหิวกันแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยเหวินปิงจึงลุกขึ้นพลางเอ่ย “ใช่ รีบไปกินกันเถอะ”
ในตอนนั้นเอง หลี่เสวี่ยเยี่ยนจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางประหม่า “พ่อคะแม่คะ พวกเราเพิ่งกินกันไปแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี นี่ก็ดึกแล้ว เธอรีบพาเสี่ยวอวี่ไปเข้านอนเสียเถอะ” โดยปกติเหยาจิ้งจือไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงบอกให้สะใภ้ใหญ่พาลูกน้อยของตนไปพักผ่อน
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น แน่นอนว่าก็ต้องกลับเข้าห้อง วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายสิ่งหลายอย่าง เธอจึงรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างนิดหน่อย ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เข้ามาในห้องแล้ว
เธอได้ยินสิ่งที่เซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ยพูดกับตัวเอง แต่เนื่องจากง่วงมาก จึงได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก
เซี่ยเจ๋อหลี่หันมองฉินมู่หลานที่กำลังนอนหลับสนิท จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
วันนี้ค่อนข้างเป็นอีกหนึ่งวันที่ยุ่งวุ่นวาย เขาทราบดีว่าเธออาจจะเหนื่อย ดังนั้นจึงรีบพักผ่อนเช่นกัน
จนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินมู่หลานตื่นขึ้นมา ก็เห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งเดินเข้ามา “มู่หลาน คุณตื่นแล้ว รีบลุกขึ้นมากินข้าวเช้าสิ”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกเสียดายนิดหน่อย วันนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ต้องออกไปข้างนอกแล้ว เดิมทีเธอคิดเอาไว้ว่าจะรีบตื่นขึ้นมาทำอะไรให้เขานำไปกินระหว่างทาง “ฉันจะรีบลุก แล้วรีบไปทำของอร่อย ๆ ให้คุณเอาไปกินนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบ ช้า ๆ ก็ได้ ผมยังไม่ได้ไปจนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง ยังพอมีเวลา”
“ค่ะ”
ถึงเขาจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ฉินมู่หลานก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเธอก็พบว่ามีเพียงตัวเองกับเซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ในบ้าน “แม่กับเสี่ยวอวี่ล่ะคะ?”
คนอื่นอาจไปทำงาน แต่โดยปกติแล้วเหยาจิ้งจือกับเสี่ยวอวี่จะอยู่ที่บ้าน
“แม่พาเสี่ยวอวี่ไปซื้อเนื้อ”
“อ๋อ”
ฉินมู่หลานขานรับ หลังจากรีบลงมือกินข้าวอย่างรวดเร็วแล้วก็เริ่มทำงาน
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่ได้นิ่งดูดาย คอยช่วยจุดไฟให้อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเองเช่นนั้น เขาก็รู้สึกอิ่มเอมใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “มู่หลาน ผมจะรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นจะมาพาคุณไปอยู่ที่กองทัพด้วยนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงยกยิ้มแล้วตอบกลับ “ค่ะ”
เธอทำอาหารอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เหยาจิ้งจือจะพาเสี่ยวอวี่กลับมา ซยงโหยวปิ่ง*และน้ำจิ้มรสเผ็ดก็ได้เสร็จเป็นที่เรียบร้อย “นี่ซยงโหยวปิ่งเอาไว้กินระหว่างทาง ส่วนน้ำจิ้มอันนี้เก็บเอาไว้ได้นาน เอาไว้กินพร้อมข้าวและบะหมี่ได้นะคะ”
(*葱油饼 แพนเค้กต้นหอม)
กลิ่นหอมเย้ายวนชวนหลงใหล ทำให้เซี่ยเจ๋อหลี่อดใจอยากจะลิ้มลองแทบไม่ไหว “ครับ น้ำจิ้มนี้ต้องอร่อยแน่เลย”
“คุณชอบก็ดีแล้วค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มพลางเอ่ยกล่าวต่อ หลังจากนั้นจึงเตรียมข้าวของไปให้เรียบร้อย
และในตอนนี้ เหยาจิ้งจือกับเสี่ยวอวี่ก็กลับมากันแล้ว ในขณะเดียวกันก็ได้นำเรื่องราวกลับมาบอกกล่าวด้วย “หน้าบ้านผู้ใหญ่วุ่นวายมากเลย ทุกคนกำลังไปดูเรื่องสนุกอยู่ที่นั่น”
เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เหยาจิ้งจือจึงเพ่งเล็งไปที่เย่เสี่ยวเหอมากขึ้น และล่วงรู้ได้ทันทีเมื่อมีข่าวคราวอะไรเกิดขึ้น
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมถึงวุ่นวายขึ้นมาได้เหรอคะ?”
“ดูเหมือนว่าเฝิงจื้อหมิงอยากจะพาเย่เสี่ยวเหอไปด้วย แต่เย่เสี่ยวเหอไม่เต็มใจ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานจึงหันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่ ทราบได้ทันทีว่านี่คือข้อตกลงของเขา
เซี่ยเจ๋อหลี่มองหน้าฉินมู่หลานพลางเอ่ยถามขึ้น “อยากไปดูด้วยกันไหม”
“ก็ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานอยากไปเห็นกับตาเสียจริง เธออยากเห็นสีหน้าของเย่เสี่ยวเหอที่แม้จะโมโหโกรธาสักเท่าใดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เซี่ยเจ๋อหลี่มองฉินมู่หลานแล้วพยักหน้า จากนั้นพาเธอไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน
ในขณะนั้น หลายคนกำลังรวมตัวล้อมวงกันอยู่รอบบ้านของผู้ใหญ่บ้านเย่ต้าหย่ง ทุกคนต่างจับเข่าพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น
“ได้ยินว่าเฝิงจื้อหมิงได้งานทำในเหมือง ก็เลยต้องพาเย่เสี่ยวเหอไปที่มณฑลซานซีด้วย ถ้าจะพูดตามตรง เฝิงจื้อหมิงนี่ก็โชคดีเหมือนกันนะ จับพลัดจับผลูได้เป็นคนงานในเหมือง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสมัครงานนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ใช่ ช่างโชคดีจริง ๆ เย่เสี่ยวเหอนี่ก็ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ที่นั่นมันดีมากไม่ใช่เหรอ หล่อนอยู่ที่นี่ไปจะทำอะไร แล้วหล่อนก็แต่งกับเฝิงจื้อหมิงแล้วด้วย ถ้าไม่ตามเฝิงจื้อหมิงไปแล้วจะยังอยู่ที่บ้านอย่างนั้นหรือ?”
“ใครจะไปรู้หล่อนกันเล่า”
นับตั้งแต่เย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิงถูกพบในทุ่งข้าวโพด คนในหมู่บ้านก็พูดจาดูถูกหล่อนอยู่ตลอด ราวกับหล่อนไม่ใช่กุลสตรีความประพฤติดี คำพูดคำจาจึงค่อนข้างดูถูกดูหมิ่น
เย่เสี่ยวเหอไม่ทราบว่าชาวบ้านในหมู่บ้านคิดกับหล่อนเช่นไร ตอนนี้จึงเดินออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เมื่อเห็นเฝิงจื้อหมิงจึงเอ่ยขึ้น “ฉันจะไม่ไปกับนายหรอก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อุตส่าห์ให้โอกาสแล้วก็ยังจะดื้อดึงไปกับชายแทร่ตีเมีย ถ้าโดนซ้อมมาก็อย่ากลับมาบ้านแล้วกันนะนังน่า
ฝ่ายยัยดอกบัวเน่าก็ยังไม่รู้ตัว ชาวบ้านแทบอยากจะขับไล่หล่อนออกจากหมู่บ้านเต็มแก่แล้วเนี่ย
ไหหม่า(海馬)