ตอนที่ 51 ทะเลาะ
ตอนที่ 51 ทะเลาะ
ฉินมู่หลานมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าสายตาของเกาหยวนเต็มไปด้วยความโกรธขณะจ้องมองไปที่หานลี่ แต่เขาก็ไม่กล้าก้าวเดินไปข้างหน้า และหานลี่เองก็จ้องมองเกาหยวนด้วยสายตาเย้ยหยัน พลางเอ่ยขึ้น “ฉันขี้เกียจพูดกับคนอย่างนายเหลือเกิน หลีกทางไปซะ ฉันจะรีบซื้อของแล้วรีบกลับ”
“เธอ…”
เกาหยวนจ้องมองหานลี่พักหนึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านไป
พวกพี่ชายของหานลี่ไม่ใช่คนที่ควรไปมีปัญหาด้วย เขามีปัญหามาไม่น้อยแล้ว ตอนนี้จึงไม่กล้าลงมือทำอะไรหานลี่ เมื่อเฝ้ามองหล่อนเดินจากไป เกาหยวนถึงเข้าไปในร้านค้า
ฉินมู่หลานเห็นหานลี่เดินมาทางนี้ จึงค่อย ๆ เดินเข้าไป พลางเอ่ยถามขึ้น “สวัสดีค่ะสหาย คุณรู้จักเกาหยวนคนนั้นด้วยหรอคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานลี่จึงหันมองฉินมู่หลาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณเป็นใครคะ?”
“เกาหยวนเพิ่งแต่งงานไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมคะ คนที่เขาแต่งด้วยคือน้องสามีของฉันเอง ฉันเห็นว่าเหมือนคุณจะรู้จักว่าเขาเป็นคนอย่างไร จึงอยากถามเรื่องนั้นสักหน่อย”
เมื่อเอ่ยจนจบ ฉินมู่หลานก็เอ่ยต่ออย่างช่วยไม่ได้ “เฮ้อ…น้องสามีของฉันแต่งกับเกาหยวนหลังจากรู้จักเขาได้เพียงสองวัน พวกเราจึงไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับตัวเกาหยวนเลยค่ะ”
หานลี่รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“น้องสามีของคุณเป็นภรรยาของเกาหยวนนี่เอง โธ่เอ๊ย…พวกคุณปล่อยให้หล่อนแต่งงานโดยไม่ถามไถ่ให้ชัดเจนได้อย่างไรกันนะ”
ฉินมู่หลานส่ายศีรษะไปมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเราเองก็อยากจะฟังเรื่องราวเพิ่มก่อนค่ะ แต่น้องสามีของฉันหัวดื้อมาก ยืนกรานจะแต่งให้ได้ แค่รั้งรอเพียงวันเดียวก็ยังอดใจไม่ไหว เอาสมุดทะเบียนบ้านของครอบครัวไปและให้เกาหยวนจดทะเบียนสมรส พวกเราห้ามไม่ทันจริง ๆ”
หานลี่เอ่ยต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ทำไมน้องสามีของคุณถึงได้ร้อนใจขนาดนั้น เกาหยวนนั่นไม่มีอะไรดีสักอย่าง แล้วต่อไปหล่อนจะต้องเสียใจ”
เมื่อเอ่ยจบ หานลี่ก็เล่าเรื่องของตัวเองด้วยความใจเย็นอย่างเต็มใจ
“เกาหยวนกับฉันเคยเป็นคู่หมั้นกันมาก่อน โชคดีที่ก่อนแต่งฉันได้รู้ว่าเกาหยวนชอบทำร้ายร่างกายคน จึงรีบถอนหมั้นกับเขาทันทีเลยค่ะ”
ฉินมู่หลานทำท่าทางประหลาดใจ “อะไรนะ…เขาชอบทำร้ายร่างกายคน”
“ใช่ค่ะ แล้วก็ทำร้ายแบบรุนแรงด้วย ตอนนั้นฉันเองก็โดนเขาทำร้ายจนแทบขาดใจตาย หลังจากนั้นจึงเรียกพวกพี่ชายมาเอาเรื่องถึงหน้าประตู เกาหยวนโดนซ้อมหนักมาก ต้องนอนติดเตียงไปเกือบเดือน”
จนกระทั่งตอนนี้ หานลี่ก็ยังรู้สึกโกรธมากอยู่
“เกาหยวนคนนี้เป็นคนชอบทำร้ายผู้หญิง หลังจากที่ฉันถอนหมั้นกับเขาแล้ว เขาก็ยังมองหาตัวเลือกอื่นต่อไป แต่ฉันไม่อยากปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นต้องโดนทำร้าย หลังจากที่ดูตัวกับเกาหยวนเสร็จแล้ว ฉันจะคอยหาโอกาสบอกนิสัยของเกาหยวนให้ผู้หญิงพวกนั้นได้ฟังตลอด เขาจึงไม่ได้แต่งงานเลย”
“นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาสักระยะ เขากลับมาแต่งงานกับน้องสามีของคุณได้ เฮ้อ…พวกคุณควรจะได้ฟังตั้งแต่แรก”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าโศกของหานลี่ ฉินมู่หลานจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ฉันได้ยินน้องสามีบอกว่าเกาหยวนเคยมีคู่หมั้นก่อนหน้านี้หนึ่งคน แต่ว่าคู่หมั้นคนนั้นกลับไปแต่งกับคนอื่นแทน เกาหยวนรู้สึกเจ็บปวดใจ จึงไม่ยอมแต่งงาน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาโกหก”
“อะไรกัน…เกาหยวนจงใจใส่ร้ายฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาชอบทำร้ายร่างกาย ฉันจะถอนหมั้นไปเพื่ออะไร เจ้าคนน่ารังเกียจนี่ กลายเป็นว่าเขาเอาตัวรอดด้วยการโยนความผิดให้ฉัน ถ้าครั้งหน้าได้เจอเขา ฉันจะสั่งสอนให้หลาบจำ”
เมื่อเอ่ยจนจบ หานลี่ก็หันมองฉินมู่หลานอีกครั้งหลางเอ่ย “สหาย ถ้าคุณกลับบ้านไปแล้วก็ลองพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่สามีดูสักหน่อยนะ จะให้น้องสามีของคุณติดอยู่กับคนแบบนั้นไม่ได้ ถ้าโดนทำร้ายขึ้นมาคงจะสายเกินแก้”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก้พยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น “ได้เลย ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก คุณรีบกลับไปเถอะ”
ฉินมู่หลานตั้งใจรีบกลับ หลังจากเธอเอ่ยลาหานลี่แล้ว ก็ตรงกลับหมู่บ้านชิงซาน แต่เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยบอกพ่อสามีอย่างไร ทุกวันนี้เซี่ยเจ๋อน่าก็แต่งงานกับเกาหยวนไปแล้ว และที่บ้านก็ตัดขาดกับเซี่ยเจ๋อน่าแล้วด้วย ตราบใดที่เซี่ยเจ๋อน่ายืนกรานจะอยู่กับเกาหยวน เช่นนั้นที่บ้านก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อกลับถึงบ้าน ฉินมู่หลานก็วางของที่ซื้อมาแล้วเตรียมไปบ้านตระกูลฉิน โดยคาดไม่ถึงว่าบุรุษไปรษณีย์จะมาเสียก่อน
“ใช่คุณฉินมู่หลานหรือเปล่าครับ มีจดหมายถึงคุณหนึ่งฉบับ”
ฉินมู่หลานรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ไม่รู้ทราบว่าใครเป็นคนเขียนมาถึงเธอ เมื่อเธอองเปิดอ่าน ก็พบว่าเป็นจดหมายของเซี่ยเจ๋อหลี่
จดหมายระบุว่า หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่มาถึงกองทัพ เขาก็รีบลงทะเบียนเปลี่ยนเป็นห้องครอบครัวในทันที หลังจากนี้หากมีข่าวเพิ่มเติมจะส่งโทรเลขมาแจ้งให้ทราบ และเขายังบอกอีกด้วยว่าอีกไม่นานจะต้องออกไปทำภารกิจ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อใด แถมตรงส่วนท้ายของจดหมาย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ลงท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
เมื่อเห็นดังนั้น ฉินมู่หลานก็อดยกยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะพูดมากเช่นนี้ นอกจากนี้ยังรู้จักเป็นห่วงเป็นใย ทำให้เธอรู้สึกหวานล้ำไปทั้งใจ
หลังมองดูที่อยู่บนซองจดหมาย ฉินมู่หลานก็คิดที่จะเขียนส่งกลับไป
แต่ในตอนที่เขียนจดหมายจริงๆ เธอกลับเขียนแต่ละย่อหน้าออกมาได้อย่างแห้งแล้ง เมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองเขียน ฉินมู่หลานก็ขยำกระดาษเป็นลูกบอลแล้วโยนทิ้งไป ก่อนจะรีบเขียนอีกฉบับในทันที และพบว่าครั้งนี้แอบดีขึ้นนิดหน่อย หลังจากเธอผนึกซองจดหมายแล้ว ก็คิดจะส่งมันไปเมื่อเข้าตัวเมือง
ส่วนเซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ในหุบเขาลึกขณะนี้ก็เอาแต่นั่งนับวัน คาดคะเนว่าจดหมายที่ตนส่งไปตอนนี้ควรจะถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าฉินมู่หลานจะได้รับมันหรือไม่
เมื่อฟู่ซวี่ตงมาหา แล้วเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่จ้องมองหวีด้วยอาการเหม่อลอย ก็อดไม่ได้ที่เอ่ยขึ้นอย่างติดตลก “ทำไมเหรอ คิดถึงน้องสะใภ้หรือไง”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากหันมองฟู่ซวี่ตง เขาก็หยิบหวีขึ้นมา
หวีอันนี้เขาแกะสลักขึ้นเองในเวลาว่าง คิดเอาไว้ว่าหากพบฉินมู่หลานครั้งต่อไปจะมอบให้เธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะชอบมันหรือเปล่า
ฟู่ซวี่ตงเห็นดังนั้น จึงอดหัวเราะเสียไม่ได้ “อาหลี่ นายคิดถึงน้องสะใภ้จริงๆ ด้วย แต่ยังไงก็ต้องรอทำภารกิจให้เสร็จก่อน พวกเราถึงจะกลับกันได้ เมื่อถึงตอนนั้นนายก็จะได้ไปพาน้องสะใภ้มา ทีนี้พวกนายก็จะได้เจอหน้ากันทุกวันแล้ว”
“ใช่แล้ว ดังนั้นเราต้องจับคนให้ได้โดยเร็ว จะได้กลับเร็วสักหน่อย”
เซี่ยเจ๋อหลี่ลุกขึ้นยืนทันที แล้วไปตรวจสอบสถานการณ์อีกครั้ง
ฟู่ซวี่ตงเดินตามเขาออกไปด้วยกันเหมือนที่ทำกันตามปกติ
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงรีบลงมือทำอาหารก่อน ส่วนเรื่องจะไปบ้านตระกูลฉินคงต้องยกไปในวันพรุ่งนี้เสียแล้ว
“มู่หลาน เธอจะไปทำอาหารเหรอ มาฉันช่วยเธอเอง”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนกลับมาแล้ว โดยมีเหยาจิ้งจือกลับมาพร้อมกับหล่อนด้วย
เหยาจิ้งจือเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ย “เสวี่ยเยี่ยน มู่หลาน ให้ฉันทำอาหารเองเถอะ”
“แม่คะ แม่ไปรับเสี่ยวอวี่ที่บ้านป้าพานก่อนเถอะค่ะ ส่วนมื้อเย็นให้เป็นหน้าที่ฉันกับมู่หลานเอง”
เมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหญ่เอ่ยเช่นนั้น เหยาจิ้งจือจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก พร้อมทั้งหันหลังเดินไปบ้านป้าพานที่อยู่ถัดจากกัน
หลี่เสวี่ยเยี่ยนพาฉินมู่หลานเข้าครัว ในขณะเดียวกัน หล่อนก็เล่าเรื่องที่พบเหยาจิ้งจือให้ได้ฟังด้วย “มู่หลาน วันนี้แม่เข้าไปในเมืองกะทันหัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าไปทำอะไร ฉันถามไปตั้งสองรอบแล้ว แต่ท่านก็ไม่ยอมอธิบายอะไรเลย”
“แม่คงมีเหตุจำเป็น เพราะท่านไม่บอก พี่เองก็ไม่ต้องถามเยอะหรอกค่ะ”
ฉินมู่หลานคาดเดาได้แล้วว่าที่เหยาจิ้งจือเข้าไปในเมือง เพราะจะไปตามหาเซี่ยเจ๋อน่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งแม่และตัวลูกสาวได้พบเจอกันหรือเปล่า
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินฉินมู่หลานเอ่ยเช่นนั้น จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อืม ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ฉันจะไม่ถามแล้ว”
จนกระทั่งเซี่ยเหวินปิงกับเซี่ยเจ๋อเหว่ยกลับมาถึงบ้านในช่วงเย็น ทุกคนก็มารวมตัวกันกินข้าว ฉินมู่หลานจึงเล่าเรื่องในจดหมายที่เซี่ยเจ๋อหลี่ส่งมา
“จริงเหรอ อาหลี่ส่งจดหมายมา เขาบอกว่าอะไรบ้าง?”
เซี่ยเหวินปิงถามด้วยความอยากรู้ เพราะเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่เคยเขียนจดหมายถึงที่บ้านมาก่อน
แม้แต่เหยาจิ้งจือเองก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น
ฉินมู่หลานเล่าเนื้อหาในจดหมายให้ฟังโดยสังเขป หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสริม “ถ้าลงทะเบียนห้องครอบครัวเรียบร้อยแล้ว จะส่งโทรเลขกลับมา ถึงตอนนั้นก็ให้ฉันย้ายไปอยู่ด้วยกันได้เลยค่ะ”
“ดีเลย อย่างนั้นก็ดีมาก”
เซี่ยเหวินปิงทราบข่าวว่าลูกชายคนรองจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงรู้สึกโล่งใจ ส่วนเซี่ยเจ๋อเหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็ดีใจเช่นกัน
กระทั่งครอบครัวกินข้าวเสร็จ หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เก็บจานไปล้าง ฉินมู่หลานช่วยเธอเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้าห้องไป
แต่ไม่ทันที่ฉินมู่หลานจะได้ทิ้งตัวนั่งลงในห้อง ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงมาจากข้างนอก เป็นเซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือกำลังเปิดฉากทะเลาะกันขึ้นมานั่นเอง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวนี้ระดับความคลั่งรักของพี่หลี่มันมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะ ถึงขั้นแกะหวีให้เมียเลย
แม่ต้องไปรู้อะไรเกี่ยวกับตาเกาหยวนคนตีเมียนั่นแล้วแน่ๆ เลยมาทะเลาะกับพ่อ