ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 55 เกลียดที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 55 เกลียดที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า

ตอนที่ 55 เกลียดที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า

ฉินมู่หลานเห็นหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเดินมา บนใบหน้าแสดงถึงความประหลาดใจ “พวกพี่มาทำไมคะ”

“ฉันกับซ่งอวี้เฟิ่งจะเข้าไปซื้อของในเมือง เธออยากไปด้วยกันไหม”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ เพราะตนกับพวกหล่อนดูเหมือนจะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

“มู่หลาน พวกเราไปด้วยกันเถอะ ไปกันเยอะๆ จะได้มีเพื่อน” หวังจาวตี้อยากหาซื้อของอร่อย และซื้อกระจกให้ตัวเองอีกหนึ่งอัน ส่วนซ่งอวี้เฟิ่งอยากซื้อกระติกน้ำร้อน ก่อนที่พวกเธอจะก้าวเท้าออกจากบ้านก็ได้มีความคิดอยากชวนฉินมู่หลานไปด้วยกัน ดังนั้นจึงมาหา

ซ่งอวี้เฟิ่งมองฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ยขึ้น “มู่หลาน พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ”

หล่อนเคยได้ยินหวังจาวตี้เล่าเรื่องฝีมือการรักษาของฉินมู่หลานให้ฟังแล้ว เธอจึงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าน้องสามีต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว น้องสามีคนนี้มีความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นใครจะสามารถยืนยันได้ว่าตนเองจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นจึงต้องผูกมิตรกับฉินมู่หลานเอาไว้เหมือนกับหวังจาวตี้ในตอนนี้ เพราะหล่อนคงรู้สึกไม่ดีหากต้องถึงมือคุณปู่เป็นผู้ตรวจ

ฉินมู่หลานเห็นทั้งสองตั้งใจมาก เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอ่ยขึ้น “ก็ได้ค่ะ”

ในเมื่อได้เข้าเมืองทั้งที เธอจะได้ส่งจดหมายที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้าให้ออกไปให้เซี่ยเจ๋อหลี่ด้วย

เมื่อหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งเห็นว่าฉินมู่หลานยอมไป ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากทั้งสามคนมาถึงเมือง ก็ได้ไปส่งจดหมายที่ทำการไปรษณีย์ก่อน หลังจากนั้นจึงไปเดินเลือกซื้อของกัน

หลังจากที่หวังจาวตี้ทราบว่าฉินมู่หลานส่งจดหมายหาเซี่ยเจ๋อหลี่ จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มู่หลาน แล้วสามีเธอจะกลับมาตอนไหนหรือ ถ้าเขาไม่กลับมา เธอก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอด และอยู่ห่างกันคนละที่แบบนี้ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกี่ครั้ง”

ซ่งอวี้เฟิ่งอดไม่ได้ที่จะสะกิดหวังจาวตี้ คนผู้นี้ทำไมถึงได้ปากพล่อยเช่นนี้กันนะ

หลังจากนั้นหวังจาวตี้ก็กลับมามีสติอีกครั้ง การที่ตนพูดไปอย่างนั้น จะทำให้ฉินมู่หลานรู้สึกเศร้าหรือเปล่านะ เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน สามีก็ต้องจากไปนอกบ้านเสียแล้ว ซ้ำยังไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อใดด้วย

ฉินมู่หลานจึงยกยิ้ม พลางเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ อาหลี่กำลังลงทะเบียนห้องครอบครัวอยู่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะย้ายไปอยู่กับเขา หลังจากนั้นเราสองคนก็จะไม่ต้องแยกกันแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งก็ตกใจนิดหน่อย

“จริงเหรอเนี่ย ถ้าอย่างนั้นเธอจะไปเมื่อไหร่? ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ก็จะได้เจอเธอยากแล้วสิ?”

ฉินมู่หลานเองก็ยังไม่รู้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะจัดการเรื่องห้องเสร็จตอนไหน จึงส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะไปตอนไหน แต่ถ้าไปแล้ว ก็นาน ๆ ทีกว่าจะกลับค่ะ”

หวังจาวตี้ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

“ถ้าอย่างนั้น…หลังจากนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไปหาเธอไม่ได้แล้วสิ”

ซ่งอวี้เฟิ่งเองก็คิดแบบเดียวกัน รู้สึกว่าความพยายามของตนเองในวันนี้ค่อนข้างสูญเปล่า ใครจะไปรู้ว่าฉินมู่หลานจะต้องออกจากหมู่บ้านชิงซานเมื่อใด แต่เมื่อนึกถึงฝีมือการรักษาของฉินมู่หลานแล้ว หล่อนก็ยังยกยิ้มให้กับฉินมู่หลาน “มู่หลาน ถ้าได้อยู่ด้วยกันกับคู่ครองก็ย่อมดีกว่าเสมอ รอน้องเขยจัดการเรื่องเสร็จ เธอก็ควรจะรีบไปอยู่ที่นั่นนะ”

ระหว่างที่ทั้งสามคนพูดคุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงร้านค้าสวัสดิการ

หลังจากหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมพร้อมที่จะกลับแล้ว แต่ก้าวเดินต่อไปได้ไม่เท่าใด ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มกันอยู่ข้างหน้า

ต่อสู้

“เอ๊ะ…มู่หลาน นั่นใช่พ่อแม่สามีของเธอหรือเปล่า

เมื่อได้ยินหวังจาวตี้เอ่ย ฉินมู่หลานจึงหันมองไป ก่อนจะพบว่าเป็นพวกเซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือจริงๆ ตอนนี้เซี่ยเหวินปิงกับเซี่ยเจ๋อเหว่ยกำลังรุมเตะต่อยเกาหยวน โดยมีเซี่ยเจ๋อน่ายืนมองด้วยสีหน้าสุขใจอยู่ด้านข้าง

เมื่อเห็นดังนั้น ฉินมู่หลานก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก เธอไม่ได้มาด้วย แต่สุดท้ายก็ได้มาเห็นจนได้

“มู่หลาน พวกเขากำลังเตะต่อยใครอยู่เหรอ พวกเราควรเข้าไปช่วยไหม”

เมื่อเห็นว่าเป็นครอบครัวฝั่งสามีของฉินมู่หลาน และตนเองได้รับความช่วยเหลือจากฉินมู่หลาน หวังจาวตี้จึงเอ่ยถามอย่างตั้งใจ

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็ส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกค่ะ เกาหยวนคนนั้นกำลังโดนทุบตี ไม่ต้องให้พวกเราเข้าไปช่วยหรอกค่ะ”

เมื่อเป็นเช่นนั้น หวังจาวตี้จึงไม่เอ่ยสิ่งใดมากมายอีก

แต่ซ่งอวี้เฟิ่งยังคงเอ่ยถามต่อไป “มู่หลาน คนที่กำลังโดนอัดอยู่นั่นใครเหรอ?”

ปกติแล้วฉินมู่หลานก็ไม่ได้อยากเก็บเรื่องของเซี่ยเจ๋อน่าเป็นความลับ จึงเล่าให้ฟังตามตรง

เมื่อหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งได้ฟังเเรื่องราว สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ

“อะไรนะ…คนนั้นคือสามีของเซี่ยเจ๋อน่าเองหรอกหรือ เพิ่งแต่งกันไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็ทำร้ายเซี่ยเจ๋อน่าแล้ว ผู้ชายแบบนี้คบไม่ได้”

“คบไม่ได้จริงด้วย ดูจากสภาพของเซี่ยเจ๋อน่าแล้ว โดนทำร้ายแรงมากนะ ต่อให้เป็นผู้ชายที่ชอบใช้กำลังทุบตีในหมู่บ้าน ยังไม่ทุบตีภรรยารุนแรงขนาดนี้เลย”

หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งต่างจ้องมองเกาหยวนที่กำลังโดนอัด พลางรู้สึกว่าแม้เซี่ยเจ๋อน่าจะได้แต่งงานกับคนในเมือง แต่ชีวิตก็ไม่ได้เรียบง่ายสุขสบายเหมือนที่คิด

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเหวินปิงกับเซี่ยเจ๋อเหว่ยหยุดมือแล้ว

เซี่ยเหวินปิงมองไปที่เกาหยวนก่อนจะเอ่ยถาม “วันหลังจะทำร้ายอยู่อีกไหม?”

“ม…ไม่ทำแล้วครับ”

เกาหยวนนั่งยองอยู่บนพื้นในท่าทางกุมหัว รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว เขาเมามาสักพักหนึ่งได้แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เขาทำร้ายเซี่ยเจ๋อน่า นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกลับไปฟ้องที่บ้าน เขาจึงได้โดนอัดเละเช่นนี้

เซี่ยเจ๋อเหว่ยเห็นว่าเกาหยวนยอมจำนน จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ต่อไปถ้ากล้าทุบตีน้องสาวฉันอีก พวกฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

ผู้คนรอบข้างจ้องมองแล้วพากันชี้ไปที่เกาหยวน

“ไอ้หมอนี่เป็นคนซ้อมภรรยานี่เอง”

“ใช่แล้ว ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษมาก แต่กลับทำร้ายภรรยา”

“แต่ครอบครัวของภรรยาเขาก็ยอดเยี่ยมใช่หยอก เห็นว่าลูกสาวโดนทำร้าย ก็มาสั่งสอนสามีเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดรอบตัว สายตาของเกาหยวนก็เต็มไปด้วยความชิงชัง

เดิมทีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเขามีนิสัยชอบทำร้ายร่างกาย แต่เป็นเพราะครอบครัวของเซี่ยเจ๋อน่า จึงทำให้มีคนรู้เรื่องของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ชื่อเสียงของเขาจึงป่นปี้

เซี่ยเหวินปิงไม่ได้สนใจความคิดของเกาหยวน เขาหันไปมองทางลูกสาวก่อนจะเอ่ยถาม “ตอนนี้แกจะกลับบ้านกับพวกเราไหม?”

“พ่อ หนูต้องกลับไปบ้านปัจจุบันของตัวเอง หนูแต่งกับเกาหยวนแล้ว จากนี้ไปเป็นคนตระกูลเกาแล้ว จะให้กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านชิงซานได้ยังไง”

เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยเหวินปิงก็เหลือบมองลูกสาวตนด้วยความชิงชัง รู้สึกว่ามีเพียงลูกสาวของเขาเท่านั้นที่จะยืนกรานเช่นนี้ได้

“ได้ ในเมื่อแกอยากกลับไปบ้านตระกูลเกา ถ้าอย่างนั้นพวกฉันจะกลับแล้ว แล้วแกอย่าเสนอหน้ากลับไปที่บ้านอีก แกหย่ากับเกาหยวนเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นแกค่อยกลับบ้าน”

ตอนแรกเขาก็ไม่พอใจในตัวเกาหยวนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าตอนนี้เขาทำร้ายร่างกายคน คนชั่วช้าเช่นนี้ไม่สมควรแต่งภรรยา น่าเสียดายนักที่ลูกสาวของตนยังคงปักใจจะอยู่กับเขา

เซี่ยเจ๋อน่าไม่ได้ใส่ใจคำพูดพวกนั้นเลย ครั้งนี้หล่อนกลับบ้านไปตามปกติ แล้วพ่อกับแม่ก็พร้อมใจกันมายืนหยัดสู้เพื่อหล่อนเอง

เกาหยวนได้ยินคำพูดของเซี่ยเจ๋อน่า จึงแค่นหัวเราะขึ้น สุดท้ายเขาก็เหลือบมองเซี่ยเหวินปิงกับเซี่ยเจ๋อเหว่ยด้วยสายตายั่วยุ ก่อนจะพาเซี่ยเจ๋อน่าจากไปทันที

เซี่ยเหวินปิงมองทั้งสองที่เดินจากไป ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างหน่าย ๆ แล้วเอ่ยกับเหยาจิ้งจือ “เอาเถอะ พวกเราเองก็กลับกันเถอะ”

ทั้งสองเดินมาพร้อมกับลูกชายคนโต ไม่คาดคิดว่าหันกลับไปแล้วจะพบฉินมู่หลาน

“พ่อคะแม่คะ พอดีฉันกับพี่สะใภ้สองคนมาซื้อของนิดหน่อย พวกเธอจะกลับกันแล้ว พวกเรากลับด้วยกันเลยไหมคะ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อย่าได้ใจไปนะยัยเจ๋อ พ่อกับแม่มาช่วยครั้งนี้ใช่ว่าจะมาช่วยได้ตลอดนะ โดนทุบมาคราวหน้าอาจจะไม่ได้ไปช่วยแล้วนะ

ดูสายตาไอ้คนตีเมียแล้วครั้งหน้ามันน่าจะตีหนักกว่าเดิมอีกมั้งนี่ โดนแฉกลางที่สาธารณะแบบนี้มันต้องแค้นกว่าเก่าแน่

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท