ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 64 จับตัวได้

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 64 จับตัวได้

ตอนที่ 64 จับตัวได้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็พยักหน้าและพูดขึ้น “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ขณะที่เอ่ยเช่นนั้นเธอก็กำลังคิดที่จะเดินออกไป

จวงเหวินกังเห็นดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นทันที “สหายฉิน ถ้ามีคนสะกดรอยตามคุณจริง ๆ อย่างนั้นอยากให้ผมส่งคนไปคุ้มกันไหมครับ”

“แต่ฉันยังเห็นไม่ชัดเจนเลยนะคะว่ามีคนสะกดรอยตามจริง ๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น จวงเหวินกังก็อดที่จะพูดไม่ได้ “บางทีคนผู้นั้นอาจจะรู้ว่าคุณกำลังจะมาที่นี่ ก็เลยหยุดตามคุณหรือเปล่าครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานเองก็เหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

เมื่อคิดได้ดังนั้น จวงเหวินกังก็ยังคงยืนกรานตามเดิม “สหายฉิน ผมจะให้คนคอยตามประกบคุณ เผื่อว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”

ฉินมู่หลานคิดอยู่สักครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

“ค่ะ รบกวนเจ้าหน้าที่จวงด้วยนะคะ แค่ไปส่งฉันถึงเมืองก็พอค่ะ แล้วฉันจะกลับบ้านเอง”

“ครับ ตกลงตามนั้น”

จวงเหวินกังพยักหน้า สุดท้ายก็ขอให้เสี่ยวหลิวพาฉินมู่หลานกลับไป

เมื่อเสี่ยวหลิวได้รับงานนี้ ก็รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่จวงค่อนข้างทำเกินไป ตอนนี้ผู้ชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าคงหลบซ่อนตัวไม่โผล่หน้าออกมาแล้ว จะมาสะกดรอยตามฉินมู่หลานได้อย่างไร และหากจะต้องติดตาม พวกเขาควรจะเป็นฝ่ายติดตามหาตัวพวกมันแล้วทำลายเครือข่ายค้ามนุษย์มิใช่หรือ

ถึงจะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่เสี่ยวหลิวก็ไม่ได้เอ่ยออกมา และเดินตามหลังฉินมู่หลาน เพื่อเตรียมตัวไปส่งเธอกลับบ้าน

ฉินมู่หลานหันกลับไปมองเสี่ยวหลิวก่อนจะพูดขึ้น “เสี่ยวหลิว รบกวนคุณแล้วค่ะ”

เสี่ยวหลิวส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ไม่รบกวนหรอกครับ นี่เป็นหน้าที่ของผม” หลังจากทั้งสองคนพูดคุยกันแล้ว ขณะที่ทั้งสองกำลังจะข้ามถนนสายหนึ่ง ก็พบกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง และดูเหมือนว่าคนที่เดินนำมาจะมีรอยแผลเป็นบนหน้าด้วย

เมื่อมองกลุ่มคนตรงหน้า เสี่ยวหลิวก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ข…เขาสะกดรอยตามคุณจริงด้วย คงอยากจับคุณ แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ วันนั้นคุณไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แล้วทำไมเขาถึงจำคุณได้ล่ะ”

เมื่อคิดเช่นนั้น เสี่ยวหลิวก็รู้สึกใจคอไม่ดี

เขายังไม่ทันได้ส่งหญิงสาวผู้นี้กลับบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง เขาทำหน้าที่ได้ไม่สำเร็จอย่างนั้นใช่ไหม ขณะเดียวกันก็แอบคิดว่าทำไมตนถึงได้ประมาทแบบนี้ ควรจะเรียกพวกมาด้วยอีกสักสองสามคน แล้วไปส่งฉินมู่หบานกลับบ้านด้วยกัน แต่กว่าจะคิดได้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

ขณะที่เสี่ยวหลิวกำลังคิดอะไรบางอย่าง เจ้าหน้าบากและพรรคพวกก็เข้ามาขวางทางพวกเขาเอาไว้

เมื่อเห็นคนพวกนั้นอยู่ตรงหน้า เสี่ยวหลิวก็อดที่จะพูดขึ้นมาเสียไม่ได้ “เป็นอย่างที่คิด แกนี่เองที่สะกดรอยตามสหายฉิน บอกมาว่าคิดจะทำอะไร” หลังจากเอ่ยจนจบ ภายในใจเขาก็แอบสับสนนิดหน่อย ฉินมู่หลานเป็นคนแจ้งความให้ผู้กองจวงและเขาทราบ ไม่มีใครรู้เรื่องนั้น แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่ฉินมู่หลานกันนะ

เจ้าหน้าบากไม่ได้สนใจเสี่ยวหลิวแม้แต่น้อย เขาจ้องมองตรงไปที่ฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้น “นังผู้หญิงนี่ช่างร้ายกาจเสียจริง เป็นเพราะแก จึงทำให้คนของฉันถูกจับไปตั้งมากมาย”

คนที่อยู่ข้างหลังเจ้าหน้าบากเอ่ยขึ้นทันที “พอแล้วไอ้หน้าบาก แกจะพูดอะไรกับนังนั่นหนักหนา จับพวกทันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ถึงมันจะอ้วนไปหน่อย แต่เดี๋ยวนี้คนชอบแบบนี้กันเยอะแยะ แถมนังนี่ก็ดูดีใช้ได้เลย พวกเรารีบลงมือให้มันจบ ๆ เสียเถอะ”

เมื่อเจ้าหน้าบากได้ยินเช่นนี้ จีงไม่เอ่ยพูดสิ่งใดให้มากความอีก พลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ รีบจับพวกมันให้จบ ๆ ไป”

กลุ่มคนพวกนั้นค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาฉินมู่หลานกับเสี่ยวหลิว

เมื่อเสี่ยวหลิวเห็นดังนั้น จึงรีบหันไปบอกฉินมู่หลานทันที “สหายฉิน ผมจะถ่วงเวลาพวกมันเอง คุณรีบวิ่งหนีไป”

“เหอะ…วันนี้พวกแกหน้าไหนก็อย่าหวังจะหนีไปได้” เมื่อเอ่ยจบ เจ้าหน้าบากก็รีบพุ่งไปทางเสี่ยวหลิว “ฉันเองก็จำแกได้ ตอนนั้นแกก็อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันจะจับแกไปด้วย”

“เสี่ยวหลิว…”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่เสี่ยวหลิวเอ่ย แต่จะทิ้งคนเอาไว้ได้อย่างไร เธอทำเช่นนั้นไม่ได้จริง ๆ นอกจากนี้เสี่ยวหลิวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะต้องการส่งเธอกลับ เธอไม่มีทางหนีไปคนเดียวแน่

เสี่ยวหลิวมีฝีมือค่อนข้างดี แต่ก็ยังสู้ชายหน้าบากที่กำลังกระหายเลือดไม่ได้ ผ่านไปเพียงไม่นาน เขาก็โดนจับตัวเอาไว้จนได้

ฉินมู่หลานที่อยู่ทางด้านนี้ก็มีคนมากมายกำลังล้อมรอบตัวเธอเช่นกัน เธอแอบคิดคำนวณอยู่ในใจหวังจะลงมือ แต่แล้วเจ้าหน้าบากก็ตะโกนขึ้นมา “พวกแกระวังนะ นังนี่มันมีฝีมือ ตอนนั้นเหล่าเอ้อร์ เหล่าซานกับเหล่าฉีก็ตกม้าตายเพราะแบบนี้”

เจ้าหน้าบากกำลังจับเสี่ยวหลิวอยู่อีกด้านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็สนใจกับสถานการณ์ทางด้านฉินมู่หลานด้วย ดังนั้นจึงสามารถจับสังเกตท่าทางการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของฉินมู่หลานได้ และตะโกนร้องเตือนขึ้นมา

คนพวกนั้นได้ยินก็รีบถอยห่างออกไป

“เจ้าหน้าบาก แกไม่ได้หลอกกันใช่ไหม ฉันดูแล้วนังนี่ไม่เห็นจะทำอะไรได้เลย” คนผู้นี้เดิมทีรู้สึกไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ตอนนี้เมื่อเห็นเจ้าหน้าบากกำลังกังวลที่จะจัดการกับหญิงสาวเพียงคนเดียว สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก

“เราควรจะจับนังนี่ได้ตั้งนานแล้ว แต่แกก็ยังลีลา เลยต้องรอมาจนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าบาก ทำไมเดี๋ยวนี้แกถึงได้ขี้ขลาดอย่างนี้” ถ้าพวกเขาจับคนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เรื่องก็คงไม่ต้องบานปลายมาถึงขนาดนี้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วพร้อมทั้งพูดขึ้น “กลายเป็นว่ามาสะกดรอยตามฉันมากกว่าหนึ่งคนอีก ตอนนั้นพวกแกทุกคนคงมารวมตัวกันสินะ”

ชายที่เพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ใช่แล้ว พวกฉันอยู่กันหมด แล้วก็คงจับแกได้แล้วด้วย ถ้าเจ้าหน้าบากมันไม่ปอดแหกกังวลนู่นนี่นั่นเสียก่อน ตอนนี้เลยต้องมาจับตำรวจตัวน้อยนี่ไปด้วย เพิ่มปัญหาเข้าไปอีกหนึ่ง ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็มีนัยน์ตาเป็นประกายวาบขึ้นมา

เจ้าหน้าบากกับคนพวกนั้นที่เขาพามาด้วยคิดเห็นไม่ตรงกัน คนพวกนี้ไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าบาก และค่อนข้างคิดน้อยไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะอาศัยประโยชน์จากสถานการณ์แบบนี้ได้สักหน่อยไหมนะ

ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังคิดแผน เจ้าหน้าบากก็ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกแกมันจะไปรู้อะไร ทำเลตรงนั้นมันไม่เหมาะที่จะลงมือ แค่มองก็รู้แล้วว่านังนี่กำลังจะเดินไปสถานีตำรวจ แล้วตะให้พวกเราลงมือจับตัวคนใกล้สถานที่แบบนั้นเหรอ”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงหันมองรอบตัวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่ารอบด้านปลอดผู้คน ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับจับคนเหลือเกิน ไม่เหมือนกับตอนที่เธอรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามที่ตอนนั้นค่อนข้างพลุกพล่าน กลายเป็นว่าเจ้าหน้าบากกลับคิดรอบคอบดี และเขาก็เดาไม่ผิดด้วยว่าตอนนั้นเธอกำลังมุ่งหน้าไปสถานีตำรวจ

แต่ถึงอย่างไร คนพวกนั้นก็ไม่ยอมฟังเหตุผลนั้นเลย

“ตอนแรกมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่แกก็มาทำให้มันยุ่งยากซับซ้อน ตอนนี้พอจะลงมือแกก็พูดอีก ถ้าอย่างนั้นแกก็พูดมาว่าพวกเราควรจะทำยังไง”

เจ้าหน้าบากไม่ได้สนใจคนพวกนั้นที่เขาพามาด้วยเลย แน่นอนว่าเขาทราบดีว่าคนพวกนั้นไม่ได้ยอมเชื่อฟังเขาทั้งหมด เขาไปขอยืมคนพวกนี้มาจากผู้อื่น มันจึงไม่ง่ายที่จะควบคุม แต่วันนี้ เขาอยากจับฉินมู่หลานให้ได้เสียจริง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เจ้าหน้าบากก็หันมองไปทางฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเดินมาหาแต่โดยดี ฉันจะปล่อยเจ้าตำรวจตัวน้อยนี่ไป แกลองคิดดูดี ๆ”

ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวหลิวก็รีบส่ายศีรษะแล้วเอ่ยบอกฉินมู่หลานทันที “อย่าฟังเขา เขาโกหก”

“ฮ่าฮ่า…ตอนนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับแกแล้วแหละว่าจะยอมเชื่อไหม”

ฉินมู่หลานเห็นรอยยิ้มแสนชั่วร้ายบนหน้าของเจ้าหน้าบาก จึงเอ่ยปากพูด “แกพูดจริงเหรอ?”

“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ขอแค่แกยอมมาให้จับแต่โดยดี ฉันก็จะปล่อยมันไป”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวหลิวก็คิดว่าเขาหว่านล้อมฉินมู่หลานได้แล้ว เขาไม่สามารถทนอยู่เฉยดูฉินมู่หลานโดนจับไป จึงเอ่ยตะโกนเสียงดัง “คุณรีบไปบอกผู้กองจวง วิ่งเร็วเข้า อย่าไปเชื่อคำโกหกของพวกมัน ถ้ามันจับตัวคุณได้แต่ไม่ยอมปล่อยผมจริงๆ จะทำยังไง ถึงตอนนั้น พวกเราสองคนก็จะโดนจับเอาไว้ที่นี่กันหมด”

เจ้าหน้าบากมองเสี่ยวหลิวด้วยใบหน้าดุร้าย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หุบปาก ถ้าแกไม่หุบปาก ฉันจะฆ่าแกเสียตอนนี้ล่ะ”

หลังจากเอ่ยจบ เจ้าหน้าบากก็หยิบมีดออกมาด้วยสีหน้าไม่แยแสแต่อย่างใด ก่อนจะนำมันมาจ่อเอาไว้ตรงคอของเสี่ยวหลิว เขาเคยปลิดชีวิตคนมาตั้งมากมายแล้ว ดังนั้นฆ่าคนอีกสักหนึ่งคนก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปนัก

ฉินมู่หลานเห็นสายตาของเจ้าหน้าบากแล้วก็รู้ว่าเขาจริงจัง จึงไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นทันที “ได้ ฉันจะไป รีบปล่อยเสี่ยวหลิวไปซะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าหน้าบากก็หัวเราะขึ้น

“ได้สิ เธอก็รีบมา”

“ไม่ แกปล่อยเสี่ยวหลิวก่อนสิ”

เจ้าหน้าบากได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “ตอนนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแกแล้วนะ”

ขณะที่เอ่ยก็กดคมมีดบนลำคอเสี่ยวหลิวจนมีรอยเลือดไหลซิบออกมาทันที

“หยุดนะ ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”

ฉินมู่หลานค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามา ก่อนจะค่อย ๆ พูดขึ้น “ฉันรู้ว่าเป้าหมายของแกคือฉัน เพราะฉะนั้นอย่าตื่นตกใจไป พวกแกยังมีพรรคพวกอีกตั้งหลายคน แล้วฉันจะหนีไปไหนได้”

ชายที่เพิ่งเอ่ยพูดไปนั้นได้ยินสิ่งที่ฉินมู่หลานเอ่ย จึงหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะพูดขึ้น “ใช่แล้วเจ้าหน้าบาก เมื่อไหร่แกจะเลิกกังวลสักที ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หน้าบากอย่างแกจะกลายเป็นแบบนี้”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ คนผู้นี้ก็คอยขัดคอมาโดยตลอด จึงทำให้ใบหน้าของเจ้าหน้าบากค่อนข้างยับยู่อย่างไม่พอใจ แต่ตอนนี้เขาต้องการกำลังคนพวกนี้ จึงพูดอะไรไม่ได้มาก เพียงแค่นึกเสียใจนิดหน่อย

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรกับคนพวกนี้ แต่ฉินมู่หลานก็ไม่ได้เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย “นังผู้หญิงสารเลว ทำไมถึงยังไม่รีบมาอีก”

ฉินมู่หลานค่อย ๆ เดินเข้าไป เมื่อไปอยู่ใกล้เสี่ยวหลิวแล้ว เขาก็ผลักเสี่ยวหลิวออกไปไกล ๆ และจับเธอเอาไว้ในมือแทน

“สหายฉิน…”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พวกมันวางแผนมาเป็นขั้นเป็นตอนเลยนี่หว่า แล้วเอาพวกมาเยอะแยะขนาดนี้มีสองคนจะสู้อะไรได้

ขอให้มู่หลานปลอดภัยด้วยเถอะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท