ตอนที่ 122 ดูแลให้ดี
ตอนที่ 122 ดูแลให้ดี
โดยไม่รอให้เสิ่นหรูฮวนกล่าว ฟู่ซวี่ตงก็เอ่ยปากกล่าว “สวัสดีครับ ผมชื่อฟู่ซวี่ตง”
เจิ้งเต๋อข่ายเงยหน้าขึ้นและพบว่าชายตรงหน้านั้นหน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ เมื่อเห็นเขานั่งอยู่กับเสิ่นหรูฮวน ก็พลันเกิดภาพลวงตาว่าเป็นคู่รักชายหญิงที่เหมาะสมต่อกัน สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น
แม้ตนเองจะไม่ชอบเสิ่นหรูฮวน แต่ในเมื่อตระกูลเสิ่นต้องการเขา ก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเสิ่นหรูฮวน “สวัสดีครับ ผมชื่อเจิ้งเต๋อข่าย เป็นคู่หมั้นของหรูฮวน”
ได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหรูฮวนจึงเอ่ยโดยไม่รู้ตัว “เจิ้งเต๋อข่าย พวกเรายังไม่ได้หมั้นกัน คุณไม่ใช่คู่หมั้นของฉัน”
“คุณ……”
เมื่อเห็นเสิ่นหรูฮวนปฏิเสธตน เจิ้งเต๋อข่ายก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าฟู่ซวี่ตงคงเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ตระกูลเสิ่นหาไว้ให้กับเสิ่นหรูฮวน พวกเขากำลังหาตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่สินะ “หรูฮวน ถึงตอนนี้พวกเรายังไม่ได้หมั้นกัน แต่เร็วๆ นี้ก็กำลังจะหมั้นกันแล้ว ผมบอกว่าผมคือคู่หมั้นของคุณ นี่ผมคงจะไม่ได้พูดผิดหรอกใช่ไหม”
เสิ่นหรูฮวนเห็นท่าทางยืนกรานของเจิ้งเต๋อข่าย หล่อนก็คร้านเกินกว่าจะพูดคุยอะไรกับเขาอีก
เสิ่นเจิ้นอวี่ที่อยู่ด้านข้างกล่าว “เต๋อข่าย เธอนั่งลงก่อนเถอะ พวกเรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
เมื่อเห็นเสิ่นเจิ้นอวี่กล่าวเช่นนี้ เจิ้งเต๋อข่ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก แม้ว่าตรงหน้าเขาจะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างจืดชืดเหมือนกินเทียนไข[1] รู้สึกว่าอาหารเที่ยงมื้อนี้ยากลำบากเป็นพิเศษ
ฉินมู่หลานเพิกเฉยต่อเจิ้งเต๋อข่าย เธอกินโดยไม่สนใจสิ่งใด เซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ด้านข้างกำลังแกะก้างปลาและคีบอาหาร ดังนั้นเธอจึงกินอย่างมีความสุขมาก
เดิมทีถงทิงผิงอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากการมาถึงของเจิ้งเต๋อข่าย แต่เมื่อเห็นฉินมู่หลานกินอาหารอย่างมีความสุขขนาดนั้น ใบหน้าค่อยๆปรากฏรอยยิ้ม
ฟู่ซวี่ตงมองเสิ่นหรูฮวน จากนั้นมองเจิ้งเต๋อข่าย พวกเขาทั้งสองคนดูไม่เหมือนคนที่กำลังจะหมั้นกันแม้แต่น้อย ดูเหมือนคู่เวรคู่กรรมอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวคำนี้ได้ ทำได้เพียงแค่ก้มศีรษะกินอาหาร ซึ่งในตอนแรกเขากล่าวแล้วว่าจะไม่มากินอาหารที่บ้านตระกูลเสิ่น ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า มีคนจ้องมองเขากินอาหารอยู่ข้างๆ เต็มไปหมด แม้กับข้าวจะอร่อยขนาดไหน เขาก็รู้สึกกินไม่ลงอีกต่อไปแล้ว
กว่าจะกินข้าวจนหมดนั้นไม่ง่ายเลย ฟู่ซวี่ตงจึงวางแผนจะกลับบ้าน
ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่เองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะว่าฉินมู่หลานต้องการงีบหลับในช่วงบ่าย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ต้องการพาภรรยากลับไปเช่นกัน
ถงทิงผิงเห็นว่าพวกเขากำลังจะจากไป หล่อนพลันรีบคว้าฉินมู่หลานและกล่าว “มู่หลาน ถ้าพวกเธอมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ นะ”
“คุณป้าคะ พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องกลับแล้วค่ะ หลังจากนี้หากมาเมืองหลวง ฉันจะแวะมานะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของถงทิงผิงก็พลันเศร้าสร้อย “ทำไมกลับเร็วแบบนี้”
อย่างไรก็ตามหล่อนเองก็รู้ว่าใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว พวกเขาจะต้องกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดอย่างแน่นอน ทำได้เพียงแค่กล่าวอย่างอาวรณ์ “งั้นครั้งหน้ากลับมาเมืองหลวงอีกนะ”
“ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มพลางกล่าว จากนั้นก็กลับบ้านไปพร้อมกับเซี่ยเจ๋อหลี่ ฟู่ซวี่ตงเองก็ตามหลังพวกเขาและจากไปเช่นกัน
หลังจากทั้งสามคนออกจากบ้านตระกูลเสิ่น ฟู่ซวี่ตงมองฉินมู่หลานและเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจิ้งเต๋อข่ายคนนั้นกับเสิ่นหรูฮวนกำลังจะหมั้นกันจริงเหรอ ทำไมฉันเห็นพวกเขาทั้งสองคนดูไม่เหมือนคู่รักเลย”
ยากนักที่เซี่ยเจ๋อหลี่จะเอ่ยปาก
“เจิ้งเต๋อข่ายคนนั้นไม่ใช่คนรักที่ดี”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่ซวี่ตงพลันหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเต็มเปี่ยม จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “อาหลี่ ปกตินายไม่พูดจาให้ร้ายคนอื่นนะ คาดไม่ถึงว่าจะมีความคิดเลวร้ายแบบนี้กับเจิ้งเต๋อข่ายคนนั้น เขาคนนั้นจะต้องมีปัญหาบางอย่างใช่ไหม”
ฉินมู่หลานคิดมากขึ้นเล็กน้อย พรุ่งนี้เธอและเซี่ยเจ๋อหลี่ต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว แต่เธอได้ยินอาหลี่กล่าวว่าฟู่ซวี่ตงจะกลับเข้าร่วมทีมหลังจากปีใหม่ ดังนั้นคงให้เขาช่วยดูแลเสิ่นหรูฮวนมากขึ้นได้
“สหายฟู่……”
ฉินมู่หลานยังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกฟู่ซวี่ตงขัดบทสนทนา “น้องสะใภ้ คุณเรียกชื่อผมก็พอแล้ว ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้”
เห็นฟู่ซวี่ตงกล่าวเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็เอ่ยอย่างคล้อยตาม “งั้นฉันเรียกคุณว่าซวี่ตงแล้วกันค่ะ เจิ้งเต๋อข่ายคนนั้นไม่ใช่คนรักที่ดีจริงๆ”
ขณะกล่าวเธอเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ สุดท้ายกล่าว “ฉันสงสัยว่าซูอวี้เจี๋ยจะไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเจิ้งเต๋อข่าย ดังนั้นช่วงนี้คุณช่วยให้ความสนใจเรื่องนี้สักหน่อยนะคะ หรูฮวนเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ฉันไม่ต้องการให้ชีวิตหลังแต่งงานของหล่อนไร้ซึ่งความสุข”
หลังจากฟู่ซวี่ตงได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน ความประทับใจที่มีต่อเจิ้งเต๋อข่ายก็พลันลดต่ำลง
“น้องสะใภ้วางใจเถอะ ผมจะให้ความสนใจตระกูลเสิ่นให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะสอบถามเรื่องของเจิ้งเต๋อข่ายนั้นด้วย หากเจิ้งเต๋อข่ายไม่ใช่คนดีจริงๆ ผมจะบอกคนตระกูลเสิ่นอย่างแน่นอน”
“ค่ะ รบกวนคุณแล้วซวี่ตง”
“ยินดีครับน้องสะใภ้”
พวกเขาพูดคุยกันก่อนแยกทางกันตรงบริเวณทางแยก
หลังฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋ยหลี่กลับมาถึงบ้าน เจี่ยงสือเหิงก็อยู่ที่นั่นและกำลังบอกให้ลุงเจี่ยงจัดเก็บข้าวของ
“พ่อบุญธรรม พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่คะ?”
เจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาแล้ว เขาก็ยิ้มและโบกมือให้กับพวกเขาพลางเอ่ย “มู่หลาน อาหลี่ ฉันเตรียมของขวัญปีใหม่ให้กับตระกูลของพวกเธอทั้งสองคนแล้ว พรุ่งนี้เมื่อพวกเธอกลับไปก็นำสิ่งของเหล่านี้กลับไปด้วยนะ”
ฉินมู่หลานเห็นเจี่ยงสือเหิงเตรียมของไว้มากมายจึงเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พ่อบุญธรรมคะ คุณเตรียมไว้เยอะเกินไปแล้ว พวกเราสองคนนำกลับไปไม่ไหวหรอกค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงสือเหิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและเอ่ย “ไม่เป็นไร ถ้าหากไม่ไหวก็ส่งพัสดุไปได้ แต่พวกเธอจะได้รับหลังจากช่วงปีใหม่”
“พ่อบุญธรรมคะ ไม่ต้องเตรียมเยอะขนาดนี้หรอกค่ะ”
เจี่ยงสือเหิงไม่รับฟัง สั่งให้ลุงเจี่ยงห่อสิ่งของส่วนใหญ่ เมื่อถึงเวลาจะได้จัดส่งทางไปรษณีย์ จากนั้นก็จ้องมองฉินมู่หลานอีกครั้งพร้อมกับกล่าว “มู่หลาน ฉันจำได้ว่าสองวันมานี้เธองีบหลับช่วงบ่ายตลอด ดังนั้นเธอรีบไปนอนพักผ่อนเถอะ”
ฉินมู่หลานเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก หาวครั้งหนึ่งและกล่าว “พ่อบุญธรรมคะ งั้นฉันขอตัวไปนอนพักสักหน่อยนะคะ”
อีกด้านหนึ่งหลังจากฉินมู่หลานจากไป เสิ่นเจิ้นอวี่ก็มองเจิ้งเต๋อข่ายพร้อมกับเอ่ย “เต๋อข่าย ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะถามเธอหน่อย เธอตามฉันไปที่ห้องรับแขกนะ”
เมื่อเจิ้งเต๋อข่ายเห็นสีหน้าจริงจังของเสิ่นเจิ้นอวี่ หัวใจก็พลันกระชับแน่นอย่างห้ามไม่ได้ แต่ในไม่ช้าเขาก็พยักหน้าและเอ่ย “ครับคุณลุงเสิ่น”
หลังเจิ้งเต๋อข่ายออกมาจากห้องรับแขก สีหน้าก็ดูมืดมนมาก แต่เขายังพยายามยิ้มและกล่าวคำอำลาเสิ่นหรูฮวนรวมถึงคนอื่นๆ
เมื่อเจิ้งเต๋อข่ายจากไป เสิ่นหรูฮวนจ้องมองเสิ่นเจิ้นอวี่ด้วยสีหน้าสงสัยและเอ่ยถาม “พ่อคะ คุณพูดอะไรกับเขาคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่บอกเขาว่าใครหน้าไหนก็มารังแกลูกสาวของเสิ่นเจิ้นอวี่ไม่ได้ เมื่อวานนี้เขาทำแบบนั้นกับแกเพื่อน้องสาวคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำให้แกคับข้องใจเพราะคนอื่นอีกหรือเปล่า ดังนั้นไม่อาจปล่อยให้เขาทำแบบนี้จนเคยตัวได้”
ได้ยินคำพูดนี้ ถงทิงผิงก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เจิ้นอวี่ อย่าเพิ่งให้ลูกสาวหมั้นกับเจิ้งเต๋อข่ายเลย พวกเราควรตรวจสอบลูกพี่ลูกน้องหญิงคนนั้นของเจิ้งเต๋อข่ายก่อน”
เสิ่นเจิ้นอวี่เองก็คิดเช่นนี้
ขนาดลูกสาวยังไม่ทันแต่งงานก็มีเรื่องให้โกรธเคืองแล้ว หากแต่งงานไปแล้วคงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง “ผมจะสืบเรื่องเจิ้งเต๋อข่ายและตระกูลเจิ้งอย่างละเอียด ส่วนเรื่องเครือญาติของตระกูลเจิ้ง ผมจะทำการตรวจสอบอย่างดีอีกรอบหนึ่ง”
ถงทิงผิงเห็นว่าสามีของตนจะทำการตรวจสอบก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในวันถัดมา ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ฟู่ซวี่ตงและเสิ่นหรูฮวนก็มาบอกลาพวกเขา สุดท้ายแล้วเจี่ยงสือเหิงก็พาฟู่ซวี่ตงและเสิ่นหรูฮวนมาส่งพวกเขาขึ้นรถไฟ
……………………………………………………….
[1]จืดชืดเหมือนกินเทียนไข หมายถึง การพูดถึงเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจ หรือบรรยากาศอันจืดชืดชวนให้รู้สึกเบื่อหน่าย
สารจากผู้แปล
ทำหวงก้างเป็นอิเหนาหวงบุษบาทั้งที่ตัวเองคั่วอยู่กับจินตะหราไปได้ แต่อย่างแกคงไม่ได้แอ้มลูกสาวเขาหรอกนายคนแซ่เจิ้ง
ไหหม่า(海馬)