ชุดแต่งงานตัวนั้นมีสีเข้มมาก แต่บางจุดก็มีสีสดสว่างราวกับมีเลือดไหลซึมออกมา มันดูทรงพลังและน่ากลัว
“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน!” แม่เฒ่าหวังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกพร้อมกับรับหน้าที่เป็นผู้ประกอบพิธี แต่ภาพนั้นกลับไม่ได้ดูสวยงาม เพราะใบหน้าของนางเริ่มแข็งทื่อและกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ เวลาที่นางยิ้ม รอยยิ้มของนางก็ยิ่งดูน่าขนลุก
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่อยากคำนับ นางตัวสั่นไปทั้งตัวขณะคุกเข่าลงบนพื้น
หวังหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขอโทษ จากนั้นจึงยกมือขึ้นกดหลังคอของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ลง ”หลิ่วเอ๋อร์ เชื่อข้าเถอะ การแต่งงานกับข้าก็ไม่ได้แย่นัก”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า น้ำตาไหลลงอาบแก้มของนาง ”ไม่…”
หวังหลิงรู้สึกสงสารนาง แต่เขาก็กัดฟันแล้วกดมือลง ทันทีที่ผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับเขา และเสียความบริสุทธิ์ของตัวเองไป นางย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องซื่อสัตย์ต่อสามีของนาง
เขาชอบหลิ่วเอ๋อร์มากจริงๆ
เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะได้หลิ่วเอ๋อร์เป็นภรรยา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัว เขาควรใช้โอกาสนี้ทำให้นางแต่งงานกับเขาให้ได้!
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังคงพยายามขัดขืน คนที่อยู่ในสวนต่างไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียวว่าตอนนี้พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงล้อมเอาไว้ เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านั้นล้วนแต่มีฝีเท้าที่เงียบกริบ
หลังจากเสนาบดีประจำกรมขุนนางเตรียมการทุกอย่างเสร็จ เขาจึงบอกกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”พระชายา กระหม่อมทำตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว เราพร้อมบุกเข้าไปข้างในทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ คนของเราทุกคนล้วนแต่มีเชือกสีแดงชุบเลือดสุนัขอยู่ในมือ ทั้งยังมีวิชาตัวเบาอีกด้วย คนข้างในไม่มีทางรู้ตัวแน่พ่ะย่ะค่ะ เรารีบบุกเข้าไปจับตัวนางตอนที่นางยังไม่ทันระวังตัวดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองประตูไม้แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า ”ไม่ล่ะ”
“ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีประจำกรมขุนนางไม่เข้าใจ เขาพลาดอะไรไปหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบสุนัขตัวใหญ่ที่สูงเกือบเท่าตัวนาง จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า ”เพราะข้าไม่มั่นใจว่าคนที่นางจับไปยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เราไม่สามารถลอบเข้าไปหรือบุกเข้าไปได้ ถ้านางจับใครเป็นตัวประกันอยู่ละก็ เช่นนั้นเราก็มีแต่ต้องอยู่เฉยๆ เท่านั้น”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางรู้สึกชื่นชมเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ในใจ แม้แต่ในเวลานี้พระชายาก็ยังรอบคอบยิ่งนัก!
“พวกเจ้าซุ่มรออยู่ที่นี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่งคนเหล่านั้นด้วยสติอันแจ่มชัด ”ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีตัวอะไรออกมา ก็ไม่ควรมีใครแตะต้องมันโดยตรง ขึงเชือกสีแดงชุบเลือดสุนัขของพวกเจ้าไว้ให้แน่น และยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหน้าที่ทุกนายตอบเสียงเบา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันมองเสนาบดีประจำกรมขุนนาง ”ใต้เท้าหลี่ ส่งให้คนที่อยู่หน้าประตูถอยไปซ่อนตัวอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวา องค์ชายกับข้าจะไปเคาะประตู”
“กระหม่อมจะไปกับองค์ชายและพระชายาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมคงได้เป็นห่วงแทบตายแน่ถ้าท่านเข้าไปข้างใน!” หากพิจารณาทั้งจากจำนวนคนที่พระชายาสามพามา ทั้งการที่พวกเขาต้องใช้กระทั่งเชือกสีแดงชุบเลือดสุนัขแล้ว สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้จะต้องเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างแน่นอน เขาจะปล่อยให้นางกับองค์ชายเข้าไปข้างในโดยไม่มีองครักษ์ได้อย่างไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะ หากเขาตามเข้าไปด้วย เขาก็ยังพอที่จะเป็นโล่ให้กับพวกเขาได้! ในดวงตาของเสนาบดีเต็มไปด้วยความจริงใจ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันกลับมามองเขา
เสนาบดีประจำกรมขุนนางรีบตอบ ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ สี่เสาแห่งดวงชะตาของกระหม่อมหนักอึ้ง สิ่งโสโครกพวกนั้นติดตามกระหม่อมมาตั้งแต่กระหม่อมยังหนุ่ม กระหม่อม…”
“พุงเจ้าใหญ่ มองครั้งเดียวทุกคนก็บอกได้แล้วว่าเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดบทผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองอย่างช้าๆ
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แทบระเบิดหัวเราะออกมา สีหน้าของพวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันยากที่จะกลั้นขำเพียงใด!
เสนาบดีประจำกรมขุนนาง : …
พุงข้าใหญ่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ก็ได้ มันอาจจะใหญ่เกินไปหน่อยจริงๆ
แต่องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ท่านจำเป็นต้องพูดออกมาด้วยหรือ?!
เสนาบดีตระหนักถึงรูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงมองไปทางซ้ายและขวาเป็นการเตือน เขาทนคำพูดเย้ยหยันขององค์ชายไม่ไหว และล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าไปในสวนโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่มุมกำแพงเพื่อเตรียมซุ่มโจมตี
แต่พุงของเขาก็ใหญ่มากเสียจนไม่ว่าเขาจะไปยืนอยู่ตรงไหน ก็มองเห็นเงากลมๆ ของมันได้อยู่ดี
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ต้องเคลื่อนตัวเข้ามายืนขนาบข้างซ้ายขวาเพื่อให้เขาแขม่วท้อง
หลังเตรียมทุกอย่างพร้อม เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยื่นมือออกไป แล้วเคาะลงบนบานประตูไม้ของตระกูลหวังเบาๆ
ก๊อกก๊อก
ทันใดนั้น!
หวังหลิงที่กำลังคำนับบิดามารดาของตัวเองอยู่ก็ชะงักไป เขารีบมองไปที่แม่เฒ่าหวังทันที ”ท่านแม่!”
“เจ้าจะแตกตื่นทำไม ก็แค่มีคนมาเคาะประตู” แม่เฒ่าหวังขมวดคิ้ว แต่เมื่อเทียบกับหวังหลิงแล้ว นางดูเยือกเย็นกว่าเขามาก
เพราะนางมั่นใจว่าต่อให้พวกเขาคิดที่จะสอบสวนนาง นางก็ยังมีเจ้าคนสารเลวจากตระกูลจางเป็นแพะรับบาปอยู่
นางไม่มีอะไรต้องกลัว!
เทียบกับแม่ลูกตระกูลหวังแล้ว ในที่สุดใบหน้าของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็มีแสงแห่งความหวังปรากฏขึ้นหลังจากเพิ่งสิ้นหวังไปหมาดๆ นางอ้าปากขึ้นและพยายามส่งเสียงออกมา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเสียงอันแผ่วเบาก็ตาม
แม่เฒ่าหวังจ้องนางอย่างมาดร้าย นางเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วแล้วใช้ยานอนหลับที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าอุดปากอุดจมูกของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์!
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยื่นมือออกไป แต่พวกมันก็ขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่นางจะหมดสติไป
อาจเป็นเพราะแม่เฒ่าหวังคุ้นเคยกับการทำเรื่องพวกนี้ ท่าทางของนางจึงดูสงบเยือกเย็นอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง หวังหลิงกลับเหงื่อแตกพลั่ก เขารู้สึกกลัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มีคนมาเคาะประตูบ้านเช่นนี้
แม่เฒ่าหวังมองเขาอย่างดุร้าย ”อาหลิง ฟังแม่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก หลิ่วเอ๋อร์เพิ่งจะหายตัวไป คงไม่มีใครสังเกตเห็นเร็วถึงเพียงนี้ มันน่าจะเป็นคนที่พยายามตรวจสอบเรื่องนี้อยู่มากกว่า เมื่อสองวันก่อนก็มีเจ้าหน้าที่มาที่นี่เหมือนกันมิใช่หรือ พวกเขาแค่ถามคำถามกับเราไม่กี่อย่างเท่านั้น ทำตามที่เราตกลงกันไว้ ถ้าเจ้าทำตัวปกติและตอบคำถามพวกเขาทุกคำถาม ย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากนี้ถ้าเจ้าจะไปเปิดประตู ถามพวกเขาก่อนว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่ ถ้าพวกเขาบอกว่ามาสอบสวนคดี ก็ค่อยเปิดประตูให้เขา” ทันใดนั้นแม่เฒ่าหวังก็เงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรออก นางพูดต่อ ”ถ้าพวกเขาไม่ตอบ ย่อมหมายความว่าเราเจอปัญหาเข้าให้แล้ว ดังนั้นห้ามเปิดประตูเด็ดขาด…”
หวังหลิงยังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยขณะที่ฟังแม่เฒ่าหวังพูด แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางหันหลังกลับได้
เขากำลังจะได้เป็นบัณฑิตในอนาคต เขาจะปล่อยให้ตัวเองมีรอยด่างพร้อยไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ก็มีคนตายไปแล้วถึงสามคน ถ้าเจ้าหน้าที่รู้อะไรเข้า มารดาของเขาคงได้ถูกตัดหัวแน่!
เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
เขาแค่ต้องทำตามคำสั่งของท่านแม่ แล้วตอบคำถามอย่างใจเย็น
ไม่มีปัญหาแน่
เพราะคงไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงคนที่หายตัวไปเข้ากับตระกูลหวังได้
มันจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน!
หวังหลิงรีบใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงโน้มตัวลงหยิบหนังสือขึ้นจากโต๊ะไม้ ก่อนเดินตรงไปทางประตู
“ใครหรือ” หวังหลิงพยายามทำเสียงให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาย่อมสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเขาผ่านทางลมหายใจอันไม่มั่นคงนั้นได้ หวังหลิงกำลังรู้สึกกังวล!
มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่สวน
เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนข้ออ้างในการขอเยี่ยมบ้านเป็นการส่วนตัวทิ้งไปทันที นางรีบเปลี่ยนคำทักทายอย่างรวดเร็ว แล้วตอบผ่านประตูไม้ว่า ”พวกเราเป็นคนของทางการ เรามาที่นี่เพื่อสอบถามข้อมูล เราอยากสอบถามท่านเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี้…”