ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ – ตอนที่ 21 เก็บสมุนไพร

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 21 เก็บสมุนไพร

เจียงซื่อไม่มีท่าทางว่าจะกลับ ซ้ำยังตัดสินใจเดินลัดเลาะไปยังริมคลองต้นหลิว

ทว่าทำให้จิตใจของบ่าวรับใช้อาจี๋เต้นโหยงไม่เป็นสุข “คุณหนูสี่ขอรับ ให้บ่าวส่งคุณหนูกลับจวนเถอะขอรับ มิเช่นนั้นคุณชายรู้เข้าจะว่าบ่าวเอาได้ขอรับ”

อาหมานหัวเราะเย้ย “คุณหนูของพวกเราแค่ไปริมคลองเท่านั้น ไม่ได้ไปถ้ำเสื้อถ้ำจระเข้ที่ไหนสักหน่อย เจ้าจะตื่นเต้นด้วยเรื่องอันใดกัน”

คืนนั้นนางกับคุณหนูยังไปวางเพลิงช่วยคนแถวทะเลสาบมั่วโยวอยู่เลย ไหนเลยตอนนี้ฟ้าสว่างแล้วยังต้องมาทนเจ้าบ่าวรับใช้ขี้บ่นนี่อีก มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

“โอ้ย พี่อาหมานก็ เหตุใดท่านไม่ช่วยแล้วยังจะพัดลมจุดไฟอีก” อาจี๋ยิ้มขื่นขมพลางทำท่าขอร้อง

อาหมานกลอกตา “ก็เจ้านั่นแหละที่ผิด ข้าไม่ได้พัดลมจุดไฟ แต่คุณหนูของพวกเราไม่ว่าจะไปถ้ำเสือถ้ำจระเข้ที่ไหนข้าก็จะตามไป ก็แค่นี้เอง”

อาจี๋เถียงสู้อาหมานไม่ได้จึงหัวเสียเตะหินก้อนเล็กข้างทางออกไป เขายังกอดความหวังก้อนสุดท้ายกล่าวออกมา “คุณหนูสี่ขอรับ อีกไม่นานก็ถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเรากลับไปจวนก่อนดีหรือไม่ รอกินเสร็จแล้วค่อยให้คุณชายรองพาท่านออกมา…”

ในที่สุดเจียงซื่อก็พูดออกมา “หากพี่รองโทษเจ้า ข้าจะพูดกับเขาเอง”

อาจี๋อ้าปากพะงาบๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

ช่างเถอะ นางเป็นนายของเขานี่ เขาเป็นแค่บ่าวรับใช้ นายจะไปไหนเขาไม่มีสิทธิ์ห้าม หวังว่าคุณชายจะลงโทษเขาเบาๆ หน่อยก็แล้วกัน

เจียงซื่อที่อยากไปแถวริมคลองต้นหลิว แน่นอนว่าไม่ได้ไปเพื่อเดินเล่นเฉยๆ

นางจะไปเก็บ ‘สมุนไพร’ ต่างหาก

นางเองไม่ได้ศึกษาการแพทย์ แต่นางได้เรียนรู้ศาสตร์โบราณพิสดารจากห้องยาสมุนไพรของผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวมา ห้องยาสมุนไพรนั้นมีตำราการใช้ยาแปลกประหลาดมากมาย ‘สมุนไพร’ ที่นางต้องการค่อนข้างพิสดารเช่นกัน

‘สมุนไพร’ ที่นางมาเก็บครั้งนี้คือพืชชนิดหนึ่งที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งใต้ต้นหลิวแก่ ชื่อว่าไป๋เจี่ยว ซึ่งภายนอกของไป๋เจี่ยวนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากพืชอ่อนชนิดอื่นสักเท่าใดนัก คนหรือสัตว์ปีกกินเข้าไปก็ไม่ได้ทำให้เกิดอาการใดๆ แต่หากได้ผ่านขั้นตอนการปรุงสมุนไพรขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่มีใครสามารถแยกแยะผ่านรสสัมผัสใดได้ทั้งนั้น

วิจิตรธาราเลียบฝั่ง ร่มเงาลาดยาวสุดสาย ต้นหลิวร้อยปีหาใช่พบเห็นได้ยาก

ตอนนี้เป็นช่วงวสันตฤดู บริเวณริมต้นหลิวมีคนจำนวนไม่น้อยออกมาเดินเล่นชมธรรมชาติ ไม่ว่าจะชายหญิงเอย เด็กเล็กเอย ผู้ใหญ่เอย แม้กระทั่งผู้สูงวัยล้วนมีทุกเพศวัย ทันใดนั้น มีเด็กน้อยวิ่งผ่านเจียงซื่อพวกนางสามคนไป ทำให้ได้ยินเสียง กรุ๊งกริ๊ง จากกระดิ่งที่ห้อยไว้ตรงขาของเด็กน้อยที่วิ่งผ่าน

เวลานี้เอง อาจี๋เบิ่งตาโตแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าเด็กพวกน้อย วิ่งระวังกันหน่อยสิ หากวิ่งชนคนเข้าแล้วมิอาจละเว้นได้นะ!”

“เอาเถอะน่า เจ้าจะเอาอะไรหนักหนากับเด็กน้อยเล่า” อาหมานเอ่ยติดูแคลนอาจี๋ที่ทำลายบรรยากาศการมองภาพทิวทัศน์อันงดงามของต้นหลิวที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลุกตา

อาจี๋รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “ก็ข้ากลัวว่าเจ้าพวกนั้นจะวิ่งชนคุณหนูนี่”

“คุณหนูมีข้าคอยดูแลอยู่นี่อย่างไรล่ะ”

“ขอรับๆๆ พี่อาหมานยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”

ในขณะที่หนุ่มรับและสาวรับใช้กำลังปะทะฝีปาก เจียงซื่อก็เดินนำหน้าออกไป

“คุณหนู รอบ่าวด้วยสิเจ้าคะ…” อาหมานรีบวิ่งตามไป

เจียงซื่อหยุดอยู่ใต้ต้นหลิวเขียวขจีต้นหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวดึงกิ่งอ่อนหลิวโน้มลงหมุนเล่นพลางเอ่ยถามอาหมาน “เจ้าสานตะกร้าเป็นหรือไม่”

อาหมานหัวเราะคิกคัก “บ่าวเก็บเป็นแต่ดอกไม้เจ้าค่ะ”

“บ่าวทำเป็นขอรับ บ่าวสานตะกร้าเป็น” อาจี๋รีบตอบ

อาหมานยิ้มเย้ย แล้วอย่างไร ต่อให้มีดอกไม้เบ่งบานบนตัวเจ้า แต่เจ้าก็เป็นสาวรับใช้ประจำตัวคุณหนูไม่ได้!

“ถ้าเช่นนั้น อาจี๋ใช้ใบหลิวสานตะกร้าหนึ่งอัน อาหมานไปเก็บดอกไม้สดแล้วกัน เอากลับไปประดับในจวนสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

อาหมานและอาจี๋ได้รับมอบหมายงานก็รีบกุลีกุจอทำอย่างว่องไว

เมื่อเจียงซื่อเห็นทั้งสองคนกำลังวุ่นวายอยู่กับงานตรงหน้า นางจึงค่อยๆ อ้อมไปด้านหลังต้นหลิว นั่งลงสูดดมกลิ่นเข้าเต็มปอด เมื่อหาสมุนไฟรไป๋เจี่ยวเจอก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือห่อเก็บไว้อย่างพิถีพิถัน

เช่นนี้แล้ว ในระหว่างรอเวลาสานตะกร้าและเก็บดอกไม้สดใส่จนเต็ม นางก็สามารถเก็บไป๋เจี่ยวได้เพียงพอเช่นกัน

“กลับจวนกันเถอะ”

ทันใดนั้นเอง มีคนบนฝั่งริมคลองพุ่งไปยังที่เดียวกันและตะโกนขึ้น “แย่แล้ว มีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย”

“คุณหนู” อาหมานหันมองเจียงซื่อ

“ไปดูหน่อย”

อาจี๋ห้ามทันที “คุณหนูสี่ ริมคลองมีคนเยอะพื้นลื่น เราอย่าเข้าไปเลยดีกว่า กระโดดน้ำฆ่าตัวตายไม่มีอะไรน่าดูเลยนะขอรับ”

ให้ตายสิ ถ้าเปลี่ยนคุณหนูเป็นคุณชายล่ะก็ เขาคงวิ่งไวกว่าคุณชายอีก!

เจียงซื่อหัวเราะ “ข้าหมายถึง ให้เจ้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างไรเล่า”

เรื่องพละกำลัง นางพอเข้าใจอยู่หรอกว่าสู้บุรุษไม่ได้

ผู้คนเบียดเสียดกันขนาดนั้น จะให้นางเบียดเข้าไปถอดชุดออกแล้วช่วยชีวิตคนหรืออย่างไร

เมื่อมีเรื่องน่าสอดรู้สอดเห็น แล้วยังไม่ต้องเป็นกังวลความปลอดภัยของเจียงซื่อ อาจี๋ก็ยินดีปรีดาราวกับเป็ดตีปีกบินออกไป

ริมคลองอัดแน่นไปด้วยผู้คน อาจี๋แทรกตัวเข้าไปตามแนวกำแพงอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นาน เขาก็ปลีกตัวจากท่ามกลางฝูงชนที่กำลงก่นด่า พร้อมกลับมารายงานกับเจียงซื่อ

“คุณหนูสี่ขอรับ คนกระโดดน้ำเป็นสตรีนางหนึ่ง เพิ่งถูกช่วยขึ้นมาสักครู่นี้เองขอรับ ตอนนี้กำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมคลอง”

เสียงร้องไห้ของสตรีดังลั่นจนกระทบเข้ากับโสตประสาทของเจียงซื่อ “นิวๆ ของข้าอยู่ไหน ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว…”

“ได้ยินคนข้างๆ เล่าว่าคนที่กระโดดน้ำตายคือป้าขายเต้าหู้ ชาวบ้านต่างเรียกนางว่าเต้าหู้ไซซี เป็นหญิงหม้ายมาหลายปี เลี้ยงลูกสาวจนเติบใหญ่ ใครจะไปรู้ว่าสองวันก่อนลูกสาวของนางหายไป ช่างน่าสงสารจริงๆ…” อาจี๋เล่าสิ่งที่ได้ยินมาให้เจียงซื่อฟัง

“มิได้แจ้งทางการหรอกหรือ” อาหมานพลั้งถาม

“แจ้งแล้ว จะไม่แจ้งได้อย่างไรเล่า แต่มีคดีเด็กหายมากมายทุกปี ทางการจะดูแลทั้งหมดไหวได้อย่างไรล่ะ” อาจี๋ถอนหายใจ พลางใช้โอกาสนี้ต่อกรกับเจียงซื่อ “คุณหนูสี่ ข้างนอกนี้อันตรายมาก บ่าวว่าเรากลับจวนกันเถอะขอรับ”

หญิงหม้ายร้องไห้ดังกว่าเดิม “ลูกข้าเพิ่งอายุสิบสี่เอง เวลาลูกคนอื่นออกไปเที่ยวเล่น นางก็ไม่เคยตามออกไป มีแต่อยู่ช่วยข้าทำเต้าหู้ วันเวลาสนุกสนานกับคนอื่นเขาก็ไม่มีสักวัน นิวๆ เจ้าอยู่ที่ใด กลับมาหาแม่สักทีเถอะ”

“คุณหนูสี่เจ้าคะ พวกเรากลับกันเถอะ” อาหมานได้ยินเสียงร่ำไห้พลอยรู้สึกหนักหน่วงตาม

หญิงหม้ายถูกพาออกมาจากฝูงชน เรียกว่าถูกพยุงออกมาคงเหมาะสมกว่า

ร่างกายของนางอ่อนระทวยโรยแรงไปตามทางที่คนพยุงลากไป จนขาทั้งสองข้างมีรอยแผลยาว แม้สภาพแย่ถึงปานนั้น แต่ใบหน้าที่สิ้นหวังยังคงปรากฏเค้าความงามเมื่อวัยยังสาว

ทันใดนั้น หญิงหม้ายเบิกตาโพล่งพลันฉายแววตาแวววับ นางสลัดมือคนพยุงออกและวิ่งไปหาเจียงซื่อ

อาหมานตั้งตัวไว รีบบังเจียงซื่อไว้

หญิงหม้ายวิ่งผ่านนายบ่าวราวกับคนสติฟั่นเฟือง เจียงซื่อได้กลิ่นเปรี้ยวอมฝาดลอยแตะจมูก

“นิวๆ นิวๆ” หญิงหม้ายวิ่งพรวดเข้ามาคว้าแขนเสื้อของหญิงสาวชุดสีน้ำเงิน

เสียงกรีดร้องของสาวรับใช้กับหญิงแก่ดังสนั่น “ปล่อยคุณหนูของพวกเราเดี๋ยวนี้นะนังคนบ้า!”

“พวกเจ้าถอยไป เอานิวๆ ของข้าคืนมา!” หญิงหม้ายสติฟั่นเฟืองไม่สนใจสาวรับใช้ลงมือทุบตี เพียงใช้สองมือจับแขนเสื้อของหญิงสาวไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “นิวๆ นี่แม่อย่างไรเล่า เจ้ามองหน้าแม่สิ”

หญิงสาวหันกลับมาขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ “ท่านป้าปล่อยมือข้าเถิด ท่านจำคนผิดแล้ว”

เมื่อเห็นหน้าหญิงสาวชัดแล้ว หญิงหม้ายจึงคลายมือออกช้าๆ

เจียงซื่อเห็นแววตาของหญิงหม้ายจากที่ยินดีพลันเปลี่ยนเป็นแววตาหม่นหมอง

“ป้าซิ่ว กลับไปเสียเถอะ นิวๆ อาจรอท่านอยู่ที่บ้านแล้วก็ได้” คนข้างๆ เห็นว่าหญิงหม้ายเดินชนคนสูงศักดิ์เข้าให้เสียแล้ว จึงเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี

“นิวๆ ข้าจะกลับไปหานิวๆ!” หญิงหม้ายวิ่งออกไปอย่างคนไร้สติ

หญิงสาวเม้มปาก เงยหน้าขึ้นพลางได้สบตากับเจียงซื่อพอดี

“เจ้าคือ… คุณหนูสี่ตระกูลเจียงใช่หรือไม่”

เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้น

ช่างบังเอิญเสียจริง เพียงมาเก็บ ‘สมุนไพร’ ยังบังเอิญเจอคุณหนูจวนอันกั๋วกงอีกด้วย!

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติกยุคโบราณ-แนวแต่งงาน ดราม่าในอดีตจะหายไป รักใหม่สุดหวานซึ้งจะเริ่มต้น…กับคนเดิม?!ชาติที่แล้วเพราะนาง ‘เจียงซื่อ’ คุณหนูสี่แห่งตระกูลตงผิงปั๋วดวงตามืดบอดทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรจนถึงแก่ความตายเมื่อได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตที่สองนางจะไม่ทำเรื่องผิดพลาดซ้ำอีกต่อไปคนที่หวังดีกับนางจากใจจริงนางล้วนเข้าใจและพร้อมตอบแทนด้วยสิ่งเดียวกันคนที่คิดร้ายวางแผนทำลายนาง นางก็พร้อมจะเอาคืนเป็นทบเท่าพันทวีชีวิตการแต่งงานที่ไม่สมหวังในชาติก่อนทำให้นางเข็ดขยาดไม่คิดจะมีความรักอีกแต่เหตุใดกัน ‘อวี้จิ่น’ สามีคนที่สองของนางในชาติก่อนกลับมาคอยตามตอแยนางไม่หยุดเช่นนี้!แม้ชาติก่อนข้าจะเคยชอบเจ้า แต่ชาตินี้อย่าหวังจะทำให้ข้าเสียน้ำตาได้อีกเป็นหนที่สองนางต้องอยู่ให้ห่างจากเจ้าคนเลวนั่นไว้ ยิ่งไกลยิ่ง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท