ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 441 หนังสือเลือดจากคนนับหมื่น

ตอนที่ 441 หนังสือเลือดจากคนนับหมื่น

ตู๋กูซิงหลันจำไม่ได้เลยว่า พระตำหนักตี้หัวมีต้นฮวายตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

จากนั้นก็เห็นลูกแก้วในมือของเยี่ยจ้านลอยอยู่เหนือร่างของจีเฉวียน

 

 

แสงสว่างจากลูกแก้วทอทาบลงบนร่างของจีเฉวียน จากนั้นร่างทั้งร่างก็กลายเป็นจุดดำวูบหายเข้าไปในแสงสว่างของลูกแก้ว

 

 

ทันใดนั้นภาพในลูกแก้วก็เปลี่ยนแปลงไป ใต้ต้นฮว๋ายเพิ่มจีเฉวียนขึ้นมา

 

 

 ลูกแก้วใบนั้นสามารถส่งคนไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้….

 

 

ในโลกก่อนโน้นนางเคยเห็นอาจารย์ก็มีอยู่ลูกหนึ่งเช่นกัน

 

 

“ส่งกลับไปแล้ว” เยี่ยจ้านพูดพลางขยับมือ ลูกแก้วก็กลับเข้ามาอยู่ในมือของเขา

 

 

รูปภาพในลูกแก้วยังไม่ทันเลือนหายไปทั้งหมด ในภาพสุดท้ายยังเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของสาวน้อยผู้หนึ่ง

 

 

ฉางซุนอิง

 

 

สาวน้อยผู้นั้นก็มองมาพอดี ทั้งทั้งที่เป็นดวงตาที่ดูน่าสงสารคู่หนึ่งแต่ว่าในตอนนี้กลับมีแต่เส้นเลือด ทั้งยังแฝงจิตสังหารที่หนาวเหน็บ

 

 

ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเข้มขึ้นมาเช่นกัน กำดาบยักษ์ในมือของนางแน่นขึ้นมาอีกหลายส่วน

 

 

ภาพในลูกแก้วนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยจ้านเองก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบกายของนางที่แปรเปลี่ยนไป

 

 

“เสียใจแล้ว?” เขาสอบถาม

 

 

ตอนนี้มาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว ลูกแก้วของเขาสามารถส่งคนไปยังที่อื่นได้ แต่ไม่สามารถดึงคนจากที่อื่นกลับมาได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันหลุบตาลง ปลายนิ้วลูบไล้ผ่านคมขอดาบยักษ์เพียงแผ่วเบา จากนั้นก็ดีดลงไปบนตัวดาบครั้งหนึ่ง

 

 

“ติ้ง….”

 

 

ตัวดาบส่งเสียงที่สดใสเป็นกังวานออกมา

 

 

“ช่างน่าฟังจริงๆ” นางขยับริมฝีปากแดง มองไปยังเยี่ยจ้านเอ่ยว่า “ใช่หรือไม่ ท่านพ่อ?”

 

 

เยี่ยจ้าน “…..” อยู่เขาก็รู้สึกว่าลำคอเย็นวาบขึ้นมา

 

 

“เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว ที่จะต้องทำในตอนนี้…..”

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ตู๋กูซิงหลันก็หยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเผยความเย็นยะเยือกสุดหยั่งออกมา “ได้เวลาแก้แค้นแล้ว”

 

 

……………

 

 

 

 

 

แคว้นต้าโจว พระตำหนักตี้หัวกง

 

 

ตอนที่หลี่กงกงพบว่าฝ่าบาทของตนเองนอนสลบไสลด้วยฉลองพระองค์ที่ขาดวิ่นอยู่ใต้ต้นฮว๋ายก็ต้องตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย

 

 

ยังดีที่…..พอตกค่ำ ฝ่าบาทก็ทรงเริ่มรู้สึกพระองค์

 

 

เรื่องนี้ทำเอาเกิดข่าวลือไปทั่วทั้งวัง

 

 

เนื่องเพราะฝ่าบาทมิได้ทรงออกว่าราชการมาหลายวันติดกันแล้ว

 

 

คนภายนอกต่างก็พูดกันว่า เป็นเพราะสตรีปีศาจเช่นฉางซุนอิงยั่วยวนฝ่าบาทจนบดบังพระสติปัญญา ตอนนี้เหล่าขุนนางใหญ่พากันยื่นคำประท้วง ของให้กำจัดสตรีปีศาจเสีย

 

 

ยามที่ฉางซุนฮองเฮายังทรงพระชนม์อยู่ สกุลฉางซุนถือเป็นสกุลใหญ่ระดับหัวแถว แต่ว่าตอนนี้ท่านราชครูถูกจับขัง เหล่าผู้อาวุโสในสกุลฉางซุนต่างก็ลาโลกกันไปหมดแล้ว ฉางซุนอิงผู้นี้เป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงหนุนนางถึงได้ยังสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ได้

 

 

หากว่ามีไม่ฝ่าบาทคุ้มครอง นางนับเป็นตัวอะไรได้?

 

 

ไม่เพียงแต่เหล่าขุนน้ำขุนนางที่เห็นฉางซุนอิงเป็นหนามตำตา แม้แต่ประชาชนชาวต้าโจวต่างก็เกลียดชังนางปีศาจผู้นี้ด้วยเช่นกัน

 

 

ตอนนี้เริ่มมีเสียงสนับสนุนที่ไม่รู้ว่าเริ่มจากที่ใด….ขอให้ฝ่าบาททรงเสด็จไปแคว้นเหยียนเพื่อเชิญไทเฮาน้อยกลับมา!

 

 

คนเรานั้น…..มักจะรู้คุณค่าก็ต่อเมื่อได้สูญเสียไปแล้ว

 

 

คิดดูสิก่อนหน้านี้ไทเฮาน้อยทรงทำคุณความดีต่อต้าโจวไว้มากมายเพียงไร?

 

 

คนเขาแค่เกิดมางดงามมากไปหน่อย ก็เลยทำให้คนบางคนตื่นเต้นด้วยความริษยาไปบ้าง แต่ลองดูเรื่องที่ไทเฮาน้อยได้ทรงทำไปสิ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างล้วนเพื่อชาติบ้านเมืองเพื่อชาวต้าโจวทั้งนั้น!

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้ว่า เรื่องที่สามารถจัดการกับอุทกภัยใหญ่ในลี่โจวได้ก็เป็นเพราะความสามารถของไทเฮาน้อยเช่นกัน!

 

 

ท่านเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนยังออกมาเอ่ยยืนยันด้วยตนเองว่า ไทเฮาน้อยทรงเป็นเทพธิดาจากสวรรค์ เป็นบุญของต้าโจวแล้ว!

 

 

นี่มิน่าโกรธหรอกหรือ?

 

 

ฉางซุนอิงที่เป็นคนตายที่ฟื้นขึ้นมากลับทำให้ไทเฮาน้อยของต้าโจวทรงพิโรธจนเสด็จจากไป….

 

 

เมื่อมีอู๋เจินคอยกระพือลมโหมไฟอยู่ด้านข้าง คำพูดของท่านเจ้าอารามจึงยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองทบทวี จนถึงขั้นที่ว่า

 

 

ปวงประชาต่างเดือดดาล!

 

 

อารามเทียนเก๋อกวนคือสถานที่เช่นไร?

 

 

แม้แต่เจ้าอารามยังเอ่ยว่าไทเฮาน้อยเป็นเทพธิดาจุติลงมา! เช่นนี้แล้วยังจะเป็นเท็จได้อีกหรือ!

 

 

ต่อให้ท่านเจ้าอารามมิได้พูด ตอนนี้พวกเขาคิดๆดูแล้ว ต่างก็แทบอยากจะยกไทเฮาเป็นเทพธิดากราบไหว้บูชาด้วยกันทั้งนั้น

 

 

ดูเอาสิ……นับตั้งแต่ที่ไทเฮาทรงเสด็จจากไป แคว้นต้าโจวถูกนังปีศาจฉางซุนอิงนั้นครอบงำจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว?

 

 

“ขอฝ่าบาททรงรับไทเฮาน้อยกลับบ้าน”

 

 

นี่เป็นหนังสือเลือดจากคนนับหมื่น”

 

 

ยามที่จีเฉวียนทรงได้พระสติขึ้นมา ก็ได้รับหนังสือฎีกานี้จากคนนับหมื่นในเมืองหลวง มีทั้งระดับบนที่เป็นเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ และระดับล่างที่เป็นชาวบ้านธรรมดา นี้เรียกว่าคนทั่วทั้งเมือง ประชาชนทั้งหลายต่างก็มีใจเดียวกัน

 

 

ในพระตำหนักตี้หัวกง แสงเทียนกำลังลุกไหม้

 

 

บนพระวรกายของจีเฉวียนมีแต่ผ้าพันแผล บนโต๊ะทรงอักษรหลายตัวมีหนังสือเลือดของคนนับหมื่นที่กองอยู่จนวางไม่เพียงพอ…..เรียกว่าแทบจะท่วมห้องแล้ว

 

 

ยามนี้จีเฉวียนทรงพิงพระองค์กับเพระเก้าอี้อ่อน ย้อนคิดไปถึงคำพูดที่ทรงได้ยินขณะ ‘สลบไสล’ยามอยู่ในหุบเหวไร้ก้น

 

 

นางเจอบิดาแล้ว ……เขารู้สึกยินดีกับนางด้วยจริงๆ

 

 

นางมิใช่ว่าไม่ชอบเขา แต่ว่านางป่วยเป็นโรคที่ ‘ไม่อาจรักใคร’ ได้

 

 

ในสายตาของซิงซิง….เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแม้แต่สหายเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบ

 

 

ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่คนรัก

 

 

ดังนั้นนางจึงตัดสินใจส่งเขากลับมา ให้อยู่ห่างจากนาง

 

 

จีเฉวียนปรายพระเนตรออกไป มองดูหนังสือเลือดจากคนนับหมื่นที่อยู่บนโต๊ะหลายตัวนั้น ในสมองของพระองค์มีแต่ตู๋กูซิงหลัน

 

 

และในตอนนั้นเอง ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากปากประตูห้องทรงพระอักษร

 

 

แสงเทียนสลัวๆ ทอทาบลงบนใบหน้าที่ซีดขาวของสาวน้อย

 

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตจากจีเฉวียน นางก็ยังคงเดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว มองดูหนังสือเลือดที่กองอยู่ท่วมพื้น

 

 

นับตั้งแต่ที่นางเดินเข้ามา จีเฉวียนมิได้ทรงเหลือบแลมาที่นางเลยสักครั้ง

 

 

นางเดินมาจนถึงจุดที่ห่างจากจีเฉวียนไปเพียงแค่สามก้าว

 

 

ดวงตาเป็นประกายเย็นชา “ฝ่าบาท ในที่สุดพระองค์ก็สมพระประสงค์แล้ว”

 

 

ครั้งนี้ นางเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ มิใช่ ‘เฉวียน’อีกแล้ว

 

 

จีเฉวียนมิได้สนพระทัยนาง เพียงปิดพระเนตรลง ขนพระเนตรทั้งยาวและหนาเป็นแพ แต่ละเส้นคมเข้มชัดเจน ปิดบังประกายในดวงเนตรเอาไว้

 

 

ฉางซุนอิงหัวเราะออกมา “ข้าช่างไร้เดียงสาไปจริงๆ คิดไปว่าฝ่าบาทจะทรงปรารถนาดีต่อข้าอย่างแท้จริง ชดเชยให้ข้า…คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วจะทรงไล่ข้าออกไปเพื่อเป็นหินปูทางให้กับตู๋กูซิงหลัน”

 

 

ต่อให้นางโง่เขลาเพียงไร ตอนนี้ก็รู้แล้วว่า ตั้งแต่แรกแล้วทุกสิ่งที่จีเฉวียนทำลงไป ก็เพียงเพื่อให้นางต้องเผชิญลมพายุที่โถมเข้ามา ทำให้นางกลายเป็นนางปีศาจที่ผู้คนประณามด่าทอ

 

 

เมื่อตนถูกจับให้เป็น ‘นางปีศาจ’ ตู๋กูซิงหลันที่เคยสกปรกไปทั้งร่างก็สามารถหลุดพ้นและส่องประกายได้อีกครั้ง

 

 

“ดูสิ ท่านอาศัยชื่อของข้า กวาดล้างวังหลัง คนเหล่าวงศาคณาญาติของพระสนมพวกนั้นเกลียดชังก็คือข้า ท่านใช้ชื่อของข้าไปจัดการเหล่าคนที่มีใจคิดเป็นอื่น ผู้ที่คนเหล่านั้นเกลียดชังก็คือข้า เปลี่ยนข้าให้กลายเป็น ‘นางปีศาจ’ ที่ทุกคนต่างเรียกขาน ส่วนตู๋กูซิงหลันกลับได้รับการชำระล้างจนขาวสะอาด …..ความคิดที่แยบยลเช่นนี้ของฝ่าบาท ช่างไร้ผู้ใดเทียบได้”

 

 

จีเฉวียนมิได้เถียงกับนาง พระองค์ขยับดัชนีน้อยๆ บนนิ้วโป้งมีแหวนวงหนึ่งเป็นวงที่นำกลับคืนมาจากฉางซุนซิ่ว

 

 

และก็คือวงที่พระองค์เคยมอบให้กับตู๋กูซิงหลันไว้แต่แรก

 

 

เห็นพระองค์ทำเช่นนี้ ฉางซุนอิงก็เกิดความขุ่นเคืองขึ้นมา “จีเฉวียน ในสายตาของท่านข้านับเป็นเช่นไรกันแน่? เป็นตัวประหลาดที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย มีค่าแค่ปูทางให้นางในดวงใจของท่านเท่านั้น? ตอนนั้นยามที่อยู่ในแคว้นเหยียน ข้าเสียสละทุกสิ่งไปเพื่อท่าน….”

 

 

 

 

 

 

………………………………………………

 

 

ตอนต่อไป “เจ้าเคยได้รับความอบอุ่นจากแสงสว่างที่ส่องกระทบร่างหรือไม่?”

 

 

ไรท์: ชื่อตอนยาวสุดแล้ว หลายคนรอคอยมานาน ฉางซุนอิง!!!

 

 

ในฐานะที่ไรท์ได้อภิสิทธิ์แอบอ่านล่วงหน้า ขอบอกว่าทุกตอนจากนี้คือสนุก สนุก และมันส์มาก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Status: Ongoing

ตู๋กูซิงหลัน ปรมาจารย์ไสยศาสตร์ลับผู้เลอโฉมแห่งต้าโจวต้องกลายเป็นไทเฮาแม่ม่ายด้วยวัยเพียงสิบห้าปี และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยข้อหา ‘งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยตาย’ ด้วยเหตุนี้นางจึงตกเป็นที่รังเกียจของ จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ใหม่และเหล่าสนมทั้งสามพันนางของเขา ขณะกำลังคิดหาหนทางประจบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อให้ชีวิตของนางได้อยู่สุขสบายขึ้นมาบ้าง บรรดาลูกสะใภ้ที่หวั่นใจกลัวว่าแม่เลี้ยงสาวจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนข้างหมอนก็พากันตบเท้าเข้ามาหาเรื่องนางมิขาดสาย ไหนจะอดีตคนรักอย่าง จีเย่ว์ ที่มาขอคืนดีด้วยอีก คราวนี้ตู๋กูซิงหลันจึงต้องรับศึกหนักทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งยังต้องหาทางฟื้นพลังเพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตไปด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางปีนออกนอกกำแพงวังได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท