เจินซื่อเฉิงใช้เล่ห์เหลี่ยมอันเจ้าเล่ห์อย่างเป็นประโยชน์ ก่อนที่จะให้ลูกน้องส่งทั้งสามคนกลับไป เขายังได้ให้ทั้งสามลงนามด้วย เพื่อจงใจหลีกเลี่ยงหยางฟู่
คนสุดท้ายที่ถูกเรียกออกมาก็คือเจียงจั้น
ซึ่งก่อนหน้านี้เจียงจั้นกำลังนอนอย่างสะลึมสะลืออยู่ในจวน ตอนที่เดินทางมาถึงศาลาว่าการพระนครยังรู้สึกมึนงงอยู่
เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงจั้น ท่าทางของเจินซื่อเฉิงก็เปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนขึ้นทันที เขาเชิญให้ดื่มน้ำชาก่อนที่จะเอ่ยถามเรื่องเมื่อคืน
“เมื่อคืนนี้คุณชายเจียงตกลงไปในน้ำได้อย่างไร พอจะจำได้หรือไม่”
ตอนที่เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามประโยคนี้ ในใจเขาก็รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
วันนี้ในตอนเช้าที่เอ่ยถามบรรดาชุยอี้ทั้งสามคน พวกเขาปิดบังความจริงก็ไม่น่าแปลก แต่การที่เจียงจั้นไม่กล่าวอะไรออกมาดูผิดปกติไปเล็กน้อย
เจียงจั้นกะพริบตาปริบๆ
จู่ๆ เหตุใดจึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า
เจียงจั้นไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หรือคิดมาก แต่เขาค่อนข้างฟังคำพูดและค่อนข้างเชื่อถือสหาย
บัดนี้เขาจำได้ดีถึงประโยคที่อวี้จิ่นเอ่ยเตือน จึงได้ทำสีหน้างุนงงแล้วกล่าวว่า “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากดื่มหนักมากเกินไป เรื่องราวในตอนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรข้าจำไม่ได้จริงๆ ใต้เท้ามีอะไรหรือเปล่าขอรับ”
เจินซื่อเฉิงสังเกตท่าทางของเจียงจั้นอย่างระมัดระวังก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ
เป็นการยากจริงที่จะหาข้อเท็จจริงจากคนเมา
แต่จากเหตุผลแล้ว เขาไม่จำเป็นจะต้องปิดบัง เพราะผู้ได้รับประโยชน์คืออีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ร้าย
ดังนั้นเจินซื่อเฉิงจึงเลือกที่จะเชื่อคำของเจียงจั้น เขาจึงกล่าวออกไปอย่างคลุมเครือว่า “มีเบาะแสมาใหม่ ดังนั้นข้าจึงได้เชิญคุณชายเจียงมาเอ่ยถามถึงสถานการณ์ อ้อจริงสิ ท่านถูกเสี่ยวอวี๋ช่วยขึ้นมา เสี่ยวอวี๋ได้กล่าวสิ่งใดหรือไม่”
อวี้จิ่นที่ฟังอยู่ด้านหลังฉาก ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เจินซื่อเฉิงไม่ปล่อยใครไว้จริงๆ ในไม่ช้าก็เอาเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
โชคดีเหลือเกินที่ก่อนหน้านี้เขาได้กำชับเจียงจั้นเอาไว้ จึงไม่กลัวว่าจะตกลงไปในหลุมพรางนี้
“บอกสิ” แม้ว่าความคิดของเจียงจั้นจะง่ายดายแต่เขาไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินคำถามของเจินซื่อเฉิง หัวใจของอวี้จิ่นก็เริ่มตื่นตัวขึ้น “พี่อวี๋ชีด่าใส่ข้าอยู่ยกใหญ่ กล่าวว่าต่อจากนี้อย่าได้ไปคลุกคลีกับพวกอันธพาลอีก!”
“ไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าตกลงไปในน้ำได้อย่างไร”
เจียงจั้นสะดุ้งโหยง นี่ใต้เท้าเจินรู้เหตุผลที่เขาตกลงไปในน้ำแล้วอย่างนั้นหรือ แม้จะเดาไปเช่นนั้นแต่เจียงจั้นก็ไม่ตื่นตระหนกเลย เขาเป็นผู้ถูกทำร้าย เขาจะตื่นตระหนกไปไย เช่นเดียวกับที่พี่อวี๋ชีกล่าวเอาไว้ เพียงแค่เขายืนกรานว่าไม่รู้เรื่องก็พอแล้ว หากว่าใต้เท้าเจินตรวจสอบออกมาด้วยตนเองว่าเขาถูกหยางเซิ่งไฉทำร้ายก็คงจะดีกว่า
“ไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับข้าเลย เรือสำราญนั้นถูกไฟไหม้ไม่ใช่หรือ” สีหน้าของเจียงจั้นเปลี่ยนไป “ใต้เท้าเจิน หรือว่ามีเหตุผลอื่นกัน”
บัดนี้เจินซื่อเฉิงไม่ต้องการทำให้สิ่งต่างๆ ซับซ้อนมากไปกว่าเดิม จึงได้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายเจียงอย่าได้คิดมากไป ข้าเพียงแค่เอ่ยถามเท่านั้น ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินทางมา รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
ดูท่าทางสีหน้าของเด็กคนนี้ ย่ำแย่กว่าทั้งสามคนเมื่อครู่มากนัก อืม คงจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่สร่างเมาอย่างแน่นอน
เจินซื่อเฉิงได้สั่งให้ลูกน้องคุ้มกันเจียงจั้นกลับไป
อวี้จิ่นจึงได้ปล่อยหยางฟู่ออก แล้วโผล่ออกไปด้านหน้าฉากนั้น หยางฟู่ได้รับอิสระจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ช่างอึดอัดเหลือเกิน หายใจไม่ออก!
เจินซื่อเฉิงมองมาทางหยางฟู่ด้วยใบหน้าอันซับซ้อน “ท่านหยาง บุตรชายของท่าน…”
“บัดนี้บุตรชายของข้าไม่อยู่แล้ว ใต้เท้าเจินจะจับเขาขังเข้าคุกด้วยความผิดนี้หรือ หากว่ามีเวลาว่างเช่นนั้นศาลาว่าการพระนครควรจะไปตรวจสอบหาผู้ลอบวางเพลิงออกมาเสียดีกว่า!”
หยางฟู่รีบทำเป็นโมโหออกมากลบเกลื่อนความขายหน้าก่อนจะสะบัดแขนเดินจากไป
เจินซื่อเฉิงกับอวี้จิ่นหันมาสบตากันแล้วส่ายหน้า “เขาช่างมั่นอกมั่นใจเสียจริง”
ก็เป็นไปตามที่หยางฟู่กล่าว บัดนี้หยางเซิ่งไฉตายไปแล้ว แต่เจียงจั้นกลับไม่เกิดเรื่องใดขึ้นเลย อีกอย่างหนึ่งฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงบุตรหลานของเสนาบดีกรมพิธีการ เป็นน้องของพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงไม่ต้องการจะเห็นว่าเขาตายไปแล้วยังต้องมาแบกรับความผิดอีก
“ใต้เท้าเจิน ข้าขอตัวก่อน เมื่อคืนนี้ที่เดินทางไปยังแม่น้ำจินสุ่ย ข้าเองก็นอนหลับไม่สบาย บัดนี้ยังไม่ทันได้พักผ่อนเลย” เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าไม่มีอะไรน่าติดตามสนใจแล้ว จึงตั้งใจจะกลับไปนอนพักสักหน่อย ไม่ว่าหยางเซิ่งไฉจะถูกโทษว่าเป็นผู้ที่ผลักเจียงจั้นตกน้ำหรือไม่ก็ไม่สำคัญ การที่ตระกูลหยางและอีกสองตระกูลถูกสงสัยเท่านั้นก็เพียงพอ
เจียงจั้นเดินทางออกมาจากประตูใหญ่ของศาลาว่าการพระนครด้วยร่างกายโอนเอียงไปมา
เมื่อคืนนี้เขาเมาค้าง ประกอบกับตกลงไปในน้ำจึงทำให้บัดนี้ยังไม่ทันจะปรับตัวได้
บริเวณไม่ไกลออกไปนัก เจียงซื่อมองดูเขา นางรออยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เมื่อพบพี่ชายจึงได้เดินออกมาจากรถม้า
เจียงจั้นรู้สึกประหลาดใจ “น้องสี่ เจ้ามาได้อย่างไร”
ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมา หญิงสาวยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้ามารับพี่รองกลับบ้าน”
เจียงจั้นไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่ามืออันใหญ่โตนี้จะวางไว้ตรงใด เขาทำเพียงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าโตขนาดนี้แล้วยังต้องให้น้องสี่มารับอีกหรือ”
คงจะเป็นเพราะพฤติกรรมของเขานั้นย่ำแย่ แม้จะโตถึงเพียงนี้ยังต้องให้น้องสาวคอยเป็นห่วง
เจียงซื่อและเจียงจั้นเดินประคองกันไปที่รถม้า ระหว่างนั้นก็ได้กล่าวว่า ที่จริงแล้วท่านพ่อเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของพี่รองมาก ดังนั้นจึงให้ข้าเดินทางมารับพี่ด้วยตนเองท่านพ่อจึงจะวางใจ”
เมื่อเดินทางมาอยู่ตรงข้างรถม้า เจียงซื่อจึงได้สั่งให้เจียงจั้นขึ้นรถไป
“ข้าขี่ม้าเอง”
“พี่รองขึ้นรถไปเถิด เมื่อคืนนี้เพิ่งจะตกน้ำมา คงไม่มีเรี่ยวแรงเท่าใด หากว่าตกลงมาจากหลังม้าอีกจะทำอย่างไร”
“ข้าย่ำแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ได้ขึ้นรถม้าไปตามคำสั่งของเจียงซื่อ
เจียงซื่อเดินตามขึ้นรถไป จากนั้นคนขับรถก็ได้ใช้แส้บังคับม้าให้เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
อวี้จิ่นยืนอยู่ที่ปากประตูศาลาว่าการพระนคร สายตาทอดมองไปยังสองพี่น้องที่ขึ้นรถม้าเดินทางจากไป เขาอยากจะลากเจียงจั้นลงมาแล้วขึ้นไปนั่งแทนเหลือเกิน เจียงจั้นไม่ได้เป็นโรคไร้เรี่ยวแรงที่อาจถูกสายลมพัดปลิวไปสักหน่อย เหตุใดอาซื่อจึงต้องปฏิบัติกับเขาอย่างระมัดระวังเช่นนี้ด้วย
สตรีนี่ช่างใจอ่อนเหลือเกิน
อวี้จิ่นไม่กล้าที่จะไปโกรธแค้นเจียงซื่อเป็นการส่วนตัว จึงได้ปัดความผิดเหล่านี้ไปที่สตรีทุกคน
รถม้าของจวนตงผิงปั๋วดำเนินไปบนถนนใหญ่อีกเส้นหนึ่ง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นเล็กที่ไม่ค่อยมีคน จู่ๆ ก็พบก้อนหินลอยออกมา
ในวันนี้เหล่าฉินไม่ใช่คนขับรถ คนขับรถม้าเพิ่งพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้ทำตัวไม่ถูก หินก้อนหนึ่งได้ถูกโยน กระแทกเข้าที่ท้องม้าอย่างจัง
ม้าจึงส่งเสียงร้องดังออกมาจนทำให้ภายในรถสั่นไหว
เจียงจั้นปกป้องเจียงซื่อเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“คุณชายรองขอรับ มีคนเข้ามาขวางทางไว้”
เจียงจั้นจึงเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้า
พบว่าชุยอี้และอีกสองคนยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก สายตาของพวกเขาจ้องมาอย่างไร้ความปรานี
“พวกเจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!” เมื่อเห็นทั้งสามคนนั้น เจียงจั้นก็รู้สึกโมโห
ไอ้สามคนนี้คิดว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรจริงหรือ การที่เขาไม่ไปหาเรื่องทั้งสามนั้นนับว่าดีแล้ว แต่พวกเขากลับมาหาเรื่องตน คิดว่าเขาว่าง่ายจริงหรือไร
ชุยอี้ก้าวเข้ามาแล้วกล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ เจียงจั้น เจ้าใจกล้าดีเสียจริงที่กล้าไปฟ้องร้องถึงศาลาว่าการพระนคร เจ้าคิดว่าการที่เจ้ากล่าวออกไปถึงเรื่องที่หยางเซิ่งไฉเป็นคนทำร้ายเจ้าแล้วจะทำให้พวกเราซวยไปด้วยได้หรือ หรือเจ้าต้องการให้หยางเซิ่งไฉตกเป็นผู้ร้าย ถุย อย่าได้ฝันไปเลย!”
ชุยอี้ยิ่งกล่าวยิ่งโมโห
ก่อนหน้านี้เขาเดินทางออกไปจากศาลาว่าการพระนคร และพบว่ารถม้าของสหายอีกสองคนก็อยู่ที่นั่นด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรอให้ทั้งสองคนเดินทางมาพบกันแล้วจึงได้เอ่ยถามก่อนจะพบว่าถูกผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครหลอกเอาเสียแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ตรวจการของศาลาว่าการพระนครจึงได้รับข้อมูลอย่างชัดเจนจากทั้งสามคน
บัดนี้เมื่อทั้งสามรู้ตัวแล้วจึงโมโหยิ่งนัก
พวกเขาถูกหลอกลวงจึงทำให้กล่าวเรื่องการกระทำอันชั่วร้ายของหยางเซิ่งไฉออกมา หากว่าถูกจวนเสนาบดีประจำกรมพิธีการรู้เข้า คงจะต้องเกิดความคับข้องใจแน่นอน
แน่นอนว่าชุยอี้ไม่กลัว แต่เนื่องจากหนึ่งในนั้นเป็นบุตรชายของตระกูลซื่อหลางแห่งกรมพิธีการ กรมพิธีการคือหัวหน้าของบิดาเขา เมื่อคิดได้เช่นนี้หากจะไม่ให้เกลียดเจียงจั้นก็คงแปลก
“หมาที่ดีไม่ควรเข้ามาขวางทาง จงไปเสียให้พ้น!” เจียงจั้นพร้อมที่จะลงไม้ลงมือกับอีกสามคน แต่บัดนี้น้องสาวยังอยู่ในรถ เขาจึงทำได้เพียงเก็บความคับแค้นนี้เอาไว้
“เมื่อคืนนี้เหตุใดคนที่จมน้ำตายจึงไม่ใช่เจ้า! บัดนี้อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าทำท่าทางหยิ่งผยอง พวกเราลุย!” ชุยอี้โบกมือ จากนั้นทั้งสามคนก็พากันรุมเข้าไป