สำนักฮั่นหลินเป็นหน่วยงานที่ทรงคุณวุฒิที่สุด ไม่ว่าเหล่าฮั่นหลินจะโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใดๆ ก็จะก่อตัวเป็นคลื่นใหญ่ของราชสำนักได้ในที่สุด จึงถือว่าเป็นอำนาจที่ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อาจละเลยได้
นี่คือยุคที่หากไม่เป็นจิ้นซื่อก็มิอาจเป็นฮั่นหลิน และหากมิใช่ฮั่นหลินก็มิอาจเป็นเน่ยเก๋อได้ จึงถือว่าเป็นยุคที่เหล่าบัณฑิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ทุกคนในสำนักฮั่นหลินถูกนับว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านทั่วไป คำยกย่องสรรเสริญทั้งหมดทั้งมวลจะมีไว้สำหรับคนเหล่านี้ แต่ก็มีบางคนที่ภายนอกดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ธาตุแท้กลับเป็นสุนัขจิ้งจอกในคราบมนุษย์
ทันทีที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นจูจื่ออวี้ เจียงซื่อไม่รู้ว่าตนควรจะโกรธหรือรู้สึกโล่งใจดี
ถ้าเป็นเขาก็ดี ในเมื่อมีเป้าหมายชัดเจนเช่นนี้ ทุกอย่างจะได้ง่ายขึ้น
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้น
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หมู่เมฆบางเบา นำพาให้จิตใจผู้คนเบิกบานอย่างยิ่งยวด
นางไม่ได้ถามอวี้จิ่นว่าเหตุใดถึงให้พาตัวเหล่าอวี๋ไป ในเมื่ออวี้ชียื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องนี้แล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องกังวล
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการรอคอยเท่านั้น
เดิมทีนางคิดว่าคงปล่อยจูจื่อวี้ไว้ไม่ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่นั่นก็เป็นวิธีการสุดท้ายที่นางจะเลือกด้วยเช่นกัน
เพราะอย่างไรแล้วการฆ่าคนก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และก็มิใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก
แม้นางมิได้สนใจอย่างอื่น แต่หากนางฆ่าจูจื่ออวี้จริง เกรงว่าพี่สาวคนโตของนางคงได้แค้นนางไปชั่วชีวิต
เจียงซื่อทั้งละโมบและใจแคบในเวลาเดียวกัน
เหตุใดการกำจัดคนชั่วถึงจะเป็นเหตุให้พี่สาวคนโตต้องโกรธเกลียดนางไปชั่วชีวิต และมีความจำเป็นใดที่จะต้องปล่อยให้เรื่องนี้มาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนางและพี่สาวต้องขาดจากกัน
คนอย่างจูจื่ออวี้ควรต้องพบเจอกับความอัปยศอดสู ควรถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย และควรอยู่อย่างทุกข์ทรมานจากสายตาของผู้คน ส่วนพี่สาวคนโตของนางควรจะได้พาเยียนเยียนกลับมาที่จวนตงผิงปั๋ว ความรู้สึกทุกข์ใจในช่วงแรกย่อมมีเป็นธรรมดา แต่หากนางได้เห็นธาตุแท้ของชายผู้นี้ นางเชื่อว่าพี่สาวของนางจะลืมวันคืนเหล่านั้นได้ในที่สุด
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่ร่าเริง อวี้จิ่นจึงรีบเข้ามาปลอบ “อาซื่อ เจ้าดูสิ การที่สตรีแต่งงานออกเรือนไปเสี่ยงกว่าการลงพนันเสียอีก หากโชคไม่ดีได้แต่งงานกับชายโฉด ชีวิตคงพังยับเยิน”
“อื้ม”
“ดังนั้นน่ะ แต่งงานกับข้าถึงจะสบายใจได้”
เจียงซื่อไร้อารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงจึงบอกเพียงว่า “ก็ไม่มีใครเขียนคำว่า ‘คนเลว’ ไว้ที่หน้าผากนี่”
อวี้จิ่นชะงักไปชั่วครู่ ไม่อาจสรรหาคำมาต่อกรได้ สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “กาลเวลาพิสูจน์คน”
ดูเหมือนเจียงซื่อจะพอใจประโยคนั้น
หากเรื่องพวกนี้ยังไม่ถูกคลี่คลาย นางก็ไม่มีกะจิตกะใจไปแต่งงานกับใครเช่นกัน ในเมื่ออวี้ชีพูดเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็เท่ากับว่าให้เวลานางได้ทบทวนนานขึ้นอีกหน่อย
เจียงซื่อรู้สึกว่าลึกๆ ตนเองเป็นพวกแสดงออกไม่เก่ง เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะกลัวว่าจะเสียความสัมพันธ์นี้ไป ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือนางขี้ขลาดเกินกว่าจะยืดคอออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง
นางตัดสินใจแล้วว่า อนาคตนางจะเลี้ยงเต่าตัวหนึ่ง ทุกๆ วันนางจะก่นด่าที่เต่าเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง เหมือนเป็นการต่อว่าตนเองไปในตัว
“จริงสิ เรื่องแม่นางฉูฉู่ เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อ”
เจียงซื่อคิดก่อนจะตอบ “ไหนๆ ข้าก็ออกจากจวนมาแล้ว ข้าไปเยี่ยมนางหน่อยแล้วกัน”
จูจื่ออวี้ทางนี้มีอาเฟยคอยจับตาดูอยู่ ส่วนฉิงเอ๋อร์ก็มีอาหยาคอยจับตาดูอยู่
นางจะใจร้อนไม่ได้ นางไม่ควรเอาแต่กังวลเรื่องพี่สาวคนโตจนเป็นเหตุให้เรื่องอื่นๆ ต้องพลอยเสียไปด้วย
ตรอกซงจื่อในเวลานั้นยังคงเงียบสงบ
ชีวิตของผู้คนเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น และส่วนใหญ่ก็มักจะกลับมาช่วงที่ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว มีเพียงคนชราและเด็กที่ถูกทิ้งให้อยู่กันตามลำพัง
หลังจากฉูฉู่ยืดเส้นยืดสายกลางสวนเสร็จแล้ว นางก็มักจะนั่งยองพลางถอนหายใจอยู่ที่ริมกำแพง
แม้จะบอกว่าการอยู่ที่นี่ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องข้าวปลาอาหาร ทั้งยังได้รักษาบาดแผลจนหายดี แต่ชีวิตที่ปราศจากอิสระในการไปไหนมาไหนจะต่างอะไรจากการถูกจองจำอยู่ในคุก
นางเริ่มโหยหาวันเวลาแห่งความโชคร้ายเหล่านั้น เพราะว่าอย่างน้อยหากนางใคร่จะออกไปไหนก็ร่อนเร่ไปได้ตามใจหมาย ไม่มีผู้ใดมาคอยควบคุม
ฉูฉู่จ้องมองไปยังคนของนาง พลางปริภาษสาปส่งอวี้จิ่นในใจ
มีเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวแว่วมาจากหน้าประตู และชายที่กำลังถูกใส่ร้ายก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวรับใช้นางหนึ่ง
“อะแฮ่ม” เมื่อเห็นฉูฉู่นั่งยองไม่สนใจอยู่ริมกำแพงอย่างนั้น อวี้จิ่นจึงกระแอมไอออกมาอย่างอดไม่ได้
ต้องให้อาซื่ออยู่ห่างจากหญิงผู้นี้หน่อย จะได้ไม่ลอกเลียนแบบอย่างที่ไม่ดี
ฉูฉู่เหลือบมองอวี้จิ่นแวบหนึ่งก่อนจะละสายตากลับไปด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ นางพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง “เมื่อไหร่คู่หมั้นของคุณชายอวี๋จะมา หากนางยังไม่มาข้าจะไปจริงๆ แล้วนะ ข้าจะบอกอะไรให้ว่าเจ้าพาสาวรับใช้คนนี้มาก็ไม่มีประโยชน์ ข้าไม่ได้ต้องการคนดูแล…”
“แม่นางฉูฉู่” เจียงซื่อเอ่ยเรียก
ครั้นได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฉูฉู่ก็ประหลาดใจ นางขมวดคิ้วหันไปพิศมองเจียงซื่อก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคือหญิงที่ไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ย!”
“ข้าเอง”
ฉูฉู่รีบหันไปมองอวี้จิ่นและพูดขึ้นว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นแค่สาวรับใช้ของเขา มิใช่คู่หมั้น”
แบบนี้ค่อยฟังดูเข้าท่าหน่อย บุรุษดีๆ ที่ไหนจะพาคู่หมั้นไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ย แต่หากเป็นพวกชายเสเพลก็มักจะมีสาวรับใช้ติดตามไปด้วยเป็นเรื่องปกติ
อวี้จิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “นางเป็นคู่หมั้นของข้า”
ฉูฉู่แสดงออกชัดว่าไม่เชื่อ
“ทำไมรึ บางทีคู่หมั้นข้าก็ชอบแต่งตัวเป็นบุรุษ บางทีก็ชอบแต่งตัวเป็นสาวรับใช้ แม่นางฉูฉู่อิจฉาหรือไง”
ฉูฉู่หันไปมองท่าทางของเจียงซื่อแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ นางเพิ่งเคยเห็นสตรีที่ใช้ชีวิตอิสระเช่นนี้ครั้งแรก หากคิดดูแล้วนั่นเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตนางเลยก็ว่าได้
ฉูฉู่ส่งยิ้มพราวให้เจียงซื่อ “ข้ายังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าเลย โชคดีที่เคราะห์ร้ายคราวนี้มีเจ้าช่วยไว้ หากข้าไม่รู้นามของเจ้าคงจะไม่ได้…”
เจียงซื่อเหลือบมองไปที่อวี้จิ่นแวบหนึ่ง
อวี้จิ่นเข้าใจทันทีจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก “เชิญพวกเจ้าคุยกันตามสบาย”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นออกไปแล้ว เจียงซื่อก็หันไปค้อมตัวให้ฉูฉู่
ฉูฉู่ตกตะลึง “นี่เจ้าทำอะไรหรือ แค่พวกเจ้าจะบอกชื่อก็ต้องเป็นทางเป็นการขนาดนี้เชียวรึ”
คนในเมืองหลวงนี่ช่างพิลึกแท้
เจียงซื่อยืดตัวขึ้น พลางหันไปขอโทษขอโพย “ข้าแซ่เจียง แม่นางฉูฉู่เรียกข้าว่าอาซื่อก็ได้ ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากมาขอโทษ”
ฉูฉู่ฉงนหนัก “ความจริงแล้วข้ากับเจ้าเคยพบกันมาก่อน ตอนระหว่างทางกลับจากวัดไป๋อวิ๋น...”
ฉูฉู่มองเจียงซื่อด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ พยายามควานหาความทรงจำในวันนั้น
เจียงซื่อจึงเอ่ยถึงเรื่องม้าพยศ ฉูฉู่ถึงนึกขึ้นได้ “ที่แท้ก็เจ้านี่เอง”
นางโบกมือไปมา “แล้วมันน่าขอโทษตรงไหนหรือ ม้าพยศเป็นเพียงอุบัติเหตุ หาใช่ความผิดของเจ้า”
เจียงซื่อเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีละอายใจ “ข้าเพิ่งจะรู้ว่าความจริงแล้วคนพวกนั้นไม่ได้ต้องการตามล่าแม่นางฉูฉู่ แต่ต้องการตามล่าข้า…”
สีหน้าของฉูฉู่เปลี่ยนสีโดยพลัน ตากลมโตจ้องไปที่เจียงซื่อจนเกือบถลนออกมา
เรื่องที่ควรจะบอกก็บอกไปหมดแล้ว ท่าทางของเจียงซื่อจึงสงบลง
เพราะนางเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนๆ หนึ่งเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากนางจะต้องถูกต่อว่า นางก็ทนได้
แต่แน่นอนว่าต้องมิใช่การลงไม้ลงมือ เพราะต่อให้นางจะยอม แต่จากนิสัยของอวี้ชีแล้ว เกรงว่าอีกฝ่ายอาจไม่รอดชีวิตกลับไปเช่นกัน นางอยากให้ฉูฉู่ตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วย
หลังจากจ้องอยู่นาน ฉูฉู่ก็คลี่ยิ้มออกมา “ช่างเถอะ ถือซะว่าข้าโชคร้าย เจ้ามิต้องคิดมาก”
ตั้งแต่เล็กจนโตนางพบเจอเรื่องร้ายๆ มานับไม่ถ้วน แต่คนส่วนใหญ่ที่เป็นต้นเหตุความทุกข์ของนางไม่เคยรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
คนแบบอาซื่อ คบได้!
ฉูฉู่ตัดสินใจแน่วแน่ ตอนถูกคนพวกนั้นไล่ต้อน ไม่รู้ว่าถุงเงินร่วงหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉะนั้นนางก็จะขอตามติดอาซื่อไม่ไปไหน หากวันหน้าคราใดมีเงินเก็บเพียงพอแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
ตั้งแต่ออกมาจากตรอกซงจื่อ ใบหน้าของอวี้จิ่นยังคงปั้นปึ่งอยู่อย่างนั้น
ไร้เหตุผลสิ้นดี เขายังไม่เคยตามติดเจียงซื่อแจเช่นนั้นเลย ดันมีสตรีมาตัดหน้าเสียได้!