“แน่ใจหรือว่าเป็นฝีมือของเธอจริงๆ?” ตู๋กูซิงหลันพิงร่างลงไปบนโซฟา สองมือกอดอก แววตาเป็นประกายเย็นยะเยือก
แต่นางก็ไม่ได้ผลักไสผ้าห่มบนตัวออกไป
ความห่วงใยเอาใจใส่จากบุรุษ หากปฏิเสธมีแต่จะทำให้หมองใจกันเสียเปล่า
“เก้าในสิบส่วนเลยเอ้า” Sherry พยักหน้า “เธอก็รู้นี่ว่า วงการนี้ยิ่งลึกก็ยิ่งร้าย วิธีการก็ยิ่งชั่วช้า สองปีที่เธอไม่อยู่…..เดิมทีนางไต่เต้าชื่อเสียงมาจาก ‘เพื่อนสนิท’ ……ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว แล้วนางจะไม่ร้อนใจได้หรือ?”
“ฉันว่านะ ตอนนั้นน่ะ ไม่สมควรจะไปช่วยนังคนเนรคุณนั่นเลย!” Sherry คิดแล้วก็แค้นเสียจนมวนท้อง!
ละครชุดเรื่องแรกของตู๋กูซิงหลันคือเรื่องดาบประกาศิตเทพธิดาแมรี่ซู จอมมารหญิงที่ทั้งงดงามเย้ายวน โหดเ**้ยมและแข็งแกร่ง บทบาทที่โดดเด่นส่งให้นางดังเป็นพลุแตกอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น บรรดายักษ์ใหญ่ในวงการต่างก็หมายตาเธอ คิดจะเซ็นสัญญากับเธอให้ได้
แต่ว่าวงการบันเทิงก็เป็นเช่นนี้เอง เดิมทีก็เป็นวงการที่มีเรื่องสกปรกปะปนอยู่แล้ว
เพียงแค่เขาพลั้งเผลอไปแว๊บเดียว ก็ถูกคนฉวยโอกาส พาตู๋กูซิงหลันไปกินข้าวในงานเลี้ยงส่วนตัว
ถึงจะบอกว่ากินข้าว แต่สำหรับคนบันเทิงแล้วมันก็คือการซื้อขายร่างกายแลกเปลี่ยนกัน….
คนบันเทิงขายเนื้อหนัง นายทุนก็จะให้โอกาสพวกเธอได้แสดง หรือว่ามีบทบาท หรือไม่ก็ได้โชว์ตัวอะไรขึ้นมา ขอแค่ให้ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามวลชนได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจก็พอ
ซ่งเจียงเสวี่ยถูกผู้จัดการของนางชักนำไปเป็นเพื่อนดื่มเพื่อนนอนของพวกนั้น….ตอนนั้นซ่งเจียงเสวี่ยพึ่งจะเริ่มมีชื่อเสียง ดูไปแล้วก็น่ารักไร้เดียงสา
ตอนที่เขาพาคนไปตามหาซิงหลัน ก็พบว่าทูนหัวของตนกำลังตะบันหน้าคนเหล่านั้นจนจมูกเขียวหน้าเบี้ยวกันไปทั้งแถบ
ทั้งยังบังเอิญยื่นมือไปช่วยเหลือซ่งเจียงเสวี่ย ‘ที่หลงผิด’เอาไว้ด้วย
ตอนนั้นตนเองก็เห็นว่าซ่งเจียงเสวี่ยหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสา เป็นกำพร้าที่ไร้ทั้งบิดามารดา เติบโตจากสถานกำพร้ามาแต่เล็ก ไม่รู้จักโลกภายนอกจนน่าส่งสาร จึงดึงตัวนางมาจากผู้จัดการของนาง
ใครจะไปคิดว่า….นี่มันจะเป็นเรื่องชาวนากับงูเห่าแท้ๆเชียว
สาวน้อยคนนั้นดูๆแล้วเหมือนจะใสซื่อไร้เดียงสา แต่ที่จริงแล้วกลับร้ายลึก ตั้งแต่ตอนแรกที่ซิงหลันยังอยู่ ซ่งเจียงเสวี่ยก็แอบไปทำข้อตกลงลับๆที่ไม่อาจบอกใครได้กับพวกยักษ์ใหญ่ในวงการแล้ว….
ถึงแม้ว่าจะได้รับโอกาสมาไม่น้อย แต่ว่าเมื่อมีตู๋กูซิงหลันส่องสว่างเจิดจ้าอยู่ด้านหน้า ต่อให้นางมีดีโดดเด่นอย่างไรก็ยังต้องหมองไป
ดังนั้นจะดังก็ไม่ดังจะดับก็ไม่ดับ เป็นแค่นักแสดงแถวสามมาโดยตลอด
กระทั่งเมื่อตู๋กูซิงหลันหายตัวไป นางก็เริ่มสร้างบทบาทในฐานะ ‘เพื่อนสนิท’ ขึ้นมา สุดท้ายสร้างเรื่องที่ทั้งกำกับเองเล่นเองอย่างใหญ่โตว่าทะเลาะกับเขาที่เป็นผู้จัดการ
ทำเอาเขาโดนเผาจนเกรียมไปทั้งตัว
เฮ่อ หลังจากที่ซิงหลันหายตัวไปสองปี ในที่สุดนางก็ได้ครองบัลลังค์ราชินีสมใจแล้ว
หากนับเวลาดู ก็พึ่งจะเมื่อเดือนก่อนนี้เอง
มีแต่คนที่ได้รับรางวัลเฟิ่งหวงทองคำเท่านั้นถึงจะถือว่าได้เป็นราชินีจอเงิน
ดูสิ พึ่งจะได้รับรางวัลมายังไม่ทันจะร้อนมือ ทูนหัวก็กลับมาแล้ว
Sherry เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสองปีให้ตู๋กูซิงหลันฟังด้วยความขุ่นเคือง แต่กลับเห็นทูนหัวของตนเองมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย
“เธอไม่โกรธเลยหรือ?” Sherry ไม่เข้าใจ
“ก็เค้าทำร้ายตัวเอง ฉันจะต้องไปโกรธอะไร?” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเบาๆ หากSherryไม่ได้เอ่ยขึ้นมา นางก็คงจะลืมคนๆนี้ไปแล้ว
วงการบันเทิงก็มีเรื่องสกปรกแบบนี้อยู่แล้ว คิดจะอยู่รอดได้โดยไม่แปดเปื้อนตะกอนแม้แต่น้อย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีใครหนุนหลังมาก่อนอย่างซ่งเจียงเสวี่ย
ตู๋กูซิงหลันเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่ซ่งเจียงเสวี่ยแอบทำเรื่องเล็กๆน้อยๆลับหลังตน นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเก่งกาจขึ้นมา จนถึงขึ้นได้รับรางวัลเฟิ่งหวงทองคำกับเขาด้วย
“ทูนหัว นี่หล่อนเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดหรือยังไง!” Sherry หงุดหงิดจนท้องจะระเบิดแล้ว เมื่อเห็นคนของตนเอง ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา “แต่ว่ายัยนั่นกล้ารังแกเธอ ฉันก็จะเอาคืนให้เธอเอง”
นางย่นคิ้วหัวเราะเบาๆ แววตาของดวงตาดอกท้อคู่นั้นทอประกายร้ายกาจออกมา
Sherry ตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกว่านางมีบางอย่างแปลกไปกว่าแต่ก่อนนิดหน่อย
คล้ายกับว่าอุปนิสัยเติบโตขึ้นแล้ว
ที่จริงเสินฟางยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้บอกตู๋กูซิงหลัน นั่นคือก่อนที่ซื่อมั่วจะไปเข้าณานที่ธารน้ำพุเหลืองได้ใช้ยันต์ครอบการจดจำกับนาง
ถึงแม้ว่าเยี่ยซิงหลันกับตู๋กูซิงหลันจะมีความคล้ายคลึงกันถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ว่าก็ยังมีบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน
ตอนนี้นางกลับคืนมาพร้อมฐานะและร่างกายของตู๋กูซิงหลัน ย่อมต้องยังเป็นใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน
แม้ว่าทั้งเยี่ยซิงหลันและตู๋กูซิงหลันต่างก็คือตัวนาง
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในก้นทะเลลึก ขณะที่ซื่อมั่วตบไหล่นางก็ได้ผนึกยันต์ครอบการจดจำนี้ให้กับนางแล้ว
เมื่ออยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นนาง ต่างก็จะคิดว่าตู๋กูซิงหลันก็คือเยี่ยซิงหลัน
ใบหน้านี้พวกเขามองไม่เห็นความแตกต่างใดๆ
คนอย่างซื่อมั่ว…..ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ล้วนทำทุกอย่างเพื่อตู๋กูซิงหลันทั้งนั้น
แต่ว่ากลับไม่เคยเอ่ยปากบอกกับนาง
แม้แต่ Sherry ที่สนิทสนมใกล้ชิดกับเยี่ยซิงหลันจะรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็ยังดูไม่ออก
ตู๋กูซิงหลันเห็นสายตาของเขา ก็เอ่ยว่า “พอดีเลยช่วงนี้ตึงมืออยู่บ้าง เธอช่วยดูหน่อยสิว่า มีอะไรที่น่าสนใจ….”
พูดแล้ว สายตาของนางก็มองไปยังฮ่องเต้ที่นั่งถือชามปากบิ่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
หากจะฝากความหวังให้เขาไปเป็นขอทาน….เกรงว่าทั้งสองคนต้องอดตายแน่ๆ
หากตัวร้ายผู้นี้ออกไปจากสวนดอกกุหลาบ เกรงว่าอัตรารอดชีวิตในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปจนล้ำหน้าขนาดนี้คงจะเป็นศูนย์
ได้ฟังประโยคนี้ของนาง Sherry ก็อดจะตกใจไม่ได้ จนต้องมองตามสายตาของตู๋กูซิงหลันมายังจีเฉวียนด้วยคน
นี่หรือจะเป็นเพราะว่า พ่อทูนหัวคนนี้ไม่อาจเลี้ยงดูซิงหลันได้ จึงต้องบีบให้ซิงหลันปรากฏตัวอีกครั้ง?
หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ แค่รายได้จากกการถ่ายละครเพียงเรื่องเดียวของทูนหัว …. ก็สามารถจะแลกทองมากองท่วมบ้านพักของนางแล้วไม่ใช่หรือ?
พอเห็นชามในมือของพ่อทูนหัวและป้าย Qr Code …..เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามออกไป
“ขอโทษนะพ่อทูนหัว นี่คุณกำลังเตรียมตัวจะไปทำอะไร?”
จีเฉวียน “ขอทาน เลี้ยงดูซิงซิง”
Sherry …..ม่ายยย
ที่แท้ทูนหัวของเขาไม่ได้แต่งกับยอดชายผู้ร่ำรวย…..แต่ว่าแต่งกับเด็กหน้าขาวที่ต้องเอามาเลี้ยงดูอุ้มชู!
ถุย! ไอ้เด็กหน้าขาวที่ดีแต่ขอข้าวกิน!
Sherry อดจะดูถูกเขาไม่ได้ ต่อให้หล่อเหลาแค่ไหนก็ยังรับไม่ได้!
เขาได้แต่ขมวดหัวคิ้ว หันไปเอ่ยกับตู๋กูซิงหลันว่า “พอดีเลยละครใหม่ที่กำลังจะออกตอนนี้ ขาดตัวประกอบชายคนหนึ่ง…..หากว่าพ่อหน้าขาว….อะแฮ่ม พ่อทูนหัวไม่รังเกียจละก็ มาลองเล่นดูก็ได้เอาๆไหม? ยังไงก็ยังได้เงินมากกว่าไปเป็นขอทานเยอะเลย!”
ตู๋กูซิงหลัน “ฉันบอกให้เธอหางานให้ฉันทำ”
“ได้เงินเยอะหรือ? สามารถซื้อเนื้อมาเลี้ยงซิงซิงได้มากแค่ไหน ซื้อเสื้อผ้าได้กี่ชิ้น?” ไหนจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับทรงไต่ถามอย่างจริงจัง “ซิงซิงชอบกินเนื้อ เสื้อผ้าก็มีน้อยจนเกินไป เราจะต้องหาเงินให้มากๆ”
ถึงพระองค์จะฟังคำบางคำไม่เข้าพระทัย อย่างเช่นตัวประกอบชายอะไรนั่น แต่ก็รู้ว่า นั่นสามารถหาเงินได้
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
Sherry “พ่อหน้าขาว…. พ่อทูนหัวช่างรักใคร่ทนุถนอมลูกพี่หลันของพวกเราจริงๆ”
“วางใจเถอะ วางใจได้เลย พอให้ลูกพี่หลันมีกินมีใช้ไปเดือนหนึ่งอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้ทรงลูบชามปากปิ่นในพระหัตถ์ ตรัสอย่างรวบรัดชัดเจนว่า “ตกลง เรารับงานนี้แล้ว”
…………………………
ไรท์: พี่เต้! ถ้าเข้าวงการบันเทิง ไปจับมือจับไม้ผู้หญิงอื่น…..แค่คิดก็บ้านแตกแล้ว!!!
ตอนต่อไป “เราเป็นเด็กดี เชื่อฟังคำพูดของเจ้าที่สุดแล้ว”