สุดท้ายเขาก็ได้ผู้หญิงคนนี้
เขาได้ผู้หญิงที่เกิดในตระกูลชนชั้นสูง
แล้วจะมีประโยชน์อย่างไรเล่า จากสถานการณ์ของเขาในเวลานี้ อย่าว่าแต่ได้บุตรสาวขององค์หญิงใหญ่มาเป็นภรรยา ต่อให้ได้แต่งงานกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ ก็ไร้สิ้นความหมายใด
ผ้าคลุมมงคลไม่ถูกเปิดออกสักที
เพราะจูจื่ออวี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลจูแล้ว งานแต่งครั้งนี้จึงไม่มีญาติฝ่ายชายมาเลยสักคน แม้แต่สี่เหนียงยังถูกส่งตัวมาจากสำนักพระราชวัง
สี่เหนียงหลบสายตาแห่งความเบื่อหน่าย นางส่งสายตาเร่งและกล่าว “คุณชายรีบเปิดผ้าออกเถอะเจ้าค่ะ ยังมีพิธีแลกจอกสุรากับเจ้าสาวอีก”
“ออกไป”
สี่เหนียงชะงัก สิ่งที่เห็นคือแววตาที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยของจูจื่ออวี้
ชุยหมิงเย่ว์ที่สวมผ้าคลุม ออกแรงดึงชุดแต่งงาน
“ออกไปเถอะ ที่เหลือพวกเราจัดการเอง”
สี่เหนียงลังเลครู่เดียวก็ทำตามความต้องการของจูจื่ออวี้
นี่คือคนบ้าที่แย่งตัวเจ้าสาวขององค์ชายเชียวนะ นางเป็นเพียงสี่เหนียง ไม่จำเป็นต้องนำชีวิตไปเสี่ยง…
เมื่อชั่งน้ำหนักอย่างฉับไวเสร็จ สี่เหนียงก็พาสาวรับใช้สองคนออกไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเหลือไว้เพียงคู่บ่าวสาว เทียนมังกรคู่หงส์เผาไหม้เงียบๆ พลันเกิดดอกไม้ไฟขึ้นมา
จูจื่ออวี้หันมองเทียนมงคล
เกิดดอกไม้ไฟนับว่าเป็นลางดี…เขาเผลอคิด ตอนหันไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงหัวเตียง เขาก้าวเท้าเข้าไปหาทีละก้าว
ชุยหมิงเย่ว์นั่งตรงขอบเตียงนิ่ง เพราะถูกผ้าคลุมไว้จึงมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็ยิ่งนิ่ง
เบื้องหน้าพลันสว่าง ผ้าคลุมมงคลถูกช้อนขึ้นและโยนไปด้านข้าง สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือชายหนุ่มผู้ไร้สีหน้าใดๆ
ผอมบาง ผิวขาว มีความสง่างามแต่ชวนให้รู้สึกสงสาร
ชุยหมิงเย่ว์กลับไร้ความรู้สึกใด
สิ่งที่นางชื่นชมคือชายหนุ่มดั่งเหยี่ยวที่ข่วนหมาป่า ไม่ใช่จูจื่ออวี้ที่อ่อนแอเหมือนไก่อ่อนเช่นนี้
อย่าว่าแต่เป็นสามีภรรยากันจริงๆ เพียงแค่คิดว่าต้องเป็นสามีภรรยากันในนามกับผู้ชายเช่นนี้ นางก็อยากอ้วกทันที!
จูจื่ออวี้ยืนมองหญิงสาวที่สวยสดดุจดอกไม้ ภายในใจไม่มีความดีใจแม้เพียงเสี้ยวเดียว
“เหนียงจื่อ[1] แลกจอกสุรากันสักหน่อยเถอะ” ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใด จูจื่ออวี้เงียบไปครู่หนึ่งถึงยกจอกสุราด้านข้างขึ้นมาแล้วยื่นให้ชุยหมิงเย่ว์
ชุยหมิงเย่ว์ไม่ขยับ
จูจื่ออวี้ยักคิ้ว “ทำไมรึ เจ้าไม่อยากดื่ม?”
ชุยหมิงเย่ว์เงยหน้ามองจูจื่ออวี้หนึ่งที พลางเตะรองเท้าปักลายทิ้ง “ข้ารู้ว่าในใจของเจ้ามีความแค้น เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำสิ่งเหล่านี้หรอก รีบนอนเถอะ”
จูจื่ออวี้คว้าข้อมือชุยหมิงเย่ว์ ขวับ
ชุยหมิงเย่ว์ย่นคิ้วพร้อมกล่าวตำหนิ “นี่เจ้าจะทำอะไร”
จูจื่ออวี้ขยับตัวเข้าหานาง น้ำเสียงเย็นเยือก “ทำอะไรรึ ออกเรือนกับไก่ก็อยู่ตามไก่ ออกเรือนกับสุนัขก็อยู่ตามสุนัข[2] ชุยหมิงเย่ว์ เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูที่สูงส่งอยู่อีกรึ”
เขาพูดพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งบีบคางแหลมของชุยหมิงเย่ว์ ส่วนมืออีกข้างยกจอกสุราขึ้นแล้วกรอกเข้าปากนางอย่างโหดเหี้ยม
“อึกๆๆ สารเลว…” ชุยหมิงเย่ว์ดิ้นสุดแรง เมื่อสุราที่เผ็ดร้อนถูกบังคับกรอกเข้าไปในลำคอ นางจึงไอขึ้นอย่างรุนแรง
ด้านกำลัง ผู้ชายย่อมได้เปรียบกว่าเสมอ
เมื่อสุราหนึ่งจอกกรอกหมดแล้ว จูจื่ออวี้ก็ยกอีกจอกขึ้นดื่มจนเกลี้ยง เขาออกแรงเช็ดปาก
ริมฝีปากของเขาแดงขึ้นเล็กน้อยจากการเช็ด แต่ก็สู้รูปหน้าที่สวยสดดุจบุปผาของหญิงสาวไม่ได้
การทลายกรงแห่งความอ่อนโยน ปลดปล่อยสัตว์ร้ายในใจออกมา ดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องชั่ววินาทีเท่านั้น
จูจื่ออวี้ช้อนตัวหมิงเย่ว์ขึ้นแล้วโยนลงบนเตียงหอโดยไม่สนใจแม้แต่การปล่อยมุ้งลงมา เขาคร่อมตัวลงแล้วจูบอย่างบ้าคลั่ง
การจุมพิตของเขาไม่มีความทะนุถนอมแม้เพียงเสี้ยวเดียว เป็นการแก้แค้นที่ถูกสั่งสมมานานดุจภูเขาไฟที่เริ่มปะทุ
ริมฝีปากของชุยหมิงเย่ว์ถูกกัดเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ในลำคอเริ่มเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
การดิ้นสุดแรงของนางหยุดลงอย่างช้าๆ มุมปากของนางกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา
สารเลวจูจื่ออวี้ นึกว่าได้แต่งงานกัน นางก็จะกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงที่ยอมถูกใครๆ สับรึไง
กล้าใช้วิธีสกปรกต่ำช้าเช่นนั้นก่อความวุ่นวายในงานอภิเษกของนางกับเซียงอ๋อง คิดรึว่านางจะยอมรับชะตาชีวิตเช่นนี้
ฝันไปเถอะ มีทางสวรรค์ให้เดินแต่ไม่เดิน กลับเลือกพุ่งเข้ามาในนรกที่ไม่มีประตู!
ความเย็นชาภายใต้แววตาของชุยหมิงเย่ว์ได้แปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาต มือที่ผิวขาวดุจหยกขาวยื่นเข้าไปในผ้าแพรลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองทีละนิด จากนั้นหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากบริเวณที่สะดวกที่สุด
มีดสั้นเล่มนี้ไม่มีปลอก ด้ามมีดส่องแสงวิบวับภายใต้แสงเทียน
ชายหนุ่มที่คร่อมตัวอยู่ด้านบน ดูเหมือนจะสัมผัสไม่ถึงความอันตรายที่ย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ เขาฉีกชุดแต่งงานสีแดงสดออกอย่างหยาบคาย พร้อมสอดมือเข้าไปอย่างเหิมใจ
“คุณหนูชุย ช่วยบอกข้าหน่อย ข้าจูจื่ออวี้หลอกลวงเจ้าอย่างไร” จูจื่ออวี้กัดตรงไขกระดูกที่เผยออกมาของหญิงสาว น้ำเสียงที่ดุดันปะปนไว้ด้วยความโกรธและความน้อยใจ “ตอนที่เจอกันครั้งแรก เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้ามีภรรยา เจ้ามันหญิงชั่วช้าจอมหลอก…”
คำพูดในตอนท้ายพลันหยุดลง
สีหน้าของจูจื่ออวี้บิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวอันเนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
หรือพูดได้อีกอย่างว่า เพราะมีดเล่มนั้นแทงได้แม่นยำเกินไป จนทำให้เขาไม่มีแม้แต่แรงตะโกน
เสียง อึกๆอักๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอของจูจื่ออวี้
ชุยหมิงเย่ว์ไม่กะพริบตาจนถึงฝ่ายตรงข้ามโน้มตัวใส่นางไม่ขยับตัวอีก นางจึงจะคลายมือผลักคนข้างบนไปข้างๆ แล้วลุกนั่ง
ผู้ชายที่เตรียมตัวใช้ความรุนแรงเมื่อสักครู่ เวลานี้ได้กลายเป็นศพที่เนื้อตัวยังร้อนอยู่
ชุยหมิงเย่ว์กำลังหายใจช้าๆ เพื่อฟื้นสภาพกำลัง
การเผชิญหน้ากับคนที่ฆ่าด้วยมือตัวเองไม่ได้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับเกิดเป็นความตื่นเต้นมากกว่า
การฆ่าคนรู้สึกถึงความสำเร็จมากกว่าการฆ่ากวางเสียอีก
ชุยหมิงเย่ว์นั่งบนเตียงหอที่ปูไว้ด้วยผ้าแดงสีเข้มสีอ่อน กำลังมองเลือดที่ไหลออกจากตัวของจูจื่ออวี้ค่อยๆ ปะปนผสมเข้าด้วยกันกับสีแดงเหล่านั้น
สีนี้ช่างสวยสดงดงามจริงๆ
ชุยหมิงเย่ว์อดไม่ได้จึงยื่นมือออกไปแตะเลือดขึ้นมาชิม
เทียนมงคลมังกรคู่หงส์ที่หนาเพียงนิ้วของเด็ก ยังคงลุกไหม้อยู่อย่างนั้น ข้างนอกหน้าต่างเงียบสงบไร้เสียงใด
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว
ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา ครัวเรือนนับหมื่นยินดีปรีดา
ชุยหมิงเย่ว์ถอนหายใจ อ้อมผ่านคราบเลือดแล้วลงจากเตียง
นางไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้ หากว่าจูจื่ออวี้ไม่ก่อความวุ่นวาย แล้วให้นางได้เป็นพระชายาเซียงอ๋องดีๆ ต่างฝ่ายต่างก็จะมีความสุขมิใช่หรือ
ชุยหมิงเย่ว์ถอนหายใจอีกครั้ง พลางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เสียดายที่นางโดดเดี่ยวไม่มีกำลัง ไม่สามารถจัดการหญิงชั่วแซ่เจียงได้
หากพูดถึงความเกลียด คนที่นางเกลียดที่สุดในเวลานี้ก็คือเจียงซื่อ
เจียงซื่อเป็นคนวางแผนเรื่องของจูจื่ออวี้แน่ๆ!
นางไม่มีหลักฐาน แต่นางเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง
คงเป็นเพราะมีชีวิตมาแล้วสิบกว่าปี มีสตรีมากมายเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจแห่งการแข่งขันจากคนๆ หนึ่ง
วิญญูชนสิบปีล้างแค้นยังไม่สาย ขอเพียงนางยังมีชีวิต วันที่คิดบัญชีจะต้องมาถึงในสักวัน
ชุยหมิงเย่ว์พักไปอีกครู่หนึ่งแล้วถอดชุดแต่งงานที่ยุ่งยากออกโดยเร็ว นางก้มลงหยิบกระเป๋าเล็กๆ อันหนึ่งออกมาจากใต้เตียงแล้วเปิดหน้าต่างเบาๆ
ค่ำคืนของเดือนแปด ลมพัดเย็นเล็กน้อย พัดจนนางรู้สึกตื่นตัว
นางยืนอยู่ข้างต้นกล้วยกอหนึ่งด้านนอกหน้าต่าง ชุยหมิงเย่ว์มองเข้าไปด้านในหนึ่งที
ผู้ชายบนเตียงหอนอนในท่าตะแคง ดูเหมือนคนกำลังนอนหลับ
สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางปิดหน้าต่างลงอย่างระมัดระวังและแฝงตัวเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
ชุยหมิงเย่ว์มีวิชาติดตัวเล็กน้อย ต่อให้ตัวคนเดียวนางก็ไม่กลัว นางหนีออกจากเรือนเล็กๆ ได้อย่างราบรื่น
บนทางถนนไม่มีใคร มีเพียงโคมไฟสีแดงหน้าประตูเรือนที่ยังคงส่องแสงสลัว
ชุยหมิงเย่ว์รวบผมขึ้น ฝ่าเท้าหันไปทางหนึ่งและเริ่มก้าวออกไป
ด้านหน้าเป็นทางเลี้ยวทางหนึ่ง ตอนที่นางเดินมาถึง มีมือหนึ่งยื่นออกมาเงียบๆ
[1] เหนียงจื่อ คำใช้เรียกภรรยาของสามัญชน
[2]ออกเรือนกับไก่ก็อยู่ตามไก่ ออกเรือนกับสุนัขก็อยู่ตามสุนัข เป็นสำนวนที่มีความหมายว่า ไม่ว่าสามีจะดีร้ายอย่างไร ภรรยาก็ต้องคล้อยตามสามี เชื่อฟังสามี