ใบหน้าของต้าไท่ไท่โหยวซื่อเปลี่ยนไปฉับพลัน “พระชายา นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่มิต้องกังวล แล้วก็มิต้องตื่นกลัวไปนะเจ้าคะ ข้ามิได้ตรวจสอบนิ้วของท่านเพียงคนเดียว ยังมีท่านลุงใหญ่กับท่านน้ารองอีกสองคนเจ้าค่ะ”
ลุงใหญ่แซ่ซูขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “พระชายา อย่างไรพวกเราก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า…”
เจียงซื่อหัวเราะเยาะพลางบอกอย่างไม่กริ่งเกรง “แต่เพราะในหมู่ผู้อาวุโสมีคนที่ทำร้ายท่านยายและท่านแม่ของข้า หากพวกท่านมิได้ทำผิด ก็แค่ยื่นมือมาให้ข้าดูคงไม่เป็นไรจริงไหมเจ้าคะ”
นางไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับที่คนที่สังหารมารดาของนางได้ ไม่ว่าคนลงมือเป็นใคร คงมิได้หวังว่านางจะปฏิบัติตอบด้วยความสุภาพอ่อนโยนหรอกกระมัง
เหมือนว่าท่านลุงใหญ่แซ่ซูอยากจะกล่าวบางสิ่ง แต่ทว่าโหยวซื่อยื่นมือออกมาเสียก่อน พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “หากพระชายาใคร่ดูก็ดูเถิด”
“มือซ้าย”
โหยวซื่อเปลี่ยนไปยื่นมือซ้าย ฝ่ามือหงายขึ้นอวดปลายนิ้วแก่สายตา
มือของสตรีวัยกลางคนที่ได้รับการบำรุงมาอย่างดี นิ้วขาวเนียนละเอียด ไร้ร่องรอยของบาดแผล
เจียงซื่อเขม้นมองไปที่นิ้วกลางเกลี้ยงเกลา
“พระชายาดูจนพอใจหรือยัง บนนิ้วกลางข้างซ้ายของข้าไม่มีรอยกรีดอยู่เลยจริงไหม” โหยวซื่อถามแกมยิ้มแกมไม่ยิ้ม
ลุงใหญ่ซูถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หากมีคนที่วางยาพิษท่านแม่จริงๆ เขาและน้องชายไม่มีเหตุผลใดให้ทำเช่นนั้น แต่ภรรยาและท่านแม่มิได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรับประกันได้
เจียงซื่อปรายตาขึ้นมองพร้อมกับริมฝีปากที่กระชับขึ้น “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิเจ้าค่ะ”
นางเดินไปหาลุงใหญ่ซู “ท่านลุงใหญ่ช่วยยื่นมือออกมาให้ข้าดูด้วยเจ้าค่ะ”
เขายื่นมือออกมาพร้อมหน้าบึ้งตึง
ผู้มีศักดิ์เป็นลุงรู้สึกหวาดกลัวหลานสาวคนนี้เล็กน้อย
คราวก่อนนางมาร่วมงานวันเกิดของเหล่าฮูหยิน ลูกชายคนสุดท้องก็จมน้ำเสียชีวิต มาคราวนี้ก็มีเรื่องที่เหล่าฮูหยินถูกวางยาพิษ แน่นอนว่าการที่นางสามารถถอนพิษให้เหล่าฮูหยินได้ถือเป็นเรื่องดี แต่ดูเหมือนว่าเด็กนี้โผล่มาทีไร เป็นต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นร่ำไป…
เนื่องจากลุงใหญ่ซูฝึกศิลปะการต่อสู้เป็นประจำ ที่ปลายนิ้วจึงมีรอยด้าน แต่ไม่ปรากฏบาดแผลจากการถูกของแหลมคม
เจียงซื่อหันไปทางน้ารองซู
น้ารองยื่นมือซ้ายของตัวเองออกมา บนนิ้วกลางมีรอยแผลปรากฏชัด
“น้องรอง!” สีหน้าของลุงใหญ่แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
โหยวซื่อตกใจเล็กน้อยพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้น
“รอยแผลบนนิ้วของนายท่านได้มาจากการฝึกวิทยายุทธ์ ข้าเป็นคนพันแผลให้เองกับมือ!” เอ้อร์ไท่ไท่สวี่ซื่อรีบกล่าวทันควัน
น้ารองซูจ้องเขม็งไปที่นาง “พูดมาก!”
การได้แผลจากการฝึกวิทยายุทธ์มันน่าโอ้อวดตรงไหนกัน
อีกอย่างในตอนนั้น เป็นเพราะซูชิงอี้ผู้เป็นหลานชายดันโผล่พรวดออกมา เขาเกรงว่าหลานชายจะได้รับบาดเจ็บจึงชะงักกะทันหัน ทำให้คมมีดบาดเข้านิ้วตัวเอง
วันนี้หลานชายของเขาไม่อยู่แล้ว จะรื้อฟื้นเรื่องพวกนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา
เจียงซื่อมองแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวราบเรียบ “บนนิ้วมือของท่านน้ารองเป็นเพียงแผลเก่า”
เหล่าฮูหยินเพิ่งล้มป่วยได้ไม่นาน ก็แสดงว่าหนอนนั่นเพิ่งเข้าไปอยู่ในร่างของเหล่าฮูหยินเมื่อไม่นานมานี้ แต่โดยปกติแล้วหนอนนั้นต้องดูดเลือดเป็นอาหาร ฉะนั้นรอยแผลบนนิ้วกลางของผู้ที่เลี้ยงมันจะต้องมีทั้งเก่าและใหม่
เหล่าอี๋หนิงโหวเอ่ยปาก “เจ้าหนูสี่ หรือว่าเจ้าคาดการณ์ผิดไป เพราะดูเหมือนว่าคนที่วางยาพิษจะไม่ได้อยู่ในสามคนนี้”
เจียงซื่อหัวเราะ “ไปที่ห้องอื่นกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ในเมื่อตอนนี้ในร่างของท่านยายมิได้มีหนอนดูดเลือดอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่ให้ท่านยายทานอาหารจำพวกบำรุงโลหิต อาการของนางก็จะดีขึ้นในเร็ววัน ตอนนี้ไม่รบกวนการพักผ่อนของนางจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ทั้งหมดย้ายไปอีกห้อง นอกจากอาหมานแล้ว ในห้องนั้นก็ไม่มีบ่าวรับใช้คนอื่นอีกแล้ว
เจียงซื่อสอดส่ายสายตาไปที่ใบหน้าของแต่ละคน และท้ายที่สุดไปหยุดที่โหยวซื่อ
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ยื่นมือซ้ายออกมาอีกทีเถิดเจ้าค่ะ”
โหยวซื่อขบริมฝีปากสนิท สีหน้าของนางเจือไปด้วยความคับแค้นเพราะถูกหักหน้า “พระชายา แม้สถานะของเจ้าจะไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะทำตัวเป็นหญิงร้ายกาจได้ตามอำเภอใจ! ต่อให้ข้ามิได้เป็นผู้ใหญ่ของเจ้า คนธรรมดาที่มิได้มีความเกี่ยวข้องใดกับพระชายาก็ยังมิควรถูกปฏิบัติเช่นนี้…”
เจียงซื่อคว้ามือของโหยวซื่อขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครว่าเจ้ามิได้มีความเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าคือฆาตกรที่ฆ่าแม่ของข้า ฉะนั้นระหว่างเราจึงเชื่อมกันไว้ด้วยความแค้น!”
ในชาติที่แล้ว นางเคยเรียนรู้ทักษะหนึ่งจากอวี้จิ่น นางออกแรงกดเข้าที่จุดอ่อนบนมือของโหยวซื่อ ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถชักมือกลับ
“หนูสี่ เจ้าทำอะไรของเจ้า” ลุงใหญ่แซ่ซูโกรธขึ้งจนลืมเรียกนางว่าพระชายา
เจียงซื่อมิได้ยี่หระ นางแผดเสียง “พี่รอง ช่วยข้าที”
เจียงจั้นรี่เข้ามา ปลายมีดจรดลงที่คอด้านหลังของโหยวซื่อ
ดวงตาของโหยวซื่อกลิ้งไปมาก่อนที่นางจะเป็นลมล้มพับไป
ทั้งโลกหยุดชะงัก
เจียงซื่อดึงมุมปากเล็กน้อย
พี่รองนี่ช่างได้ใจข้าจริงๆ
ลุงใหญ่ซูเดือดดาลเข้าขั้น
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เหล่าอี๋หนิงโหวใช้กล้องสูบฝิ่นทุบโต๊ะเสียงดัง “ในเมื่อหนูสี่กล่าวเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะพล่ามอะไรนักหนา รอให้นางว่าต่อให้จบก่อนไม่ได้เลยหรืออย่างไร”
ลุงใหญ่ซูพยายามข่มกลั้นความโกรธนั้นไว้พร้อมกับหันไปมองเจียงซื่อ
เจียงซื่อหันไปสั่งอาหมาน “เอาผ้าไปชุบน้ำให้ข้าที”
ไม่นาน อาหมานก็นำผ้าที่เปียกมาให้นาง
เจียงซื่อจับนิ้วกลางข้างซ้ายของโหยวซื่อขึ้นมา และใช้ผ้าเปียกเช็ดเบาๆ
สักพัก ปลายนิ้วขาวนวลเนียนก็ปรากฏรอยแผลจากการถูกของมีคม
มีรอยกรีดเล็กๆ ทั้งเก่าและใหม่หลายรอย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ใบหน้าของลุงใหญ่ซูย่ำแย่เกินจะกล่าว
เจียงซื่อหันไปมองเขาแล้วอธิบาย “ง่ายนิดเดียวเจ้าค่ะ เพราะโหยวซื่อต้องการซ่อนรอยแผลบนนิ้ว นางจึงใช้ไขมันมาถูกเป็นชั้นบางๆ ที่ปลายนิ้ว”
การที่ไท่ไท่จากตระกูลสูงศักดิ์จะมีรอยแผลที่ปลายนิ้วคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่การที่รอยแผลเหล่านั้นปรากฏซ้ำๆ ดูน่าแปลกพิลึก
ความผิดปกตินี้ไม่อาจซ่อนจากสายตาสาวรับใช้ข้างกายได้
โหยวซื่อเป็นคนฉลาดและรอบคอบ จึงนำไขมันมาถูกลบรอยแผลเป็น
“น้องสี่ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” เจียงจั้นอดสงสัยไม่ได้
ก่อนหน้านี้นางดูแค่แวบเดียว สีของไขมันก็เหมือนกับสีผิวไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งรอยแผลก็เล็กปานนั้น การจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงมิใช่เรื่องง่าย
เจียงซื่อแตะที่ปลายจมูกตัวเองเบาๆ
เจียงจั้นตรัสรู้โดยพลัน
ที่แท้ก็เพราะนางได้กลิ่นนี่เอง
“พี่รอง ปลุกนางให้ตื่นเถิด”
เจียงจั้นพยักหน้าก่อนจะเข้าไปหยิกโหยวซื่อเต็มแรง
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าร่าง นางจึงเริ่มรู้สึกตัว ทันทีที่นางเห็นสีหน้าผิดแผกของแต่ละคน นางจึงรีบยกมือของตัวเองขึ้นมาดู
รอยแผลบนนิ้วกลางทำให้ใบหน้าของนางซีดเผือดโดยพลัน นัยน์ตาขับประกายของความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง
“ตอนนี้เจ้าคงบอกได้แล้วว่าเหตุใดถึงต้องทำร้ายท่านยาย” เจียงซื่อกล่าวถามเย็นชา
กับคนที่ทำร้ายมารดาของนาง นางไม่อยากแม้แต่จะเรียกป้าสะใภ้
“ข้า ข้าไม่ได้…” โหยวซื่อลุกลี้ลุกลน
ลุงใหญ่แซ่ซูผิดหวังเหลือประมาณ “ทำไมกัน”
โหยวซื่อเม้มปากแน่น ไม่ยอมเกริ่นกล่าว
ลุงใหญ่ซูตบหน้านางเต็มแรง
เจียงจั้นกำลังจะเข้าไปห้าม ทว่ามีเสียงกระแอมของเจียงซื่อห้ามไว้ก่อน
ครั้นได้ยินเสียงฝ่ามือประทับลงที่หน้าของโหยวซื่อ เจียงซื่อก็แย้มยิ้มเล็กน้อย
พี่รองนี่ใจดีเหลือเกิน
จะห้ามทำไมกัน ความแค้นที่นางฆ่าท่านแม่ ตบหนเดียวจะไปพอชดใช้อะไร
“ตอบมา เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายท่านแม่” ลุงใหญ่ซูคำราม
“ข้าเปล่า” โหยวซื่อยืนกรานไม่ยอมรับ
เรื่องบางเรื่อง ต่อให้มีคนสงสัยเป็นร้อยเป็นพัน ก็ไม่สู้ยอมรับด้วยปากตัวเอง
เพราะหากยอมรับแล้วก็ถึงคราวอวสานแล้วจริงๆ!
เจียงซื่อจ้องเขม็งไปที่โหยวซื่อด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่อย่างไรก็ควรคิดถึงซูชิงสวินให้มาก”
ซูชิงสวินคือบุตรชายคนโตของโหยวซื่อ และมีสถานะเป็นหลานชายคนโตของจวนโหว
ครั้นเจียงซื่อกล่าวเช่นนี้ แม้แต่เหล่าอี๋หนิงโหวยังต้องหันมามอง
“เจ้า เจ้าเอาสวินเอ๋อร์มาขู่ข้างั้นหรือ” โหยวซื่อไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ในความคิดของนาง สวินเอ๋อร์ดีกับเจียงซื่อมาโดยตลอด หญิงผู้นี้ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง!
เจียงซื่อส่งยิ้มเล็กน้อย “ก็ใช่น่ะซิ”