จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางพานไห่
พานไห่ถอยออกไปแล้วปิดประตูยืนรออยู่ด้านนอก
ในใจของอวี้จิ่นรู้สึกให้ความสำคัญขึ้นมา แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องที่เฉินเหม่ยเหรินทำร้ายองค์หญิงสิบห้าด้วยการวางยาพิษจนถึงแก่ความตาย เจ้ายังจำได้หรือไม่”
อวี้จิ่นพยักหน้า
เรื่องเช่นนี้ใครเล่าจะลืมได้ การเปิดบทสนทนาเช่นนี้ของเสด็จพ่อดูธรรมดายิ่งนัก
“ข้าสงสัยว่าเบื้องหลังของเฉินเหม่ยเหรินยังมีผู้อื่นอยู่”
อวี้จิ่นนิ่งเงียบและกล่าวว่า “เสด็จพ่อทรงพระปรีชายิ่งนัก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองดูอวี้จิ่น “เอาล่ะ ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อให้ยกยอปอปั้น ข้ามีเรื่องจะกำชับเจ้า”
ที่สำคัญคือคำเยินยอนี้ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ประโยคสั้นๆ เพียงคำเดียวทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่อาจกล่าวต่อไปได้
“เชิญเสด็จพ่อกำชับพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ใช้พระหัตถ์เคาะใบบนกระดาษหยกที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ข้าต้องการให้เจ้าไปตามหาคนผู้นี้มา”
อวี้จิ่นตกตะลึงชั่วครู่ จากนั้นก็แสดงสีหน้ายินดีอย่างเงียบๆ
เขาและอาซื่อกำลังติดตามร่องรอยของยายหลานเผ่าอูเหมียวอยู่ และกำลังปวดหัวเหลือเกินเพราะไม่มีสายลับจะส่งเข้าไปตรวจสอบในวังได้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้ยื่นหมอนเข้ามาเมื่อตอนเขาจะผล็อยหลับ
เมื่อเห็นอวี้จิ่นไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงเอ่ยถามว่า “ยากเกินไปหรือไม่”
อวี้จิ่นดึงความคิดกลับคืนมา ใบหน้าเขาแสดงถึงความลังเลอันเหมาะสม
แน่นอนว่าไม่ได้ยากเกินไป แต่การที่ทำให้เสด็จพ่อรู้สึกว่าเขาลำบากใจเป็นที่ถูกต้องแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นดังนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา “ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้จัดการยาก อีกอย่างทำได้เพียงสืบสวนอย่างลับๆ ไม่อาจทำให้เรื่องราวใหญ่โตได้ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมีแรงกดดันไป หากสามารถหาเบาะแสได้ก็ดี หากหาเบาะแสไม่ได้ ข้าเองก็ไม่โทษเจ้า”
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็ทำให้เจ้าเจ็ดอึดอัดใจจริงๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของเขา เรื่องของหยางเฟยจะให้เจ้าเจ็ดรู้ไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้ตรวจสอบจากเฉินเหม่ยเหริน ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มความยากขึ้นมากกว่าเดิม
เรื่องนี้เปรียบได้กับการรักษาม้าที่ตายแล้ว หากตรวจสอบออกมาไม่ได้ก็นับว่าเป็นการฝึกฝนเจ้าเจ็ดก็แล้วกัน
สำหรับเหตุผลที่เขาต้องการฝึกความสามารถของบุตรชายผู้นี้ในการตัดสินคดี จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากจะไปครุ่นคิด
ด้วยคำพูดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ อวี้จิ่นรีบแสดงจุดยืนของเขาทันที “ถ้าเช่นนั้นลูกจะลองดูพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกความสามารถมีขีดจำกัด เกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อต้องผิดหวัง”
“ไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก ทำให้สุดความสามารถเป็นพอ แต่อย่าทำให้ผู้คนในวังแตกตื่น หากต้องการตรวจสอบสิ่งใด เพียงบอกพานไห่ให้ร่วมมือกับเจ้าก็พอ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกอยู่ในใจว่า จะมีสิ่งใดให้ผิดหวังกันเล่า หากสามารถหาตัวคนผู้นั้นได้ จึงจะนับว่าเกินความคาดหมาย
อืม ได้ยินมาว่าหากอธิษฐานภาวนา สิ่งที่คาดหวังก็จะสำเร็จได้ง่าย
ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้แอบกล่าวอย่างเงียบๆ หากเจ้าเจ็ดสามารถหาตัวคนคนนั้นออกมาได้ บุตรของเจ้าเจ็ดที่จะถือกำเนิดออกมา เขาจะเป็นผู้ตั้งชื่อและมอบรางวัลให้เป็นการพิเศษ
“ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว เจ้าไปเถิด”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเดินออกจากประตูห้องทรงพระอักษร อวี้จิ่นก็พยักหน้าเล็กน้อยให้พานไห่
พานไห่เข้าใจและติดตามไปทันที
เมื่อพบว่าบริเวณรอบไม่มีผู้ใดอื่น อวี้จิ่นจึงกระซิบถามว่า “เรื่องที่เสด็จพ่อกำชับแก่ข้านั้น พานกงกงรู้ใช่หรือไม่”
พานไห่พยักหน้า
“ข้าต้องการรายชื่อผู้ที่ยังรับใช้อยู่ในวังจนบัดนี้ ตั้งแต่สิบถึงสิบหกปีก่อน”
ร้านเล็กๆ บนถนนซีซื่อนั้นเปิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีก่อน ด้วยเบาะแสที่ได้รับมาจากหญิงชราเผ่าอูเหมียว คนผู้นั้นน่าจะเข้ามาในพระราชวังเมื่อสิบห้าปีก่อน แต่อวี้จิ่นจะกำหนดขอบเขตเพียงสิบห้าปีที่แล้วไม่ได้
มันไม่สมเหตุสมผลหากจะระบุเพียงแค่ปีใดปีหนึ่ง
“รายชื่อนั้นมีอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องติดตามกระหม่อมมาเถิด” พานไห่พาอวี้จิ่นมุ่งหน้าไปอีกทิศทางหนึ่งแล้วเดินตรงเข้าไป การสืบจากผู้คนที่เข้ามาในพระราชวังเมื่อสิบปีก่อน เรื่องนี้เขาคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว สายตาของเขาจึงไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติไป
อวี้จิ่นตามพานไห่เข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง ด้านในนั้นมีชั้นหนังสืออยู่มากมายและหนังสือวางกองอยู่บนโต๊ะอีกไม่น้อย
พานไห่มองข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้ไปแล้วเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมา
แม้กล่าวว่าจะตรวจสอบรายชื่อผู้ที่เข้ามาในพระราชวังเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ผู้ที่อยู่มาจนถึงบัดนี้มีน้อยนัก พานไห่พยายามแยกแยะและจัดเรียง ในที่สุดจึงได้ออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
เมื่อมองดูเห็นหน้าปกที่มีรอยน้ำหมึกค่อนข้างใหม่ อวี้จิ่นจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “พานกงกงเป็นผู้เรียบเรียงสิ่งนี้หรือ”
พานไห่พยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ รายชื่อผู้ที่เข้ามาในพระราชวังตั้งแต่สิบถึงสิบแปดปีก่อนหน้านี้ และอยู่มาจนถึงปัจจุบันล้วนอยู่ในนี้แล้ว”
หลังจากหยุดนิ่งไปชั่วครู่ พานไห่ก็อธิบายขึ้นว่า “เมื่อสิบแปดปีที่แล้วเป็นปีที่เฉินเหม่ยเหรินเข้ามาในพระราชวัง เมื่อสิบปีก่อน…ดวงตาขององค์หญิงฝูชิงเริ่มบอด…”
“ขอบคุณพานกงกงยิ่งนัก” อวี้จิ่นรับหนังสือเล่มเล็กนั้นไปแล้วถอนหายใจออกมา
แม้จะเป็นเพียงแค่หนังสือเล่มเล็กๆ แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามและเวลามากเพียงใดในการจัดเรียงมัน
“กระหม่อมสมควรทำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่กล่าวออกมาอย่างสุภาพแล้วจ้องไปที่หนังสือเล่มเล็กนั้นด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
เขาใช้เวลาไปมากมาย แต่ท้ายที่สุดมันกลับไร้ประโยชน์
นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่องเปิดไปที่หน้าแรกของหนังสือ
พานไห่จัดเรียงได้อย่างประณีตยิ่งนัก ผู้ใดเข้าวังมาในวันไหน รับหน้าที่ใดตั้งแต่ตอนแรก ย้ายไปที่อื่นเมื่อไรและไปที่ใดต่อ ในเวลาใด บัดนี้ดำรงตำแหน่งใด สิ่งเหล่านี้ล้วนบันทึกไว้บนหนังสืออย่างชัดเจน
แม้กระทั่งบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลที่สนิทสนมและคุ้นเคย หรือแม้แต่เคยมีความคับข้องใจขุ่นเคืองกับผู้ใดก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียดชัดเจน
บางแห่งถูกวงไว้ด้วยหมึกสีแดง
พานไห่อธิบายว่าในส่วนที่วงไว้ด้วยหมึกสีแดงว่า “บุคคลเหล่านี้กระหม่อมรู้สึกว่าน่าสงสัย แต่หลังจากตรวจสอบอย่างลึกซึ้งแล้วกลับไม่พบสิ่งใดที่น่าค้นหาต่อ”
อวี้จิ่นยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพานไห่กระทำการใดๆ ได้อย่างละเอียดรอบคอบ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังหาคนคนนั้นออกมาไม่พบ เห็นได้ชัดว่าช่างซ่อนตัวได้ลึกเหลือเกิน
หลังจากเปิดอ่านดูจนจบ เขาก็ได้ปิดหนังสือลงแล้วมอบให้พานไห่
พานไห่ตกตะลึง “ท่านอ๋องอ่านจบแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่านจบแล้ว บันทึกเล่มนี้ข้านำกลับไปอ่านได้หรือไม่”
พานไห่ลังเลอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดแล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธ “เกรงว่าจะไม่เป็นไปตามกฎ…”
แม้ว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้เยี่ยนอ๋องเข้ามาที่นี่ได้ แต่บันทึกเล่มนี้เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัวและความลับของในพระราชวัง หากเผยแพร่ออกไปและถูกผู้ที่ไม่ประสงค์ดีนำไปใช้ประโยชน์คาดว่าคงจะก่อปัญหามากมาย
“ท่านอ๋องสามารถอ่านมันที่นี่ได้”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้น “การที่ข้าอยู่ในวังเป็นเวลานาน ก็ดูไม่เหมาะสมตามกฎหนัก”
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่พี่สามและพี่สี่กำลังแก่งแย่งชิงดีกัน เขากลับอยู่ในพระราชวังนานถึงครึ่งวัน ใครจะรู้เล่าว่าสุนัขบ้าเหล่านั้นจะคิดเช่นไร
สำหรับอวี้จิ่นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจียงซื่อสามารถให้กำเนิดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย เขาไม่ต้องการจะเข้าไปพัวพันกับปัญหาวุ่นวายใดๆ
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็พอจะจดจำได้แล้ว กลับไปคอยหาเบาะแสเพิ่มเติม”
พานไห่ตกตะลึงแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “จำได้ทั้งหมดแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้จิ่นกล่าวแก้ไขประโยคนั้นว่า “ข้าเพียงบอกว่าพอจำได้”
ริมฝีปากของพานไห่ขยับเขยื้อนเล็กน้อย
เหอะๆ เยี่ยนอ๋องล้อเขาเล่นหรืออย่างไร
หากหนังสือเล่มนี้บันทึกเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันก็ว่าไปอย่าง แต่นี้เพียงแค่ชื่อคนก็สามารถจำได้เมื่ออ่านมันภายในครั้งเดียวหรือ แม้เขาจะค่อนข้างสงสัย แต่สติปัญญาและเหตุผลสั่งให้เขาหยุดถาม
หลังจากที่อวี้จิ่นออกมาจากพระราชวังแล้ว พานไห่ก็กลับไปยังห้องทรงพระอักษร
“เยี่ยนอ๋องกลับไปแล้วหรือ”
“กลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่อดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้แก่จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้นำม้วนหนังสือวางไว้ด้านข้างแล้วทำสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่า เจ้าเจ็ดมีความสามารถจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้หรือ”
พานไห่รีบกล่าวขึ้นว่า “เยี่ยนอ๋องกล่าวเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่อยากจะแบกรับความผิดนี้ หากเยี่ยนอ๋องเพียงขี้โม้จะทำอย่างไรเล่า
อารมณ์อันมืดมนของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขายิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าเจ็ด ชอบทำให้ข้ารู้สึกขบขันนัก”
จำทุกอย่างที่เห็นได้? ด้วยประสบการณ์การอ่านหนังสือละครมากมายหลายปีของเขา ความสามารถเช่นนี้มีเพียงอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิดเท่านั้นจึงจะมี
ช้าก่อน เขาเป็นถึงฮ่องเต้และมีบุตรชายมากมายเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่จะมีอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้น