เขาจะยอมให้ร่างแบ่งภาคของตนเองอยู่ต่อไปอีกสักระยะเวลาหนึ่ง
รอให้ในใจของนางไม่มีจีเฉวียนอีกต่อไป ….. ถึงตอนนั้นเมื่อจีเฉวียนตายไป นางก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจ
“อาจารย์รับปากเจ้า ไม่ให้เขาตายแล้ว” ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกมาอีกครั้ง ลูบไล้เส้นผมของนาง “แต่เจ้าต้องรับปากอาจารย์ ว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆเพื่อใครทั้งนั้น จะรักตนเอง”
“ในดินแดนโบราณนั้น เจ้ายังมีญาติมิตร อย่าได้ตัดขาดครอบครัวเพราะเรื่องความรัก เข้าใจไหม?”
หากมองจากภาพลักษณ์ภายนอก ซื่อมั่วก็มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เพียงแต่ว่ามีบุคลิกดั่งพวกคนโบร่ำโบราณที่ไม่ชมชอบการพูดจาเล่นหัว
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่วิญญาณทมิฬมักจะเรียกเขาเป็นตาเฒ่าตัวร้ายอยู่เสมอ
ลมยามดึกโชยผ่านหน้าต่างเข้ามา พัดจนแสงเทียนในห้องเกือบจะดับลงไป เส้มผมของเขาพลิ้วออกไปไล้ผ่านใบหน้าของนางเบาๆ
เขาอยากจะยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของนางเหลือเกิน แต่พอความเคลื่อนไหวนั้นกำลังจะเกิดขึ้น ก็ถูกความควบคุมตนเองอย่างเคร่งครัดกดทับเอาไว้ในทันที
กดทับเสียจนมือไม่ทันจะได้ขยับก็หยุดอยู่กับที่ไปเสียแล้ว
“อาจารย์….แล้วตัวท่าน….จะไม่มีปัญหาหรือ?” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิใช่ว่าจะเป็นคนไร้คุณธรรมน้ำใจ
นางไม่อาจทนเห็นจีเฉวียนตาย แต่ก็ไม่ปรารถนาให้อาจารย์ต้องรับบาดเจ็บในที่ใด
“ไม่ต้องเป็นห่วงอาจารย์” ซื่อมั่วหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ความริษยาในหัวใจคล้ายดั่งเมล็ดพันธุ์ที่งอกออกมา เขาต้องบีบบังคับอย่างแข็งขืนจึงจะกดเอาไว้ได้
ทันทีที่พูดจบ เขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง ส่งตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนกลับไปยังเรือนพักในสวนกุหลาบทันที
………………….
ทันทีที่ส่งทั้งสองคนจากไป ซื่อมั่วก็กดทรวงอกเอาไว้ พลางกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
วิญญาณทมิฬก้าวออกมาจากเงาของเขา หมอบอยู่ข้างๆอย่างว่าง่าย
มองดูเขาค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่มุมปากจนสะอาด
“เฒ่าร้าย….อาจารย์…..ไยท่านต้องทำเช่นนี้?” วิญญาณทมิฬติดตามซื่อมั่วมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว อาศัยใบบุญของซื่อมั่ว มันย่อมได้รับประโยชน์จากธารน้ำพุเหลืองไปไม่น้อย มันในตอนนี้จึงแข็งแกร่งกว่ายามที่อยู่ในโลกโบราณมากนัก
ตอนที่อยู่ในก้นทะเลลึก เพราะซื่อมั่วอาศัยเพียงพลังวิญญาณของตน ไปผนึกอสูรกายโลกันตร์…..เดิมทีก็ได้รับบาดเจ็บมามากอยู่แล้ว
แทนที่ตอนแรกจะปิดประตูเข้าฌานอยู่ที่ธารน้ำพุเหลือง แต่เพราะใจไม่ยอมสงบ เอาแต่ห่วงใยลูกศิษย์ของตนเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเป็นไง กลายเป็นว่า กลับออกมาจากธารน้ำพุเหลืองก่อนเวลา
บาดเจ็บไม่ทันหาย ก็ยังออกไปตระเวนหาเรื่อง นี่มิใช่ว่าอยากตายหรอกหรือ?
ซื่อมั่วไม่สนใจมัน พอสะบัดมือก็เผาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งไปบนเปลวเทียน
แสงไฟสว่างวูบวาบ ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสวกว่าเดิม
ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวมากกว่าเดิมเช่นกัน
“อาจารย์ …… นี่ท่านกำลังทรมานตนเองอยู่มิใช่หรือ” ในใจของวิญญาณทมิฬ มักแอบเรียกเขาเป็นตาเฒ่าตัวร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้กลับไม่กล้าเรียกเช่นนั้นออกมาจากปาก
มันอยู่ฝ่ายซื่อมั่วมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลายปีมานี้ทุกสิ่งที่ซื่อมั่วทำเพื่อตู๋กูซิงหลันมันล้วนรับรู้ด้วยใจเห็นด้วยตามาโดยตลอด
“ท่านเองก็ชอบหลันหลันแท้ๆ…. ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าท่านใจกว้างหรือจะบอกว่าท่านมันงี่เง่าดี….” วิญญาณทมิฬแคะจมูกพลางถอนหายใจไปด้วย
เกรงว่าในใต้หล้านี้ คงจะมีแต่สัตว์อสูรอย่างมันเพียงตัวเดียวที่เดาใจของซื่อมั่วออกแล้ว
“หุบปาก” ซื่อมั่วกวาดตามาทางมันแวบหนึ่ง เขานั่งคุกเข่าลงที่ข้างโต๊ะอีกครั้ง ปลายนิ้วดีดลงไปบนพิณโบราณใหม่อีกรอบ ทันทีที่ปลายนิ้วเคลื่อนไหว ก็บังเกิดเป็นท่วงทำนองชุดหนึ่งดังขึ้น
เสียงพิณอบอุ่น อ่อนโยน สงบนิ่งนุ่มนวล เป็นบทเพลงขับกล่อมสงบจิตใจที่ซื่อมั่วชำนาญที่สุด
เขาต้องการจะใช้บทเพลงที่ขับกล่อมจิตใจมาสงบอารมณ์ภายในหัวใจของตน
เขาไม่อาจปล่อยให้ความริษยานั้นงอกเงยขึ้นมา เขาเป็นผู้ฝึกจิต หากจิตใจว้าวุ่นไปแล้ว ทุกสิ่งย่อมแปรปรวนไปด้วย
ดังนั้นจึงต้องดีดใหม่อีกรอบ
“ร่างแบ่งภาคที่แข็งแกร่งที่สุดดันไม่ตาย…. ก็ต้องถือว่า การข้ามผ่านกลับมาเกิดใหม่ของท่านครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว….”
“หากว่าการรับสายฟ้าจากสวรรค์ล้มเหลว ……สถานเบาก็คือพลังที่ฝึกฝนมาทั้งหมดก็ต้องสูญสิ้น สถานหนักก็คือร่างสลายกระดูกกลายเป็นเถ้าถ่านวิญญาณแตกซ่าน….”
“การแบ่งภาคมาเกิดใหม่ดูไปง่ายดายกว่ารับสายฟ้าสวรรค์ แต่ว่าที่จริงแล้วในหกภพภูมินี่จึงเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุด…. หากว่าล้มเหลว ……เช่นนั้นผลลัพธ์…..”
ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมต้องน่าหวาดผวายิ่งกว่าการรับสายฟ้าจากสวรรค์ที่ล้มเหลวมากมายนัก
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ แทบจะไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติจะได้ใช้วิธีก้าวผ่านด้วยการกลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว…..
ดังนั้นในใต้หล้านี้ เกรงว่านอกจากซื่อมั่วแล้ว ก็คงจะไม่มีใครรู้หรอกว่าผลของความล้มเหลวที่ก้าวผ่านการเกิดใหม่ไม่สำเร็จนั้นจะมีจุดจบเช่นไร
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้
ในเมื่อซื่อมั่วมีใจจะปิดบัง ต่อให้นางอยากจะสืบเสาะก็ไม่มีทางได้อะไร
ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แสงสว่างภายในห้องค่อยๆจางลงอีกครั้ง
ซื่อมั่วนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ สวมชุดสีม่วงตลอดร่าง แสงสีส้มของเปลวเทียนขับให้ดูงดงามดุจภาพวาด เมื่อไม่มีใครอื่น ในแววตาของเขาค่อยจุดประกายไฟที่เหมือนกับแววตาของมนุษย์ขึ้นมา
“วิญญาณทมิฬ เจ้ามันรู้มากไปแล้ว”
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาวิญญาณทมิฬหนาวยะเยือกขึ้นมา มันรีบปิดปาก มันรู้สึกว่าท่านอาจารย์ซื่อมั่วเกิดจิตสังหารคิดฆ่าอสูรเพื่อปิดปากขึ้นมาแล้ว
เสียงพิณพลิ้วต่อไป ต้นฮว๋ายที่ด้านนอกหน้าต่างสะบัดใบ ปลิวไปกับกระแสลม
สายลมเย็นพัดเข้ามา แต่ก็ยังไม่เย็นเท่ากับซื่อมั่วเอง
วิญญาณทมิฬนั่งอยู่ข้างๆ ปากที่พึ่งจะปิดลงไปก็เปิดขึ้นมาอีก “อาจารย์…..ไม่ใช่ว่าตัวน่ารักอย่างข้าอยากจะพูดหรอกนะ ….แต่หากหลันหลันรู้ว่าท่านทำร้ายตนเองเช่นนี้ นางก็คงไม่อาจอภัยให้กับตนเองไปจนชั่วชีวิต”
จะอย่างไรที่สุดแล้วมันก็ยังคิดว่าตู๋กูซิงหลันเป็นนายของตนเอง พอคิดว่าหากตู๋กูซิงหลันรู้ความจริงขึ้นมา ….. ด้วยอุปนิสัยของนาง มันไม่รู้จริงๆว่าหลันหลันจะทำอะไรบ้าง
“หากเจ้าไม่พูด ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีคนที่สามรู้”
ซื่อมั่วดีดพิณต่อไป ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “อย่าได้มาวุ่นวายคาดเดาจิตใจของข้า ข้าจะรักใครเกลียดใคร ทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่สัตว์อสูรตัวน้อยอย่างเจ้าจะต้องมากังวลใจ”
เย็นชา ไร้น้ำใจ ปากแข็ง นี่เป็นนิสัยประจำของเขา
วิญญาณทมิฬเองก็ไม่เข้าใจ….. แค่ยอมรับว่าตนเองชองหลันหลันมันยากที่ตรงไหน? ทำไมจะต้องต่อให้ตายก็ไม่ยอมบอก?
รู้หรือไม่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทำอย่างไรถึงได้สามารถทำให้หลันหลันหวั่นไหวได้?
ก็อาศัยฝีปากที่รู้จักป้อนคำหวานนั่นยังไงละ!
ว่ากันตามจริง วิญญาณทมิฬย่อมรู้สึกว่า มีแต่คนอย่างท่านอาจารย์เท่านั้นถึงจะเหมาะสมควรคู่กับหลันหลัน เป็นคนที่จะจับมือจูงกันไปตลอดชาติ
ทั้งๆที่เขาชอบหลันหลันอย่างลึกล้ำจนถึงแก่นกระดูกแท้ๆ แอบทำเรื่องต่างๆเพื่อนางตั้งมากมาย แต่กลับไม่ยอมเอ่ยออกมาแม้แต่เพียงคำเดียว
เพียงเพราะนางบอกออกมาคำเดียวว่าไม่อยากจะให้ฮ่องเต้สุนัขตาย …… เขาถึงขนาดยินยอมเสี่ยงอันตรายกับการกลับมาเกิดที่ล้มเหลว จะอย่างไรก็ต้องให้นางสมปรารถนา
ทั้งๆที่ซื่อมั่วนั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่สวรรค์ต้องยำเกรงภูติผีปีศาจต้องหวาดผวาแท้ๆ!
แต่พออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ของตนเอง กลับยินยอมทนรับทุกอย่างโดนไร้เงื่อนไข!
ท่านอยากจะประนีประนอมอ่อนข้อให้ก็อ่อนข้อให้ไป! แต่จะอย่างไรก็ต้องรู้จักช่วงชิงเพื่อตนเองบ้างสิ!
วิญญาณทมิฬร้อนใจจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
ก็ว่าไหมเล่า มีศัตรูความรักก็ดันเป็นร่างแบ่งภาคของตนเองอีก….. สวรรค์นี่มันอะไร!
มันสงสัยว่าจีเฉวียนคงจะรับเอาอุปนิสัยและความคิดที่ซื่อมั่วซุกซ่อนเอาไว้ทั้งหมดมาแน่ …… ตัวอย่างเช่น พูดจาปากหวานเป็นต้น
พอคิดถึงตรงนี้ ….. มันก็กรอกตา ล้วงเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กๆออกมาจากในปาก ในนั้นบันทึกถ้อยคำหวานต่างๆเอาไว้มากมาย
“อาจารย์….. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ร่างแบ่งภาคของท่านเคยพูดกับหลันหลันเอาไว้….”
วิญญาณทมิฬขยับไปข้างหน้าหลายก้าว ค่อยวางสมุดเล่มเล็กลงไปบนโต๊ะเตี้ย
ท่านเรียนรู้จากศัตรูความรักให้มากๆก็แล้วกัน….
คำพูดนี้พอมาถึงริมฝีปาก มันก็ต้องกลืนกลับลงไปด้วยเกรงว่าหากเอ่ยออกมาก็เท่ากับหาเรื่องตายเอง
………………………………………………….