ณ จวนหลู่อ๋อง หลู่อ๋องไม่ได้หัวเราะ แต่กลับพ่นลมออกมาเสียอย่างนั้น เขาหันไปกล่าวแก่พระชายาหลู่อ๋อง “เจ้าว่าไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาทดีๆ เหตุใดต้องรนหาที่ตายเช่นนั้นด้วยเล่า”
หลู่อ๋องเกลียดไท่จื่อ เกลียดมานานหลายปี แต่การที่ศัตรูคนสำคัญหายไปเฉยๆ จึงรู้สึกตงิดๆ
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตา “ท่านอ๋องจะสนใจทำไมว่าใครจะตายหรือใครจะอยู่ แค่พวกเรายังรอดปลอดภัยก็พอแล้วไหมเพคะ”
นางมองออกว่าไท่จื่อคงเดิมพันสูงลิบ
หลู่อ๋องบุ้ยปาก “ข้าเป็นเพียงจวิ้นอ๋อง จะตายได้อย่างไร ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่าง ข้าน่ะรู้ดีว่าสถานะเดิมของข้ามันเสี่ยงอันตรายเพียงใด ข้าถึงได้ยอมก้าวออกมา เพื่อจะได้เห็นท้องฟ้าสดใสอย่างไรล่ะ”
พระชายาหลู่อ๋องกระตุกมุมปาก ใจอยากจะถุ้ยใส่หน้าหลู่อ๋องให้รู้แล้วรู้รอด
เฮอะๆ ยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อจะได้เห็นท้องฟ้าสดใสพระแสงอะไรเล่า
“เช่นนั้น หม่อมฉันคงต้องขอบพระทัยที่ท่านอ๋องช่วยปกป้องครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัยสินะเพคะ”
หลู่อ๋องมองไปที่พระชายาด้วยสายตาภาคภูมิใจ “เจ้ารู้ไว้ก็ดี”
เขาหลักแหลมถึงเพียงนี้ หากเข้าไปนอนพักกับสาวงามคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วใช่หรือไม่
พระชายาหลู่อ๋องยกยิ้มเย็นเยียบ
นางรับรู้ได้ว่าความคิดชั่วร้ายของชายหนุ่มกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันไรก็ออกลายเสียแล้ว
……
สู่อ๋องกลับไปถึงจวนของตัวเองแล้วก็ตรงเข้าไปที่ห้องตำรา เขาเรียกคนสนิททั้งซ้ายและขวาเข้ามาหารือ
พระชายาสู่อ๋องยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเหม่อมองออกไปด้านนอก รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏที่มุมปาก
ไท่จื่อตายไปเช่นนี้ ท่านอ๋องคงว้าวุ่นใจสินะ
และก็เป็นจริงดังนั้น
ในความคิดของเขา คนที่อยู่ถัดจากไท่จื่อก็คือฉีอ๋อง แต่พระมารดาของเขาเป็นที่โปรดปราดมากกว่าพระมารดาของฉีอ๋อง ฉะนั้นเขาก็น่าจะเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อมากกว่าฉีอ๋อง
เดิมที เสด็จพ่อทรงเคร่งครัด มุ่งมั่นว่าจะต้องให้ไท่จื่อเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่กลายเป็นว่าไท่จื่อกลับเผยธาตุแท้ชั่วร้ายออกมาโดยการวางแผนสังหารฮ่องเต้ผู้เป็นพระราชบิดา แน่นอนว่าเรื่องนี้คงกระทบจิตใจของเสด็จพ่ออย่างหนัก จึงเป็นไปได้ว่า บัดนี้ความคิดของเสด็จพ่ออาจเปลี่ยนไปแล้วก็เป็นได้
ในเมื่อโอรสโดยชอบธรรมยังไว้ใจไม่ได้ เหตุใดจึงไม่เลือกคนที่โปรดปรานที่สุดมารับตำแหน่งต่อเล่า หรือต่อให้มิได้เลือกจากความชอบ แต่เลือกจากพื้นฐานคุณธรรม เขาก็นับว่ามีโอกาสไม่ต่างกัน
ชื่อเสียงทรงคุณธรรมของเจ้าสี่เป็นเพียงภาพลวงตา ความคิดชั่วร้ายของเขา มีใครบ้างที่ไม่ทราบ หากเจ้าสี่จะชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เขาก็จะลองลงแข่งในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย เพราะสุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าชัยชนะจะตกเป็นของผู้ใด
……
ณ จวนเซียงอ๋อง เซียงอ๋องไม่ได้เข้าไปในห้องตำรา ไม่มีแม้กระทั่งชายา ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องหลบหน้าผู้ใด
เซียงอ๋องนอนแผ่อยู่บนที่นอน สายตาเหม่อจ้องไปที่หยอดแขวนม่านโปร่งพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
เขาและพี่สี่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน หากพี่สี่ได้ดี อีกหน่อยเขาจะได้รับอานิสงฆ์ด้วยหรือไม่
……
จวนเยี่ยนอ๋องที่โดยปกติแล้วจะเงียบสงัดกว่าจวนอื่นๆ แต่บัดนี้กลับครึกครื้นยิ่งนัก
ฮองเฮาพระราชทานของกำนัลมากมายมาให้เอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวได้ปลอกคอทองคำฝังทับทิมหนักกว่าสองชั่ง
แน่นอนว่า น้ำหนักของปลอกคอนั้นมากกว่าปลอกคอทั่วไปเท่าหนึ่ง เนื่องจากเส้นรอบวงของคอเจ้าสุนัขตัวใหญ่ยาวกว่าสุนัขตัวอื่นๆ
รอจนข้าหลวงกลับไปแล้ว อวี้จิ่นก็หยิบปลอกคอทองคำขึ้นมาดูพลางหัวเราะ “ดูเหมือนว่าปลอกคอทองคำชิ้นนี้จะเป็นรางวัลสำหรับเอ้อร์หนิว”
เมื่อขจัดตัวปัญหาอย่างไท่จื่อได้แล้ว รอยยิ้มของเจียงซื่อก็เบาสบายขึ้นมาก “ท่านอ๋องคิดว่าเอ้อร์หนิวจะได้เลื่อนขั้นอีกหรือ คนอื่นไม่รู้ว่าเอ้อร์หนิวมีส่วนช่วยให้เรื่องนี้คลี่คลาย หากคนอื่นรู้เข้า เกรงว่าจะมิใช่เรื่องดีสำหรับเอ้อร์หนิวนัก ปลอกคอทองคำหนักสองชั่ง ฝังด้วยทับทิมก็เหมาะสมแล้วล่ะ”
อวี้จิ่นอารมณ์ดีไม่แพ้กัน เขาลูบหัวเอ้อร์หนิวพลางหัวเราะแผ่วเบา “ปลอกคอทองคำหนักสองชั่งจะไปสู้การเลื่อนขั้นได้อย่างไร อย่าลืมนะว่าเอ้อร์หนิวก็ได้เบี้ยหวัดขุนนาง หากได้เลื่อนขั้นสูงกว่าขั้นสี่ เงินเบี้ยหวัดที่เพิ่มขึ้นย่อมมากกว่าราคาปลอกคอทองคำชิ้นนี้เป็นไหนๆ”
เจียงซื่อหลุดหัวเราะ “ข้าลืมไปสนิทเลยว่าเอ้อร์หนิวก็ได้รับเบี้ยหวัดกับเขาด้วย ครั้นจะว่าไปแล้ว อาฮวนเกิดมาก็ได้รับตำแหน่ง และเอ้อร์หนิวก็มีเบี้ยหวัดสำหรับขุนนาง แต่เพราะท่านอ๋องไปต่อยไท่จื่อก่อนหน้านี้ เลยถูกปรับเบี้ยหวัดหนึ่งปี จนบัดนี้แล้วก็ยังไม่ได้รับเงิน…”
อวี้จิ่นนิ่งไป ท่าทางสับสนงงงวย “เช่นนั้นแล้ว ปีนี้พวกเราคงต้องพึ่งเบี้ยเลี้ยงจากเอ้อร์หนิวและอาฮวนล่ะซิ”
เจียงซื่อทำหน้าจริงจัง “ใครว่าล่ะ ข้ายังมีร้านเครื่องประทินผิวอีกนะ”
อวี้จิ่นลูบหน้าด้วยความอับอาย ก่อนจะคว้ามือของเจียงซื่อมาวางไว้ที่อก
“ทำอะไรน่ะ”
อวี้จิ่นยื่นหน้ามากระซิบแผ่วเบาข้างหูเจียงซื่อ “ข้าตัดสินใจแล้วว่า จะเอาตัวเข้าแลก…”
เจียงซื่อดันชายหนุ่ม “นี่เจ้า เอ้อร์หนิวยังอยู่นะ”
อวี้จิ่นปล่อยเจียงซื่อพลางชำเลืองไปที่เอ้อร์หนิวอย่างไม่พอใจ
ไอ้เจ้านี่ นับวันยิ่งไม่รู้งาน ไม่เห็นหรือว่าเจ้านายกำลังทำเรื่องสำคัญอยู่
เอ้อร์หนิวอ้าปากคาบปลอกคอทองคำวิ่งกลับออกไป เมื่อวิ่งเข้าไปในโพรงอันอบอุ่นของมันแล้ว มันก็วางปลอกคอลง
เจ้านายเล่นถือของของมันไม่ยอมวาง หวังจะฮุบล่ะสิท่า
เอ้อร์หนิวใช้ปากคาบปลอกคอโยนขึ้นฟ้า และแหงนคอรอท่าและกระโดดงับ เห็นได้ชัดว่าของเล่นสีเหลืองๆ ชิ้นนี้จะถูกใจเจ้าสุนัข มันโยนเล่นเช่นนี้ยังไม่ทันถึงครั้งที่สี่ ปลอกคอทองคำหนักว่าสองชั่งก็ร่วงใส่หน้าเจ้าสุนัขตัวใหญ่
เอ้อร์หนิวเห่าร้องเสียงดัง ก่อนจะฝังกลบปลอกคอทองคำนั้นเสีย
……
ในพระราชวัง พานไห่เข้ามารายงานผลสอบปากคำนางในที่มีนามว่าหงอวี้
“ไม่ได้ความอะไรเลยรึ” ครั้นได้ยินเช่นนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที
การเสียชีวิตของไท่จื่อกลายเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงจิตใจจิ่งหมิงฮ่องเต้ ทั้งยังเป็นหนามแหลมอาบพิษเสียด้วย เพราะต่อให้มิได้แตะต้อง ความเจ็บปวดก็ยังแผ่ซ่าน
พานไห่ทราบดีว่าความรู้สึกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในยามนี้ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ฝ่าบาท นางในหงอวี้คงไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
“เช่นนั้นที่นางเห็นชุ่ยซานแกะสลักหุ่นไม้ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ งั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามอย่างเหลืออด
ตั่วหมัวมัวสร้างเกลียวคลื่นใหญ่ในวังหลวง ทว่าผลสุดท้ายกลับไม่ได้คำตอบใดๆ เกี่ยวกับเผ่าอูเหมียว นั่นทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกอิดหนาระอาใจมากพออยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก
จนถึงบัดนี้ เขายังจับตัวคนที่อยู่เบื้องหลังการใช้วิชามนต์ดำของไท่จื่อไม่ได้ หรือว่าความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
“ฝ่าบาท จากที่บ่าวเห็น หากเรื่องนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ ก็เป็นไปได้ว่านางในที่ชื่อชุ่ยซานจงใจทำให้หงอวี้เห็นพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือนวดหว่างคิ้ว รู้สึกราวกับว่าสมองกำลังจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ “จะว่าไป เรื่องคนที่คอยชักใยชุ่ยซานก็ยังหาตัวจับไม่ได้หรือ”
พานไห่นิ่งเงียบชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “บ่าวส่งคนไปสืบที่บ้านเกิดของนางในสองคนนั้นแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีเบาะแสใหม่เพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ”
“หงอวี้ทางนี้ก็สั่งให้คนสืบต่อไป ห้ามปล่อยให้ตายเป็นอันขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น มีข้าหลวงคนหนึ่งรี่เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ไทเฮาเชิญให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักฉือหนิงพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอดหายใจเบาๆ แต่เพียงในใจ ลุกขึ้นแล้วตรงไปยังตำหนักฉือหนิง
“เสด็จแม่ ไฉนพระองค์ถึงไม่พักเสียหน่อย”
ไทเฮาพิศมองมาที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ ที่หางตาเริ่มมีสีแดงระเรื่อ “ฝ่าบาทต้องถนอมพระวรกายไว้บ้างนะ”
“ลูกทราบดี เสด็จแม่อย่าได้ทรงเป็นกังวล”
ไทเฮาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ย “ความจริงข้าไม่ควรพูดมาก เพียงแต่ไท่จื่อก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ จิตใจของผู้คนถึงได้ไหวหวั่น ฝ่าบาทเองก็ต้องวางแผนเอาไว้ด้วยนะ”
“ลูกทราบแล้ว ลูกอยู่ในตำแหน่งนี้มานานหลายปีแต่ยังทำให้เสด็จแม่ต้องกังวลพระทัย ช่างน่าอับอายยิ่งนัก”
“แม่ลูกอย่างเราอย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลย” ไทเฮาถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สองปีมานี้เกิดเรื่องราวมากมาย ข้าเองก็ไม่คุ้นกับการอยู่กับความวังเวงเช่นนี้ อีกหน่อยให้ฝูชิงกับสิบสี่มาสนทนาเป็นเพื่อนข้าเถอะ”