ในวันนั้น เจียงซื่อดูกระปรี้กระเปร่ามากกว่าก่อนหน้านี้ นางสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมของให้อวี้จิ่น
วันพรุ่งนี้อวี้จิ่นจะออกเดินทางลงใต้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางครั้งนี้จะมิได้พิธีรีตอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจัดเตรียมสัมภาระไว้ให้พร้อม
หากเป็นช่วงเวลาปกติ อวี้จิ่นคงห้ามไม่ให้เจียงซื่อมาวุ่นวายเรื่องพวกนี้ เพราะเขาคิดว่าในจวนมีคนรับใช้มากมาย เหตุไฉนต้องปล่อยให้นายหญิงมาเสียแรงกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
แต่ทว่าตอนนี้ เขารู้สึกยินดีที่ได้เห็นเจียงซื่อยุ่งกับการทำสิ่งอื่น
เมื่อมีเรื่องให้ทำ นางจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์
เช้าวันถัดมาเป็นวันฟ้าหม่น
ลมหนาวโบกโบยพัดพาเมฆตระกองกันเป็นกลุ่มหนาทึบ เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกหดหู่ของเจียงซื่อ
“กลับเข้าข้างในเถอะ ข้างนอกลมแรง อาฮวนจะแย่เอา” อวี้จิ่นลูบแก้มนวลเนียนของเจียงซื่อแผ่วเบา พลางรวบปอยผมของนางทัดหู
เจียงซื่อพยักหน้าและหันไปอุ้มอาฮวนมาจากแม่นม นางกล่าวเสียงอ่อนโยน “อาฮวน พ่อของเจ้าจะไปแล้วนะ”
ดวงตาสุกใสราวกับเม็ดองุ่นสีดำของอาฮวนมองไปที่บิดาที่ยังหนุ่มด้วยความใสซื่อ
เด็กน้อยย่อมไม่เข้าใจความเจ็บปวดของการจากลา
ทว่าในใจผู้ใหญ่ทั้งสองกลับทรมานเกินจะกล่าว
การจากลาครั้งนี้ไม่เหมือนการลาไปยังแดนไกลครั้งที่ผ่านมา
อวี้จิ่นรับอาฮวนไปอุ้มและตบหลังบุตรสาวแผ่วเบาพลางกำชับ “อาฮวน พ่อจะไปแล้ว เจ้าต้องเชื่อฟังแม่ของเจ้า อย่างอแง อย่าฉี่เรี่ยราด…”
อวี้จิ่นคุยกับบุตรสาวนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ก่อนจะส่งนางให้แม่นมอุ้มต่อ ชายหนุ่มหันไปจุมพิตที่หน้าผากของเจียงซื่อ พลางกล่าวเสียงแหบแห้ง “ข้าไปล่ะ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะพาเจียงจั้นกลับมาให้ได้”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นขี่ม้าออกไปไกลแล้ว จู่ๆ อาฮวนก็ร้องงอแงเอาเสียดื้อๆ
เจียงซื่อรับอาฮวนมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนพลางเอ่ยปลอบแม้ใจของนางจะรวดร้าวไม่แพ้กัน “อาฮวนไม่ร้อง อาฮวนไม่ร้องไห้ อีกไม่นานพ่อของเจ้าและท่านลุงก็จะกลับมาแล้ว…”
สิ้นประโยคนั้น อาเฉี่ยวและอาหมานที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ได้แต่ปาดน้ำตาเงียบๆ
เมื่อบุตรสาวสงบลงแล้ว เจียงซื่อจึงส่งนางให้แม่นมและกำชับให้ดูแลบุตรสาวให้ดี ส่วนตัวเองก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนตงผิงปั๋ว
หลายวันมานี้ คล้ายกับมีกลุ่มเมฆหมอกหนาทึบปกคลุมจวนตงผิวปั๋วอยู่ตลอดเวลา แม้แต่รูปปั้นสิงโตหินหน้าประตูที่ผุกร่อนจากลมและฝนยังไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างกัน
เจียงซื่อก้าวพรวดเข้าไปและถามบ่าวรับใช้ในเรือน “นายท่านปั๋วล่ะ”
“นายท่านปั๋วอยู่ที่เรือนของเฝิงเหล่าฮูหยินพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อรีบไปที่เรือนฉือซิน เมื่อเดินไปถึงที่หน้าประตูนางก็ได้ยินเสียงถกเถียงลอยมาจากด้านใน
“ตอนนี้ยังทำพิธีฝังไม่ได้ จั้นเอ๋อร์ยังไม่กลับมาเลย!”
เฝิงเหล่าฮูหยินแผดเสียงดังลั่น “ไร้สาระ ที่วังหลวงก็ส่งข่าวมาแล้วว่าไม่พบร่างของจั้นเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าตั้งใจจะรอเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจั้นเอ๋อร์ก็มิได้แม้แต่เข้าไปอยู่ในสุสานบรรพบุรุษ ไม่มีแม้แต่สุสานฝังหมวกและเสื้อ”
“ท่านแม่มิต้องโน้มน้าวข้าอีกแล้ว จั้นเอ๋อร์เป็นลูกของข้า ข้าจะรอ!”
เฝิงเหล่าฮูหยินหัวเราะเยาะ “จั้นเอ๋อร์เป็นลูกของเจ้า แต่ก็เป็นหลานชายของข้าเหมือนกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทำตัวไม่รู้จักโตเช่นนี้เป็นอันขาด!”
จั้นเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เป็นคุณชายรองของจวนตงผิงปั๋ว เขายังมีศักดิ์เป็นพี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋อง เป็นพี่เขยของเยี่ยนอ๋อง ในจุดนี้ฝ่าบาทไม่มีทางหลงลืมอย่างแน่นอน
เจียงจั้นพลีชีพเพื่อชาติ ฝ่าบาทอาจรู้สึกผิดและพระราชทานยศซื่อจื่อให้เจียงจั้นหลังจากมรณกรรมไปแล้วก็เป็นได้ และเมื่อมียศซื่อจื่อก็หมายความว่าตำแหน่งตงผิงปั๋วจะถูกส่งต่อไปอีกรุ่น แต่เมื่อเหล่าต้าไร้บุตรสืบสกุลเช่นนี้ เป็นไปได้สูงว่าตำแหน่งซื่อจื่อคนใหม่ก็จะตกแก่เจียงชัง หลานชายคนโตของบ้าน
แต่หากจวนปั๋วดึงดันไม่ยอมจัดพิธีไว้อาลัยเจียงจั้น ของกำนัลปลอบขวัญจากวังหลวงก็คงไม่มีทางส่งมาในเร็ววันเช่นกัน ฉะนั้นก็เลิกหวังเรื่องตำแหน่งซื่อจื่อไปได้เลย
เจียงซื่อผลักประตูเข้าไป เปล่งเสียงหัวเราะเยาะแบบเดียวกับเฝิงเหล่าฮูหยิน “ท่านย่าใจร้อนเหลือเกิน รถขนร่างทหารที่เสียชีวิตยังมาไม่ถึงเมืองหลวง ท่านย่าก็จะชิงจัดงานศพให้พี่รองของข้าก่อนแล้วงั้นหรือเจ้าคะ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงซื่อ น้ำเสียงของเฝิงเหล่าฮูหยินก็อ่อนลงโดยปริยาย “ในเมื่อไม่พบร่างพี่รองของเจ้า การจะรอให้รถขนร่างกลับมาถึงเมืองหลวงจะมีประโยชน์อันใด หากเป็นเช่นนี้ สู้ไว้ทุกข์แต่เนิ่นๆ จัดการทำหลุมศพฝังหมวกฝังเสื้อให้เป็นกิจจะลักษณะ คนในครอบครัวจะได้สบายใจ”
น้ำเสียงของเจียงซื่อเย็นชายิ่งนัก “ท่านย่าอย่าหลอกตัวเองเลยจะดีกว่า พี่รองสละชีวิตเพื่อชาติ คนในครอบครัวจะสบายใจได้ด้วยหลุมศพฝังหมวกฝังเสื้อหลุมเดียวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“แล้วจะให้ทำอย่างไร หากพรุ่งนี้ยังหาร่างพี่รองของเจ้าไม่พบก็ยืดเวลาออกไปอีกวัน เจ้าจะให้รอเป็นปีสองปีอย่างนั้นรึ แล้วหากท้ายที่สุดหาไม่พบเล่า” เฝิงเหล่าฮูหยินย้อนถามด้วยใบหน้าคร่ำเคร่ง
“ท่านอ๋องกำลังไปตามหาเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินและเจียงอันเฉิงตกตะลึง “อะไรนะ”
เจียงซื่อเอ่ยราบเรียบ “วันนี้ท่านอ๋องออกเดินทางไปยังแดนใต้เพื่อไปหาร่างของพี่รองเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงเย็นชาของเจียงซื่อผ่านเข้าหูของเฝิงเหล่าฮูหยินกลับกลายเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้อง
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อาจปักใจเชื่อ “ท่านอ๋องเสด็จไปหาพี่รองของเจ้าที่ดินแดนใต้อย่างนั้นหรือ”
เจียงซื่อผงกหัวรับ “ใช่เจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินอ้าปากค้าง และพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านอ๋องไปด้วยตัวเอง…”
เรื่องนี้ช่างน่าคิด ขนาดจวนปั๋วยังไม่มีความคิดว่าจะออกตามหา
เจียงซื่อมองลึกเข้าไปในตาของเฝิงเหล่าฮูหยินก่อนจะกล่าวเนิบนาบ “ท่านอ๋องไปด้วยตัวเองแปลกตรงไหนหรือเจ้าคะ ข้าเป็นภรรยาของเขา พี่รองก็เป็นพี่ชายภรรยาของเขา การที่เขาทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดเป็นเรื่องมิถูกมิควรตรงไหนหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินแอบตกใจเล็กน้อย นางล้มเลิกความคิดที่จะเร่งให้เจียงอันเฉิงจัดพิธีไว้อาลัย
เยี่ยนอ๋องให้ความสำคัญหนูสี่ถึงเพียงนี้ เกินความคาดหมายของนางไปมากทีเดียว ฉะนั้นหากหนูสี่ไม่เห็นด้วย นางก็ไม่ควรขัดใจนาง
ฝ่ายเจียงอันเฉิงรู้สึกซาบซึ้ง เขาพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้พลางกล่าว “เหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ ไม่ควรปล่อยให้ท่านอ๋องไปเองเช่นนั้น”
ทางใต้วุ่นวายออกปานนั้น บุตรชายของเขาก็จากไปแล้วคนหนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับบุตรเขยอีกคน เขาคงเสียใจไปชั่วชีวิต
“ท่านพ่อวางใจได้เจ้าค่ะ อาจิ่นทราบดีว่าต้องทำเช่นไร ขอแค่ท่านพ่อมองอาจิ่นเป็นเหมือนลูกคนหนึ่ง หากท่านพ่อมีปัญหาทุกข์ใจ ก็อย่าเก็บไว้คนเดียวอีกเลยเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านพ่อส่งคนไปแจ้งลูกและท่านอ๋องที่จวนก็พอเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวพลางกวาดตาไปทางเฝิงเหล่าฮูหยิน
เฝิงเหล่าฮูหยินตัวแข็งทื่อ
นี่หนูสี่กำลังพูดกับนางอยู่หรือ
นางอายุปูนนี้แล้ว แต่ถูกหลานสาวพูดจาฟาดฟัน นางย่อมรู้สึกคับอกคับใจเป็นธรรมดา แต่นางทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
ตอนนี้ยังพอมีผ้าที่ช่วยบดบังความอัปยศของนางไว้บ้าง หากผ้านี้ปลิวหายไป นางคงไม่มีหน้ามาสู้กับนางอีกแล้ว
ในวินาทีนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกยัวะขึ้นมาอีกครั้ง
ในจวนมีหลานสาวตั้งมากมาย เหตุไฉนหนูสี่ที่ไม่เชื่อฟังเป็นที่สุดถึงได้ดีกว่าชาวบ้าน
คงต้องบอกว่าเป็นโชคชะตากระมัง
เมื่อหันมองไปทางหลานสาวที่ไม่มีท่าทีแยแสนางผู้เป็นย่า เฝิงเหล่าฮูหยินก็หดหู่ใจขึ้นมาทันใด
“ท่านย่า ท่านพ่อ ลูกขอตัวกลับจวนก่อน หากมีเรื่องอะไรก็ให้คนไปแจ้งลูกที่จวนนะเจ้าคะ”
เจียงอันเฉิงพยักหน้ารับ “ท่านอ๋องไม่อยู่ เจ้าก็ดูแลอาฮวนให้ดี อีเอ๋อร์ ไปส่งน้องสี่ของเจ้าแทนข้าที”
เจียงอีและเจียงซื่อเดินออกมาพร้อมกัน
ระหว่างทางมีความเงียบคั่นกลางหลายอึดใจ แต่สุดท้ายเจียงซื่อก็เป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน “พี่ใหญ่ หลายวันมานี้ท่านพ่อนอนหลับดีหรือไม่ ทานอาหารได้ตามปกติหรือเปล่า”
เจียงอีถอนหายใจ “จะดีได้อย่างไร คงต้องใช้เวลาสักหน่อย น้องสี่เจ้าก็เหมือนกัน ท่านอ๋องไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลตัวเองและลูกให้ดี น้องรอง…น้องรองไม่อยู่แล้ว พวกเรายิ่งต้องรักษาเนื้อรักษาตัว…”
“ข้าทราบดี ข้าไม่อาจอยู่ที่จวนปั๋วได้นาน อย่างไรก็ฝากพี่ใหญ่ดูแลท่านพ่อแทนข้าด้วย”
“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ น้องสี่วางใจเถิด”
ขณะที่สองพี่น้องกำลังยืนสนทนาอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ประตูจูซึ่งอยู่เรือนติดกันก็เปิดออกพร้อมกับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่ก้าวเท้าออกมา
เจียงซื่อผงะเล็กน้อย นางรู้จักเขา
คนที่เดินออกมาจากประตูนั้นคือเซี่ยอินโหลว คนที่เคยเป็นซื่อจื่อของหย่งชังปั๋ว และบัดนี้เขามีตำแหน่งเป็นหย่งชังปั๋ว
เจียงซื่อคิดทบทวนอยู่ในใจ
สองพี่น้องตระกูลเซี่ยไว้ทุกข์ให้บิดาและมารดาเป็นเวลาสามปี ซึ่งจะเท่ากับระยะเวลายี่สิบเจ็ดเดือน ช่วงเวลาสองปีล่วงเลยไปรวดเร็วยิ่งนัก บัดนี้ทั้งคู่คงพ้นจากช่วงไว้ทุกข์แล้ว
เซี่ยอินโหลวหยุดยืนอยู่บนบันไดครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงมาหาสองพี่น้อง