เจียงจั้นวางมือลงบนโต๊ะแล้วกำแน่น เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ราชวงศ์ต้าโจวมีกบฏ!”
สีหน้าของเจียงซื่อเปลี่ยนไป “พี่รองถูกคนวางแผนจัดการงั้นหรือ”
เจียงจั้นพยักหน้า “ในขณะนั้นข้ากำลังต่อสู้กับศัตรู เดิมทีข้าค่อนข้างได้เปรียบ แต่ปรากฏว่ามีลูกธนูอันเย็นเยือกลอยมาจากทางด้านหลังแล้วปักเข้าให้ จึงทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บจนตกลงไปในแม่น้ำ…”
“เช่นนั้นหมายความว่าพี่รองไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนยิงลูกธนูนั่น” ความโกรธเดือดดาลพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ใบหน้าของเจียงซื่อยังคงสงบนิ่ง
เจียงจั้นทุบโต๊ะอย่างไม่อาจควบคุมได้ “หากข้ารู้ว่ามันเป็นใคร ข้าจะต้องฆ่ามันอย่างแน่นอน!”
“เรื่องนี้ข้าจะสืบให้” อวี้จิ่นกล่าวขึ้น
เจียงจั้นรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก แต่คิดไปคิดมาเขาก็คิดไม่ออกว่าหลังออกมาจากทางเขตใต้แล้วเคยทำให้ผู้ใดไม่พึงพอใจ จึงทำได้เพียงกล่าวว่า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านอ๋องด้วย หากสืบพบว่าเป็นผู้ใด รบกวนท่านช่วยบอกกับข้า”
“แน่นอน” อวี้จิ่นยกมือขึ้นตบบ่าเจียงจั้นแล้วเกลี้ยกล่อมเขา “อย่าได้เอาแต่คิดเรื่องนี้เลย บุญบาปล้วนขึ้นอยู่ซึ่งกันและกัน บางครั้งก็พูดยาก”
เจียงจั้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าถูกคนจัดการจนแทบตาย ยังบอกว่าข้ามีบุญได้อีกหรือ”
“การต่อสู้ที่แม่น้ำจี๋สุ่ย ทหารของต้าโจวถูกจัดการจนแทบสิ้น” อวี้จิ่นกล่าว
กองทัพตาโจวถูกกำจัดไปเกือบสิ้น แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าทหารในราชวงศ์ต้าโจวทั้งหมดถูกฆ่า เป็นไปไม่ได้ที่ทหารทั้งสองฝ่ายจะถูกส่งออกมาจำนวนทั้งหมดในคราเดียว แต่เป็นการส่งกองทหารออกไปบางส่วนเพื่อสู้รบ
เมื่ออวี้จิ่นกล่าวว่ากองทัพของราชวงศ์ต้าโจวเกือบจะถูกกวาดล้างจนสิ้น นั่นจึงหมายถึงทหารที่เดินทางไปออกรบในครั้งนี้
เจียงจั้นได้แต่นิ่งเงียบลง
เขาเข้าใจความหมายของอวี้จิ่นดี
กองทัพเกือบทั้งหมดถูกกวาดล้าง หากว่าเขาไม่ได้ตกลงไปในแม่น้ำจี๋สุ่ยในครานั้นและยังคงต่อสู้ต่อไป คาดว่าจุดสิ้นสุดของชีวิตเขาอาจจะต้องกลายเป็นศพในสนามรบ
ไม่สิ ท้ายที่สุดแล้วคงจะได้กลับคืนมาพร้อมกับผ้าห่อศพ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น การสู้รบจนตัวตายจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหล่าทหารควรจะมี
แต่เขาก็ยินดีที่จะอยู่และตายไปพร้อมกับสหายทั้งหลาย
เมื่อนึกถึงใบหน้าของเพื่อนทหารรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งอ่อนกว่าและแก่กว่าเหล่านั้น แต่ละคนยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเจียงจั้น เขาอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลรินตรงหางตา
วินาทีนี้ ต่อให้เขาอยู่ตรงหน้าเจียงซื่อและคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถปิดซ่อนอารมณ์เอาไว้ได้ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ข้ามีสหายมากมาย…มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่าเถี่ยตั้น มักจะคอยรบเร้าช่วยข้าหาภรรยาให้เขาเสมอ และมีคนหนึ่งชื่ออาซัน เขามักจะอวดว่าตนมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่รู้ว่าคนเราตั้งครรภ์กี่เดือนจึงจะให้กำเนิดบุตรออกมา น้องสี่ เจ้าไม่รู้หรอกว่าในครานั้นเพื่อเรื่องนี้พวกเขาทั้งหลายโต้เถียงกันเสียจนหน้าแดงเรื่อ…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เจียงจั้นก็น้ำตานองหน้า
ตายแล้ว พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้ว
เขากำหมัดแน่นเสียจนเส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือ
มือคู่นั้นไม่ใช่มือของคุณชายผู้บอบบางที่เคยอยู่ในความทรงจำของเจียงซื่อ แต่กลับกลายเป็นมือที่หยาบกระด้าง
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดเจียงจั้นก็จัดการกับอารมณ์ของตนได้แล้วเผยยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกแล้ว ข้าเป็นคนมีบุญ”
เขากล่าวพลางมองไปที่เจียงซื่อ จากนั้นพูดจาเกลี้ยกล่อมว่า “น้องสี่ ข้าคิดว่าในครั้งนี้ที่ข้าไม่ตาย ในอนาคตคงจะต้องได้รับโชคอย่างแน่นอน…”
เจียงซื่อเหลือบมองไปทางเขาอย่างเย็นชา “ในอนาคตหากว่าพี่รองต้องการที่จะออกรบอีก ไม่จำเป็นต้องปรึกษาหารือกับข้า เพียงได้รับการยินยอมจากท่านพ่อเป็นพอ”
พี่รองไม่ใช่ชายหนุ่มที่ทำตัวเกเรไปวันๆ ดังเดิมอีกแล้ว เขาได้เติบโตกลายเป็นชายชาตรีที่หัวใจเต็มไปด้วยชาติบ้านเมือง
เรื่องบางเรื่องแม้นางไม่เห็นด้วย แต่นางก็ไม่อาจเข้าไปรั้งไว้ได้ ทว่าเมื่อมีสัญญาณเตือนจากครั้งนี้ นางบอกตามตรงว่านางก็กลัว…
อวี้จิ่นกุมมือเจียงซื่อไว้แล้วกล่าวกับเจียงจั้นว่า “บัดนี้เร็วเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องนั้น รอให้กลับไปถึงเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน อย่างน้อยเรายังไม่รู้ว่าผู้ใดที่วางแผนจัดการกับเจ้า ดังนั้นข้าไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าจะเดินทางออกรบอีกครั้ง”
คุณชายรองเจียงนี่ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน เหตุใดจึงชอบผลักดันปัญหาเช่นนี้มาให้อาซื่อนัก หากในอนาคตเกิดเรื่องใดขึ้นมาอีก อาซื่อจะทำอย่างไรเล่า
จะว่าไปแล้วก็เพราะเจียงจั้นไม่มีภรรยาสักที เขาควรจะรีบแต่งภรรยาแล้วนำปัญหาเหล่านี้ไปปรึกษากับภรรยาของเขาเองสิ
เจียงจั้นยิ้มขึ้นอย่างเขินอาย “อืม รอให้ถึงเมืองหลวงค่อยว่ากัน”
ได้ยินมาว่าผู้คนในเมืองหลวงล้วนคิดว่าเขาตายไปแล้ว หากยังไม่รีบกลับไปอีกละก็คาดว่าคงจะได้ตั้งป้ายหลุมศพอย่างแน่นอน
“พักผ่อนกันสักคืนเถิด วันรุ่งขึ้นค่อยเดินทาง” อวี้จิ่นกล่าวจบก็เดินจูงมือเจียงซื่อจากไป
หลงต้านมองไปที่ท้องฟ้าแล้วกระซิบว่า “จะพักผ่อนตอนนี้เลยหรือ ไม่เร็วไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นหันมามองหลงต้านอย่างเย็นชา
หลงต้านขนหัวลุกแล้วรีบยิ้มขึ้นว่า “โอ้ ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว คุณชายรอง จะพักผ่อนแล้วหรือไม่”
เจียงจั้นทำท่าทางงุนงง
พักผ่อนงั้น? เขาไม่เหนื่อย อีกทั้งมีเรื่องราวมากมายอยากจะสนทนากับน้องสาว
เมื่อเจียงจั้นได้สติกลับคืนมาก็พบว่าเจียงซื่อถูกอวี้จิ่นเดินจูงออกไปเสียแล้ว
หลังจากปิดประตูห้องลง อวี้จิ่นก็ดึงเจียงซื่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขามองเห็นใบหน้าอันไม่คุ้นเคยนั้นจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วแนะนำขึ้นว่า “อาซื่อ เจ้า ทำให้ใบหน้ากลับมาเป็นดังเดิมดีหรือไม่”
“อืม” เจียงซื่อหยิบขี้ผึ้งชนิดพิเศษออกมาเล็กน้อย จากนั้นนำกระจกที่พกติดตัวเอาไว้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาเพื่อทำการลบเครื่องแปลงโฉมออก
แม้ว่าผู้อาวุโสฮวาจะแนะนำให้นางเดินทางออกไปจากเขตหนานเจียงนี้ก่อนแล้วค่อยล้างหน้า แต่นางไม่ตั้งใจจะทำเช่นนั้น
ผู้อาวุโสฮวาและอาฮวาเป็นหนึ่งในรายชื่อที่องครักษ์จิ่นหลินต้องการจับตัว บัดนี้การปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนด้วยใบหน้าอันแท้จริงของนางดูไม่เหมาะสม แต่จะให้ใช้ใบหน้าของอาฮวาในการใกล้ชิดกับอวี้จิ่นก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน
ทางที่ดีที่สุดก็คือกลายเป็นคนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
อวี้จิ่นจ้องไปยังหน้าตาเดิมของเจียงซื่อ แต่ในไม่ช้ามือคู่นั้นอันขาวผ่องของนางก็ป้ายบางอย่างลงไปบนใบหน้าอีกครั้ง กลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง
คิ้วหนาตาคม แต่ก็นับว่าไม่ขัดหูขัดตา นางกลายเป็นเช่นเด็กหนุ่ม…เด็กหนุ่ม?
อวี้จิ่นตกตะลึง “อาซื่อ เหตุใดเจ้าจึงทำให้ตนเองเป็นเช่นนั้น”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “เหมือนหรือไม่”
สำหรับวิชาการแปลงโฉมนั้นนางไม่ได้ทำชำนาญเท่าไรนัก หากจะปลอมแปลงหน้าตาให้เหมือนอีกคนหนึ่งอย่างไร้ที่ติเช่นผู้อาวุโสฮวาทำให้นาง คาดว่านางคงทำไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงลักษณะใบหน้าให้กลายเป็นคนอีกคนหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนไม่ใช่เรื่องยากนัก
รูปร่างหน้าตาของนางในตอนนี้ หากว่านำชุดของบุรุษมาสวมใส่ ไม่ว่าจะถูกผู้ใดพบเห็นเข้าล้วนไม่ต้องกังวล
เมื่อล้างหน้าออก ผู้ใดเล่าจะตามหาคนที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้พบ
“เหมือนเด็กหนุ่มมากใช่หรือไม่ เจ้างุนงงงั้นหรือ” เจียงซื่อพบว่าอวี้จิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นางจึงได้หัวเราะแล้วผลักเขา
“เหมือนยิ่งนัก…” อวี้จิ่นตอบรับด้วยความคิดอันซับซ้อน ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าอาซื่อในรูปลักษณ์ของสตรีแปลกหน้าเขายังพอที่จะฝืนใจจุมพิตนางได้ แต่บัดนี้…
อวี้จิ่นได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาทำได้เพียงปัดเป่าความคิดที่จะใกล้ชิดกับเจียงซื่อทิ้งไป หันมาสนทนาเรื่องจริงจังว่า “เรื่องที่พี่ชายเจ้าถูกคนวางแผนจัดการนั้น หลังจากที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็พอได้เบาะแสบางอย่าง”
สีหน้าของเจียงซื่อดูจริงจัง “มีเบาะแสงั้นหรือ”
อวี้จิ่นพยักหน้า “หนึ่งในผู้ที่คอยปกป้องเจียงจั้นอย่างลับๆ มีคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้ ข้าได้ยินจากคำพูดของเขาว่าคนที่ยิงธนูออกมานั้นเป็นนายทหารที่ชื่อหวงฉี เป็นทหารธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นคนเหอตง มองจากภายนอกแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ก็คงจะต้องรอให้กลับไปเมืองหลวงคอยสืบอย่างละเอียดอีกหน”
“หากมีเบาะแสก็ดีแล้ว” อย่างน้อยจากเงื่อนงำก็ควรสืบเรื่องบางอย่างได้
“อืม ข้ากำลังสงสัยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนจัดการเจียงจั้นนี้ แท้จริงมุ่งเป้ามาที่เรา ดังนั้นเราอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเจียงจั้น ป้องกันไม่ให้เขากลับไปเมืองหลวงแล้วแหวกหญ้าให้งูตื่น”
เจียงซื่อพยักหน้าแล้วเล่าถึงข้อตกลงกับหัวหน้าผู้อาวุโสอูเหมียวให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เรื่องของตั่วหมัวมัว ข้าไม่ได้เอ่ยกับหัวหน้าผู้อาวุโสฟังก็เพราะเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นกัน การที่ผู้อาวุโสฮวาและตั่วหมัวมัวเดินทางมาที่เมืองหลวงนั้นเกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคำทำนายอีกสองอย่าง ซึ่งหัวหน้าผู้อาวุโสไม่ยอมบอกข้า”