ตอนที่ 17 ไร้ความทะเยอทะยาน
เช้าตรู่ของฤดูใบไม้ร่วง
สายหมอกโอบล้อมขุนเขา
ประตูของจวนโหวเปิดกว้าง ขบวนคนนับหลายพันนายออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
องครักษ์จากตำหนักบูรพาสามพันนายเพิ่มจำนวนเป็นสี่พันนายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ตอนที่เยียนอวิ๋นเฟยออกเรือน นางได้นำองครักษ์ห้าร้อยนายพร้อมกับครอบครัวของพวกเขาไปด้วย
ที่เหลือสามพันห้าร้อยนาย เหลือหนึ่งพันห้าร้อยนายไว้เพื่อปกป้องเยียนอวิ๋นถง
ส่วนที่เหลืออีกสองพันนายถูกเซียวฮูหยินนำไปเมืองหลวงด้วย
การเดินทางครั้งนี้เหมือนเป็นการย้ายถิ่นฐาน
ไม่เพียงแต่องครักษ์สองพันนายเท่านั้นที่เดินทางไปเมืองหลวง แต่ยังรวมถึงคนในครอบครัวของพวกเขาด้วย
เฉินฮูหยินกระซิบที่ข้างหูของเยียนโส่วจ้าน “ท่าทางของฮูหยิน นางคิดจะไปแล้วไม่กลับมาอีกหรือ”
เยียนโส่วจ้านเงียบ
เขารู้ดีว่าองครักษ์สองพันนายนี้นำไปให้อวิ๋นฉีและอวิ๋นเกอสองพี่น้อง
เมื่อถึงเมืองหลวง หากสามารถหมั้นหมายให้สองพี่น้องได้ องครักษ์เหล่านี้ย่อมต้องอยู่ในเมืองหลวงต่อ ไม่ต้องเดินทางกลับ
เฉินฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “ฮูหยินเดินทางไปครานี้จะกลับมาอีกหรือไม่”
เยียนโส่วจ้านหรี่ตามองไปทางเฉินฮูหยิน
เฉินฮูหยินรีบปิดปากอย่างรู้งาน
เยียนอวิ๋นถงอาลัยอาวรณ์มารดากับน้องสาวทั้งสอง
เพียงแต่ในฐานะบุตรชายของตระกูลเยียน เขาไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไปเมืองหลวงด้วย
หากไปเมืองหลวง เขาถือเป็นผู้ใดกัน
ตัวประกันหรือ
รากฐานของตระกูลเยียนอยู่ที่รัฐโยวโจว อยู่ในค่ายทหาร
ดังนั้นประจำการในค่ายทหาร ถือครองอำนาจทางการทหารจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขา
“น้องรอง น้องสี่ต้องดูแลท่านแม่ให้ดี! ถ้ามีผู้ใดมารังแกท่านแม่ อย่าได้เกรงใจ แม้จะอยู่ในเมืองหลวง พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัว! มีองครักษ์สองพันนายอยู่ ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางไม่กลัว
ไม่ยอมก็ตี!
ตีจนอีกฝ่ายยอม!
เยียนอวิ๋นฉีกล่าว “พี่รองไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกข้า ท่านดูแลตัวเองให้ดี ทำหน้าที่อย่างตั้งใจ อย่าให้พวกข้าต้องกังวลแทนท่านอยู่ในเมืองหลวง”
“อย่ากังวล ข้าไม่เป็นอันใด” เยียนอวิ๋นถงตบหน้าอกให้สัญญา
ติงฉางซื่อส่งคนมาเร่งเร้า
การออกเดินทางในวันนี้มาจากการดูเวลาเลือกฤกษ์งามยามดี
หากยังร่ำลากันต่อไป คงจะเลยเวลาสำหรับออกเดินทาง
ฤกษ์งามยามดีไม่อาจล่าช้าได้ จะเป็นอัปมงคล
แม่ลูกสามคนขึ้นรถม้า พร้อมโบกมืออำลา
ขบวนรถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ห่างไกลจากจวนโหวออกไป
เยียนอวิ๋นฉีพูดอย่างเศร้าโศก “การจากไปครานี้ พวกเรายังมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ย่อมมีโอกาสกลับมา
เพียงแต่เรื่องในโลกยากเกินคาดเดา
ผู้ใดจะคาดคิดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฟ้าพลิกแผ่นดินผัน ทุกสิ่งล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง
…
กลางวันเดินทาง กลางคืนหาหมู่บ้านตามทางเพื่อพักผ่อน
ติงฉางซื่อรีบร้อนในการเดินทางกลับเมืองหลวง เขาเร่งความเร็วตลอดการเดินทาง
การเดินทางออกจากพระราชวังครั้งนี้สิ้นเปลืองเวลาไปมาก
เขาออกจากเมืองหลวงมาในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงยังคงเดินทางอยู่ด้านนอก
เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง เกรงว่าคงจะเป็นฤดูหนาวแล้ว
ติงฉางซื่อร้อนใจยิ่งนัก เขาแทบอยากจะติดปีกบินกลับไปที่เมืองหลวงทันที
เขามาหาเซียวฮูหยิน “ท่านหญิง หลายวันนี้พวกเราเดินทางช้าเกินไป ท่านสามารถรับสั่งให้ทุกคนเร่งความเร็วได้หรือไม่”
เขาเป็นคนรู้เวลา
เมื่ออยู่ในจวนโหว เขาเรียกนางว่าเซียวฮูหยิน
ทำตัวเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เนื่องจากทุกคนในจวนโหวต่างเรียกเช่นนี้
ราวกับทุกคนต่างลืมไปว่าเซียวฮูหยินมีศักดิ์เป็นท่านหญิง
เมื่อออกมาจากจวนโหว ติงฉางซื่อจึงเปลี่ยนคำเรียกจากเซียวฮูหยินเป็นท่านหญิงในทันที
แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างตัวของเซียวฮูหยินต่างก็เปลี่ยนคำเรียก
คำเรียกนั้นสำคัญมาก
ในจวนโหว เพื่อให้ทุกคนลืมความเป็นจริงที่นางมีชาติกำเนิดจากราชวงศ์ นับแต่แต่งงานเข้าตระกูลเยียน เซียวฮูหยินจึงสั่งให้บ่าวรับใช้เรียกนางว่าฮูหยิน ไม่อนุญาตให้เรียกว่าท่านหญิง
ยี่สิบปีต่อมา ตามที่คาดไว้ คนจำนวนมากในจวนโหวต่างลืมไปว่านางมีศักดิ์เป็นท่านหญิง
เมื่อออกจากจวนโหว การเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นท่านหญิงก็เป็นเพียงการฟื้นคืนฐานะเดิมของนางเท่านั้น
เซียวฮูหยินพูดเบาๆ “พวกเราเดินทางกันทุกวัน ความเร็วในเวลานี้ ทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากแล้ว หากเร่งความเร็วอีก เกรงว่ายังไม่ถึงเมืองหลวง ทุกคนคงเหนื่อยจนหมดแรงเสียก่อน ข้ารู้ว่าติงกงกงรีบกลับเมืองหลวง แต่การเดินทางถึงเมืองหลวงช้าเสียสิบวันคงไม่ได้ทำให้เรื่องสำคัญล่าช้ามากนัก เหตุใดติงกงกงจึงไม่ปล่อยใจให้สงบ ใช้ใจในการชื่นชมกับทิวทัศน์ระหว่างทาง เมื่อพวกเราเดินทางถึงเมืองหลวง คงหาวันเวลาที่สุขสบายเช่นนี้อีกไม่ได้แล้ว”
ติงฉางซื่อยิ้มขมขื่น “ข้าจากเมืองหลวงมากว่าครึ่งปีแล้ว จะไม่รีบร้อนได้อย่างไร ถึงเมืองหลวงเร็วขึ้นหนึ่งวัน ข้าย่อมรู้สึกสบายใจเร็วขึ้นหนึ่งวัน ท่านหญิงโปรดเห็นใจด้วยเถิด”
เซียวฮูหยินพูด “ข้าอยากจะเห็นใจท่าน แต่ผู้ใดจะเห็นใจข้า การเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้คาดเดาไม่ได้ นับแต่ออกจากจวนโหวมา ข้ารู้สึกวิตกกังวลอยู่ทุกวัน กลางคืนไม่อาจหลับลงได้ เพียงแค่หวังว่าจะเดินทางได้ช้าลงอีกเล็กน้อย เดินทางถึงเมืองหลวงช้าลงหนึ่งวัน ย่อมเผชิญหน้ากับความอันตรายในเมืองหลวงได้ช้าลงหนึ่งวัน”
“ข้าพูดเช่นนี้ ท่านอาจหัวเราะเยาะความขี้ขลาดของข้า แต่ข้าจากเมืองหลวงมากว่ายี่สิบปี จะไม่ให้ข้ากลัวได้อย่างไร ทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ทั้งพี่น้องของข้าล้วนตายจากไป เหลือเพียงข้าคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะเผชิญหน้ากับผู้ที่จากไปได้อย่างไร ข้ากลัวอย่างมาก กลัวเสด็จพ่อ เสด็จแม่กล่าวโทษข้าที่หลายปีนี้ไม่เคยกวาดหลุมฝังศพให้พวกเขา กลัวภายในพระราชวังคาดโทษ กลัวราชสำนักรังแก กลัวทุกคนวิจารณ์ ข้าขอร้องกงกง ให้ข้าสบายใจสักสองสามวันได้หรือไม่ อย่าเร่งรีบในการผลักข้าลงเหวลึกไปรวดเร็วนักเลย”
“ท่านหญิงพูดเกินไปแล้ว!” สีหน้าของติงฉางซื่อไม่สู้ดีนัก
เมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้แล้ว เขาจะพูดสิ่งใดได้อีก
หากเขายังขอให้เร่งการเดินทางอีกต่อไป ย่อมต้องกลายเป็นคนไร้มนุษยธรรม
หากถูกคนเสริมสร้างเติมแต่ง การกระทำของเขาคงจะกลายเป็นการบีบบังคับ
เรื่องนี้จะเล็กหรือใหญ่ก็ได้
เรื่องบางเรื่องสามารถไม่ทำ สามารถทำน้อย แต่ไม่อาจทำพลาดได้ ไม่อาจทิ้งความผิดไว้ให้คนอื่นจับได้
“ติงกงกงไม่ยอมตอบรับข้าหรือ” เซียวฮูหยินถอนหายใจเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
ติงฉางซื่อกัดฟัน “เอาเถิด เอาเถิด ข้าจะทำตามความปรารถนาของท่านหญิง หากภายในพระราชวังคาดโทษ ท่านหญิงโปรดช่วยเหลือข้าด้วย”
“แน่นอน!”
…
ความเร็วของขบวนรถชะลอลง ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบมากนัก ทุกคนต่างรู้สึกผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด
ในแต่ละวันทุกคนต่างเดินทางหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น หยุดรถเพื่อพักผ่อนหลังจากดวงอาทิตย์จะตก
เพียงแต่การเดินทางไม่ว่าจะช้าเพียงใด ย่อมมีวันไปถึงจุดหมายเสมอ
เมื่อเห็นเมืองหลวงนับวันยิ่งใกล้เข้ามา อารมณ์ของเซียวฮูหยินก็ผันผวนตามไปด้วย
วันนี้ หลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน ทุกคนก็พักผ่อนอยู่ในหมู่บ้านนอกเมือง
เซียวฮูหยินเรียกบุตรสาวทั้งสองมาหาเพื่อกำชับ
“เมื่อถึงเมืองหลวง พวกเจ้าต้องปฏิบัติตัวให้ดี อวิ๋นฉีข้าไม่กังวล เจ้าสุขุมเสมอ อวิ๋นเกอ เมืองหลวงไม่ใช่แคว้นซ่างกู่ มีผู้มีความสามารถมากมาย แม้แต่บุคคลไม่สำคัญก็อาจมีภูมิหลังที่ซับซ้อนซ่อนอยู่ เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่น ยิ่งอย่าได้ลงมือหากพบเจอคนที่ไม่เข้าตา การใช้กำลังถือเป็นเรื่องต้องห้ามในเมืองหลวง เมื่อเจ้าเคลื่อนไหว ย่อมมีคนจ้องหาเรื่องเจ้า ซึ่งอาจทำให้ท่านพ่อของเจ้า รวมทั้งตระกูลเยียนเดือดร้อนได้”
เยียนอวิ๋นฉีจับมือเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ พยักหน้าตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“ท่านแม่วางใจ ข้าจะดูแลน้องสี่ให้ดี ไม่ปล่อยให้นางกระทำการวู่วาม หากนางวู่วาม ข้าจะห้ามนางเอาไว้”
เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองพี่สองด้วยสายตาสงสัย
หากนางวู่วาม พี่สองจะห้ามได้หรือ
ด้วยแขนขาเล็กๆ ของพี่สองหรือ
ช่างเป็นเรื่องน่าขัน
เยียนอวิ๋นฉีถลึงตาใส่นาง อย่าทำให้ท่านแม่กังวล
อ่อ!
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางไม่มีทางทำให้ท่านแม่ต้องกังวลอย่างแน่นอน
แต่หากมีคนทำให้นางไม่พอใจ นางก็จะไม่เกรงใจเด็ดขาด
คนดีมักโดนรังแก
มนุษย์ไม่อาจทนรับความไม่เป็นธรรมได้
หากยิ่งอดทนต่อความไม่เป็นธรรม อีกฝ่ายจะยิ่งได้ใจมากขึ้น
มันเป็นประสบการณ์ที่เยียนอวิ๋นเกอสรุปได้จากหลายปีที่ผ่านมา
เซียวฮูหยินจับมือของเยียนอวิ๋นเกอเอาไว้ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาจอดทนต่อความไม่เป็นธรรมได้ แต่เมื่อถึงเมืองหลวง เจ้าต้องเตรียมพร้อมที่จะอดทนต่อความไม่เป็นธรรม ตระกูลเยียนเป็นใหญ่อยู่ในแคว้นซ่างกู่ รัฐโยวโจว แต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง แม้ท่านพ่อของเจ้าก็ต้องทำได้เพียงฝืนยิ้มยอมรับความไม่เป็นธรรม สถานการณ์บีบบังคับ การอดทนต่อความไม่เป็นธรรมชั่วขณะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผู้ที่ยืดหยุ่นได้จึงจะสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้”
เยียนอวิ๋นเกอแอบพึมพำในใจ นางไม่ได้ต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
นางเพียงต้องการหาดินแดนบริสุทธิ์ พาผู้ใต้บังคับบัญชา บุตรและสามีใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ นางเคยทำมาแล้วเมื่อชาติก่อน ชาตินี้นางไม่สนใจที่จะทำ
นางเหนื่อย!
นางไม่มีความทะเยอทะยาน จึงไม่เต็มใจที่จะแบกรับความอัปยศอดสู ยิ่งไม่อยากเป็น ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่สามารถยืดหยุ่นได้
หากไม่ยอมก็ตี!
นางเป็นหญิงใบ้ นางอยากจะดูว่าคุณชายตระกูลใด เชื้อสายราชวงศ์ใดกล้าที่จะเผชิญหน้าปะทะกับนางอย่างเปิดเผย ไม่กลัวเสียเกียรติหรือ
ผู้มีอำนาจในพื้นที่รังแกหญิงสาวผู้เป็นใบ้ที่มาจากต่างถิ่น ไม่อับอายหรือ
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด นางต้องใช้ข้อได้เปรียบของตนเองให้เป็นประโยชน์
ข้อได้เปรียบของนางคือสิ่งใด
ย่อมคือการที่นางพูดไม่ได้
ข้าพูดไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้
หากประสบปัญหาต้องทำอย่างไร
แน่นอน ไม่ยอมก็ปะทะ!
ปะทะเสีย!