ตอนที่ 52 พบหน้าแบ่งครึ่ง
ในวันที่ร้านน้ำแกงเครื่องในสาขาที่ยี่สิบสองเปิดกิจการ ในที่สุดเยียนอวิ๋นฉวนก็มาถึงเมืองหลวงพร้อมกับองครักษ์หลวงสามร้อยนาย
เซียวฮูหยินรู้กำหนดการเดินทางของเขาล่วงหน้าสองวัน จัดแจงหาคนไปรับเขาที่นอกเมืองตั้งแต่เนิ่นๆ
ก่วนเจียรับคำสั่ง นำเยียนอวิ๋นฉวนและคณะไปอาศัยอยู่ที่จวนอีกหลังหนึ่งในเมือง
เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนเดินเข้าไปในจวน เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ไม่ใช่จวนที่เซียวฮูหยินอาศัยอยู่
ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้มาก่อน
จวนที่มีคนอยู่ กับจวนที่ไม่มีคนอยู่สามารถแยกออกได้อย่างง่ายดาย
เยียนอวิ๋นฉวนมองก่วนเจียด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“เจ้ามีเจตาใดจึงให้ข้าพักเข้ามาในจวนแห่งนี้แยกกับฮูหยินและน้องสาวทั้งสอง”
ดูจากท่าทางของเขา หากอีกฝ่ายพูดสิ่งใดไม่เข้าหู เขาพร้อมที่จะชักดาบออกมาปะทะทันที
ก่วนเจียรู้สึกหวาดกลัวจึงรีบพูดขึ้น “นายน้อยระงับความโกรธ! ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของฮูหยิน นายน้อยพักผ่อนในจวนแห่งนี้หนึ่งคืนก่อน วันพรุ่งนี้ท่านยังต้องไปทักทายท่านหญิง”
เยียนอวิ๋นฉวนตะคอกอย่างเย็นชา “เหลวไหล! พวกข้าครอบครัวเดียวกันแต่ให้แยกกันอยู่ จวนท่านหญิงไม่อาจรองรับข้าได้อีกคนอย่างนั้นหรือ”
ก่วนเจียกล่าวเพียงว่า “ทุกอย่างเป็นคำสั่งของท่านหญิง หากนายน้อยมีข้อสงสัย ท่านถามท่านหญิงเองพรุ่งนี้จะดีกว่า ท่านหญิงย่อมต้องให้คำอธิบายแก่ท่านอย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นฉวนข่มความโกรธ “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเข้าพบฮูหยิน”
เขาส่งก่วนเจียออกไปด้วยรู้สึกโกรธมาก
หวังกุนซือเดินมาถามเสียงเบา “นายน้อยวางแผนจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ”
เยียนอวิ๋นฉวนเยาะเย้ย “จะทำอะไรได้อีก นางเป็นฮูหยินใหญ่ ข้าเป็นลูกของฮูหยินรอง พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปกราบนาง ข้าจะดูว่านางจะมีเหตุผลใดให้ข้าพักอยู่ในจวนแห่งนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม ฮึ การกระทำเช่นนี้ นางไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะหรือ”
หวังกุนซือขมวดคิ้ว “เขียนจดหมายไปให้ท่านโหวดีหรือไม่ขอรับ รายงานท่านโหวเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนี้”
เยียนอวิ๋นฉวนกล่าว “ข้าย่อมต้องเขียนหมายไปหาท่านพ่อ แต่ไม่ต้องรีบร้อนในเวลานี้ พวกเราเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังไม่รู้สถานการณ์มากนัก รอดูก่อน หลังจากที่เรารู้สถานการณ์แล้ว ค่อยส่งจดหมายไปให้ท่านพ่อก็ยังไม่สาย”
หวังกุนซือเป็นกังวล “ฮูหยินจัดแจงให้นายน้อยพักอยู่ในจวนนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้นายน้อยได้รู้จักกับผู้คน แต่หากไม่มีฮูหยินเป็นผู้ติดต่อให้ นายน้อยจะตั้งหลักมั่นคงในเมืองหลวงได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นฉู่ฉวนทำหน้าจริงจัง อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก “ข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งนาง ชื่อเสียงของตระกูลเยียนยังคงมีประโยชน์ในเมืองหลวงอยู่บ้าง อีกทั้งก่อนเดินทางมา ท่านพ่อยังให้รายชื่อแก่ข้า พวกเราค่อยไปเยือนตามรายชื่อทีละคนในวันหลัง”
หวังกุนซือถอนหายใจ “ข้าเห็นรายชื่อที่ท่านโหวให้มาแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแม่ทัพ หากนายน้อยต้องการเข้าสู่วงสังคมชนชั้นสูงในเมืองหลวง ยังคงต้องพึ่งพาฮูหยินในการติดต่อกับราชวงศ์ เพียงแค่ฮูหยินยอมช่วยเหลือเล็กน้อย จากความสามารถของนายน้อย ย่อมสามารถเปิดทางได้อย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะเยาะตัวเอง “เหตุใดจึงพูดเรื่องเหล่านี้ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินไม่ยอมให้โอกาสข้า จะทำอย่างไรได้ นางมีความขัดแย้งกับท่านพ่อ ข้าในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลเยียน จึงทำได้เพียงรองรับความโกรธนี้เอาไว้”
“บางทีเราอาจเริ่มจากคุณหนูรอง หรือคุณหนูสี่ได้ คุณหนูทั้งสองอยู่ในเมืองหลวงครึ่งปีแล้ว เชื่อว่าพวกนางได้รู้จักผู้คนบ้างแล้ว”
เยียนอวิ๋นฉวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “อวิ๋นเกอคุยด้วยยาก อีทั้งมีกลอุบายมาก เกรงว่าคงไม่มีสีหน้าดีให้ข้า เมื่อเทียบกับอวิ๋นเกอแล้ว อวิ๋นฉีพูดเจรจาได้ง่ายกว่า รับสั่งลงไป ของขวัญสำหรับคุณหนูทั้งสองเพิ่มมากขึ้นร้อยละสามสิบ”
“นายน้อยกับคุณหนูทั้งสองเป็นพี่น้องกัน สมควรจะรักใคร่ปรองดองกัน คุณหนูรองถูกหมั้นหมายให้องค์ชายสอง หากนายน้อยได้รับความช่วยเหลือจากคุณหนูรอง มันคงจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดทางในเมืองหลวง”
เยียนอวิ๋นฉวนพยักหน้า พรุ่งนี้พบอวิ๋นฉี ต้องคุยกับนางเสียหน่อยแล้ว
พวกเขาล้วนเป็นบุตรของตระกูลเยียน ควรดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ หลังจากเยียนอวิ๋นฉีแต่งงานกับราชวงศ์แล้ว นางยังยังพึ่งการสนับสนุนจากตระกูลอีกด้วย
เขาก็คือคนในตระกูลของเยียนอวิ๋นฉี
…
เช้าตรู่ เยียนอวิ๋นฉวนแต่งกายเสร็จสิ้น นำของขวัญหนึ่งคันรถมุ่งหน้าไปยังจวนท่านหญิง
จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขาถึงได้รู้ว่าจวนที่เขาพักอาศัยอยู่ห่างจากจวนท่านหญิงราวเจ็ดแปดตรอกถนน
คนร่ำรวยและมีอำนาจในเมืองหลวงมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ตรอกผิงอัน
ที่ตั้งของจวนท่านหญิงเป็นพื้นที่ทำเลทองอย่างแท้จริง
เมื่อรู้สถานการณ์นี้ เยียนอวิ๋นฉวนหดหู่จนอยากจะอาเจียนเป็นเลือด
เซียวฮูหยินจัดแจงให้เขาอยู่ในจวนอีกหลัง จากตำแหน่งที่ตั้งนั้น ก็เป็นการแยกเขาออกจากวงสังคมชนชั้นสูงในเมืองหลวงแล้ว
เขาอยากจะสร้างความบังเอิญยังไม่มีโอกาส
“จิตใจอำมหิตนัก!”
เยียนอวิ๋นฉวนกัดฟันด้วยความโกรธแค้นภายในใจ
แต่เขาเป็นคนมีกลอุบายที่ล้ำลึก
ไม่ว่าภายในใจจะโกรธอย่างไร ก่อนลงจากรถม้านั้น เขาก็เก็บอารมณ์ทุกอย่างและเผยรอยยิ้มไร้ที่ติออกมา
เขายืนอยู่ด้านหน้าประตูจวนท่านหญิง เงยหน้ามองแผ่นป้าย ก่อนจะมองสิงโตหินสองตัวด้านหน้าประตู ภายในใจหัวเราะเสียงเย็น
เขากลายเป็นแขก ไม่ใช่คนในครอบครัวเสียแล้ว
เซียวฮูหยินแบ่งแยกพวกเขาออกจากกันอย่างชัดเจนเสียจริง ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
ถึงแม้มีคนบอกว่านางใจแคบ แต่นางคงไม่สนใจ
ใช่!
นางจะสนใจได้อย่างไร
ออกจากแคว้นซ่างกู่ เมืองหลวงก็เป็นพื้นที่ของนาง
นางไม่มีทางทำให้ตนเองต้องลำบาก
นางจะทำตามใจของตนเอง
เขาเป็นเพียงบุตรจากฮูหยินรอง จะอยู่ในสายตานางได้อย่างไร
“นายน้อยใหญ่ อย่าให้ท่านหญิงรอนาน” บ่าวรับใช้เตือนเยียนอวิ๋นฉวน อย่ามัวแต่ยืนอึ้งอยู่ รีบเข้าไปเถิด
เยียนอวิ๋นฉวนเก็บความคิดเรื่อยเปื่อย รับสั่งบ่าวรับใช้ “เดินนำทาง”
เข้าจะประตูด้านข้าง
สมกับเป็นจวนท่านหญิง เพียงแค่เรือนด้านนอกก็ทำให้เยียนอวิ๋นฉวนสัมผัสได้ถึงความประณีตและความหรูราของการตกแต่ง
“ได้ยินว่าจวนหลังนี้ ฮ่องเต้จงจ้งพระราชทานให้ฮูหยินก่อนสวรรคต” เยียนอวิ๋นฉวนถาม
บ่าวรับใช้ตอบรับ
จวนหลังนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้จงจ้งพระราชทานให้ฮูหยินก่อนสวรรคตจริง
ถึงแม้ในนามจะเป็นจวนท่านหญิง แต่สัดส่วนภายในนั้นไม่แตกต่างจากจวนองค์หญิงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดีกว่าด้วยซ้ำ
คนเมืองหลวงต่างรู้ จวนหลังนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้จงจ้งพระราชทานให้เป็นการชดเชยเพราะความรู้สึกผิดต่อเซียวฮูหยิน
ยี่สิบกว่าปีก่อน นางต้องสูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่น้องในค่ำคืนเดียว บนแผ่นดินนี้เหลือนางเพียงลำพัง
ต่อมาสืบทราบว่าคดีกบฏของ “องค์รัชทายาทจางอี้” ถูกคนใส่ร้าย
ฮ่องเต้จงจ้งจึงรู้สึกผิด!
หากไม่ใช่เพราะราชโองการของเขา ตำหนักบูรพาย่อมไม่ต้องตายอย่างอนาถเช่นนี้
พระองค์พระราชทานจวนเพียงหลังเดียวชดเชยให้แก่เซียวฮูหยินไม่ใช่เรื่องใหญ่
แม้แต่องครักษ์สามพันนายของตำหนักบูรพา ฮ่องเต้จงจ้งก็เป็นผู้ออกพระราชโองการเหลือไว้ให้เซียวฮูหยินป้องกันตัว
เขากังวลว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้วจะมีคนเอาชีวิตของเซียวฮูหยิน
องครักษ์สามพันนายของตำหนักบูรพาจึงเป็นประกันชีวิตของเซียวฮูหยิน
เมื่อฮ่องเต้จงจ้งสวรรคต
ฮ่องเต้องค์ก่อนหรือฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงขึ้นครองราชย์ เขาก็ไม่อาจแย่งชิงองครักษ์สามพันนายของตำหนักบูรพาไปจากมือของเซียวฮูหยินได้
ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงจึงทำได้เพียงอดทน จากนั้นจึงพระราชทานสมรสให้เซียวฮูหยิน ส่งนางไปยังพื้นที่ห่างไกล
การไปคราวนี้เป็นเวลายี่สิบปี
วันนี้ของยี่สิบปีต่อมา เซียวฮูหยินกลับมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงก็สวรรคตไปสิบกว่าปีแล้ว
แต่จวนยังอยู่ องครักษ์ก็ยังอยู่
…
เยียนอวิ๋นฉวนถูกบ่าวรับใช้พามาถึงห้องโถงรับรองแขก
เซียวฮูหยินนั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง
เยียนอวิ๋นเกอและเยียนอวิ๋นฉีแยกกันนั่งสองฝั่ง
เยียนอวิ๋นฉวนเดินขึ้นหน้าหลายก้าว โน้มตัวคำนับ “ข้าทักทายฮูหยิน ขอให้ฮูหยินสุขภาพแข็งแรง”
“เดินทางเหน็ดเหนื่อยแล้ว นั่งลงเถิด!” เซียวฮูหยินสีหน้าราบเรียบ
“ขอบพระคุณฮูหยิน!” กิริยาท่าทางของเยียนอวิ๋นฉวนทำให้คนประทับใจได้อย่างมาก
เวลานี้ เยียนอวิ๋นเกอลุกขึ้นพร้อมกับเยียนอวิ๋นฉี คำนับเยียนอวิ๋นฉวน
“ทักทายพี่ใหญ่! พี่ใหญ่เดินทางไกล เหน็ดเหนื่อยแล้ว!”
“น้องหญิงทั้งสองไม่ต้องมากพิธี นับแต่พวกเจ้าจากบ้านมา ภายในจวนต่างคิดถึงน้องหญิงเป็นอย่างมาก”
พี่น้องทั้งสามต่างคำนับกัน
หลังจากนั้น เยียนอวิ๋นฉวนหยิบรายการของขวัญออกมา ทั้งหมดสามชุด
“นี่เป็นขอขวัญที่ท่านพ่อเตรียมให้ฮูหยิน ท่านพ่อระลึกถึงฮูหยินเสมอ ท่านแทบอยากจะเดินทางมาเมืองหลวงด้วยตนเอง ส่วนสองชุดนี้ เป็นของขวัญที่พี่ชายคนนี้เตรียมให้น้องหญิงทั้งสอง”
แม่ลูกทั้งสามรับรายการของขวัญเอาไว้
เยียนอวิ๋นเกอเปิดรายการดู มากมายยิ่งนัก
เยียนอวิ๋นฉวนใจกว้างเสียจริง
นางยิ้มหวานให้เยียนอวิ๋นฉวน เห็นแก่ของขวัญ นางต้องให้เกียรติเขาหน่อย
ส่วนเยียนอวิ๋นฉีพูดขึ้น “ขอบพระคุณพี่ใหญ่ น้องจะรับของขวัญนี้เอาไว้โดยไม่เกรงใจท่าน”
“ครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เยียนอวิ๋นฉวนเผยยิ้ม
เขากำลังสังเกตปฏิกิริยาของเซียวฮูหยิน
เซียวฮูหยินพลิกดูรายการของขวัญด้วยสีหน้าราบเรียบไม่ใส่ใจนัก
มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย แอบยิ้มเย็นภายในใจ
เยียนโส่วจ้านพยายามอย่างมากเพื่อเยียนอวิ๋นฉวนเสียจริง
กลัวว่านางจะไม่ให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวน ของขวัญที่ส่งมาล้วนเป็นเครื่องประดับที่มีมูลค่าราคาแพง
เซียวฮูหยินถามเยียนอวิ๋นฉวน “บิดาเจ้ามีจดหมายให้เจ้านำมาด้วยหรือไม่”
“มีจดหมายฉบับหนึ่ง ท่านพ่อกำชับลูกต้องส่งถึงมือของฮูหยินให้ได้”
เยียนอวิ๋นฉวนหยิบจดหมายออกมา สองมือถวายด้วยท่าทางเคารพอย่างมาก
บ่าวรับใช้รับจดหมายมา วางไว้ข้างมือของเซียวฮูหยิน
เซียวฮูหยินฉีกซองจดหมาย หยิบกระดาษจดหมายออกมา คลี่ออกอ่านอย่างละเอียด
มันเป็นจดหมายของเยียนโส่วจ้านจริง
ใบหน้าของนางราบเรียบ แต่ภายในใจกลับหัวเราะเย้ยหยัน
เยียนโส่วจ้านต้องไม่วางใจเพียงใดกัน หรือควรบอกว่าเยียนโส่วจ้านให้ความสำคัญกับเยียนอวิ๋นฉวนเพียงใดกัน
ไม่เพียงมอบของขวัญล้ำค่า แต่ยังเขียนจดหมายกำชับเซียวฮูหยิน บอกนางให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวน
เพียงแค่นางยอมให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวน เยียนโส่วจ้านเขียนในจดหมายว่ายอมเป็นหนี้บุณคุณนาง
ในเวลาเดียวกัน เขายังให้คำมั่นสัญญา จะให้โอกาสเยียนอวิ๋นถงฝึกฝนมากขึ้น
ความหมายโดยนัยคือ หากเซียวฮูหยินไม่ยอมให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวน เขาก็ไม่ให้โอกาสเยียนอวิ๋นถงได้ฝึกฝน
เซียวฮูหยินแอบด่าในใจ “ชายเฒ่าไร้ยางอาย!”
บังอาจข่มขู่นาง
นางเก็บจดหมาย มองพินิจเยียนอวิ๋นฉวน “เหน็ดเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่!”
เยียนอวิ๋นฉวนโน้มตัวเล็กน้อย “ขอบพระคุณฮูหยินเป็นห่วง ข้าอายุยังน้อย ร่างกายแข็งแรง ไม่ลำบากนัก”
เซียวฮูหยินพูด “ข้ามีรับสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหาร กลางวันอยู่ร่วมทานด้วยกันก่อน เจ้าเพิ่งเดินทางมา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ต่อไปย่อมมีโอกาส”
เยียนอวิ๋นฉวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณฮูหยินที่ชี้แนะ”
เขาไม่พูดถึงเรื่องจวนอีกหลังแม้แต่น้อย
เซียวฮูหยินเลิกคิ้วยิ้มขึ้นมา “เจ้าพักอยู่ในจวนหลังนั้นก่อน อย่าได้คิดมาก”
“ข้าไม่กล้าคิดมา! ข้าเชื่อว่าฮูหยินให้ข้าพักในจวนหลังนั้น ย่อมมีเจตนาของตนเอง”
เยียนอวิ๋นฉวนอดทนเสียจริง
เขาคิดได้แล้ว เรื่องมาถึงเวลานี้ หากซักถามโต้เถียง มีแต่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้คนดูถูก
นิ่งสงบดีกว่าเคลื่อนไหว เขาไม่เชื่อว่าจะหาโอกาสไม่ได้
เซียวฮูหยินหยินรู้มาตลอดว่าเยียนอวิ๋นฉวนเป็นคนที่มีกลอุบาย นางไม่แปลกใจที่เขามีปฏิกิริยาแบบนี้
นางพูด “เจ้าไม่ได้คิดมากย่อมดี เดือนหน้าอวิ๋นฉีออกเรือน เจ้าในฐานบุตรชายคนโต เมื่อถึงเวลาย่อมต้องให้เจ้าเป็นผู้จัดการ”
มันคือโอกาสที่เซียวฮูหยินให้เขา สามารถคว้าเอาไว้ได้หรือไม่ ย่อมต้องดูที่ความสามารถของเขา
นางสามารถเพิกเฉยต่อเยียนอวิ๋นฉวน แต่ไม่สามารถไม่ให้โอกาส
นางเป็นสามีภรรยากับเยียนโส่วจ้าน ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ยังต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป ถือว่าให้เกียรติเยียนโส่วจ้านสักครั้ง
นางให้โอกาสเยียนอวิ๋นฉวน ในทำนองเดียวกัน นางย่อมได้รับผลประโยชน์มากยิ่งขึ้นจากเยียนโส่วจ้าน เยียนอวิ๋นถงได้รับโอกาสในการฝึกฝนมากยิ่งขึ้น
“ฮูหยินวางใจ ข้าจะพยายามจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ให้น้องสองออกเรือนอย่างสง่างาม”
เยียนอวิ๋นฉวนรู้สึกโชคดีและดีใจ
เขารู้ว่าเขาจะได้รับโอกาสในการแสดงความสามารถไม่ช้าก็เร็ว
อวิ๋นฉีออกเรือนเป็นโอกาสของเขา
เซียวฮูหยินไม่พูดมาก “อวิ๋นเกอ อวิ๋นฉี รับรองนายน้อยใหญ่ให้ดี ข้าเหนื่อยแล้ว กลับห้องพักผ่อนก่อน”
“น้อมส่งท่านแม่”
พี่น้องทั้งสามลุกขึ้นส่งเซียวฮูหยิน
เมื่อนางจากไป บรรยากาศภายในห้องโถงรับแขกผ่อนคลายลงในทันที
เยียนอวิ๋นฉวนก็เป็นกันเองมากขึ้น
เขาตั้งใจประจบ แต่ก็แสดงออกอย่างไร้ร่องรอย เป็นคนที่มีความสามารถเสียจริง
เยียนอวิ๋นเกอพูดไม่ได้ อีกทั้งขี้เกียจเขียนหนังสือ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นเยียนอวิ๋นฉวนสนทนากับเยียนอวิ๋นฉี
เยียนอวิ๋นเกอสังเกตเยียนอวิ๋นฉวน สีหน้ามีนัย
ดูท่าทางราวกับมีแผนการบางอย่าง
ภายในใจของเยียนอวิ๋นฉวนกังวลเล็กน้อย สายตาของอวิ๋นเกอน่ากลัวเล็กน้อย
เขาเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง “น้องสี่ต้องการพูดสิ่งใดหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอตรงไปตรงมา นางจรดดินสอเขียน “ท่านมาเมืองหลวง ท่านพ่อให้เงินท่านมายน้อยเพียงใด”
เยียนอวิ๋นฉวนเลิกคิ้ว ยิ้มขมขื่น “น้องสี่ตรงไปตรงมาเหมือนเคย”
เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองเขาตรง ๆ ไม่เขียนหนังสือ แต่สายตาน่ากลัวอย่างมาก
เยียนอวิ๋นฉวนกระจ่างใจ อีกทั้งเด็ดขาดอย่างมาก ถามขึ้น “น้องสี่ขาดแคลนเงินหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมาทันที
สมกับเป็นเยียนอวิ๋นฉวนที่มีความละเอียดรอบคอบ เชี่ยวชาญในการสานสัมพันธ์
นางรู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่นางต้องการพูด
นางพยักหน้า ขาดแคลนเงิน ขาดแคลนเงินจำนวนมาก
เงินที่เยียนโส่วจ้านให้มา พบหน้ากันแบ่งครึ่งหนึ่ง