ฉับพลันต้นฮว๋ายที่เ**่ยวแห้งตายไปนานแล้วก็มีชีวิตขึ้นมา กิ่งก้านที่แห้งผาดผลิยอดใหม่
ลำต้นที่โค้งตกลงไปพลันเหยียดขึ้นตั้งตระหง่านอีกครั้ง เพียงครู่เดียวก็ผลิพุ่มแผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะของนาง
ดอกฮว๋ายฮวาสีขาวที่ผลิบานเป็นช่อชั้นอยู่เหนือพุ่มหนาค่อยๆปลิวลงมาทีละน้อย อากาศที่หนาวเย็นและแห้งผาดเพียงครู่เดียวก็อวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวา
ติ๊งต๊องและจู๋จู๋เงยหน้าขึ้นไปมองดู ต้นฮว๋ายที่งอกงามอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ สัตว์อสูรทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าช่างน่าแปลกประหลาดนัก
มือของตู๋กูซิงหลันยังคงสัมผัสอยู่บนลำต้นของต้นฮว๋าย ชั่วขณะที่ต้นฮว๋ายกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นางพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่าง
นางชื่นชอบต้นฮว๋ายมาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจารย์เคยบอกว่าต้นไม้ชนิดนี้สามารถดึงดูดจิตวิญญาณและภูติผีได้ง่าย จึงไม่อนุญาตให้นางปลูกเอาไว้ในที่พักของตนเอง
แต่ว่าในสวนของเขากลับมีต้นฮว๋ายอยู่เต็มไปหมด
พอวันนี้ได้มาพบมันที่ทะเลทรายโดยบังเอิญ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าช่างผูกพันและคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ต้นฮว๋ายเหยียดกิ่งก้านขยายพุ่มออกไป ตรงจุดที่มือของนางสัมผัสเกิดเป็นลำแสงสีดำทอประกาย
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ปลายนิ้วขยับน้อยๆ ก็พบว่าตั้งแต่ปลายนิ้วถึงข้อมือจมลงไปในแกนกลางของลำต้น
ปลายนิ้วของนางสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ เย็นฉ่ำซ่านเข้าไปจนถึงกระดูกแทบจะทำให้คนแข็งค้าง
ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งวางอยู่ในฝ่ามือของตน ตู๋กูซิงหลันดึงออกมาเบาๆ ก็พบว่านางดึงคฑาสีดำเข้มด้ามหนึ่งออกมาจากลำต้นที่ใหญ่โตของต้นฮว๋าย
มองดูเผินๆก็เหมือนว่าทำมาจากกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง แต่พอสัมผัสดูกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโลหะ รูปทรงของมันดูโบราณ บนคฑามีอักขระซับซ้อนมากมาย เป็นอักขระที่ตู๋กูซิงหลันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
“นี่มัน….” จู๋จู๋ที่เกาะอยู่บนบ่าของนางพลันเอ่ยปากออกมา “เหมือนจะเป็นอักขระยันต์ในยุคบรรพกาล”
“กะ กะ กะต๊าก เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือยังไง?” ติ๊งต๊องทำสีหน้าสงสัย เจ้าตัวที่มีหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด
เหมือนกับเจ้าอสูรน้อยวิญญาณทมิฬตนนั้น
แต่จะว่าไปแล้ว….ก็เหมือนว่าไม่ได้เจอเจ้าวิญญาณทมิฬนั่นมาพักใหญ่แล้วนะ หรือเพราะว่ามันปากเปราะเสียจนถูกพี่สาวตัวน้อยเตะทิ้งไปแล้ว?
หรือว่าถูกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่ากลืนลงไป?
ในสมองของติ๊ิงต๊องผุดภาพวิญญาณทมิฬที่ดับอนาถในแบบต่างๆขึ้นมามากมาย จากนั้นมันก็เขยิบเข้าไปใกล้ๆตู๋กูซิงหลันอีกนิด
ถึงแม้ว่าจะน่าเสียใจอยู่บ้าง แต่ว่าพอไม่มีเจ้าสัตว์อสูรปากคอเราะรายนั่น มันก็จะได้มีโอกาสยึดครองความรักเอ็นดูจากพี่สาวตัวน้อยเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว นี่ก็นับว่าไม่เลวเลยเหมือนกัน
“สายเลือดมังกรของพวกเรา สืบทอดกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคบรรพกาล ในบันทึกของบรรพชนได้จารึกอักขระโบราณบางอย่างเอาไว้ เจ้ามันก็แค่ไก่ตัวหนึ่ง จะไปรู้เรื่องอะไร?” จู๋จู๋ดูถูกมันอย่างไม่มีเกรงใจ
ติ๊งต๊อง “พวกเจ้ายังมีบันทึกของบรรพชนด้วยหรือ?”
จู๋จู๋ “ไม่มีแล้วทำไม?”
จู๋จู๋คร้านจะโต้เถียงกับติ๊งต๊องต่อไป มันขดร่างอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ฮ่องเต้หญิง ท่านต้องเชื่อข้านะ เผ่าพันธุ์มังกรของพวกเราย่อมไม่มีทางกล่าวเรื่องมุสา”
ซื่อสัตย์เป็นอันดับแรก!
ในมือของตู๋กูซิงหลันกุมคฑาทรงโบราณนั่นเอาไว้ ดวงตาของนางเป็นประกาย นางเองก็ถือเป็นหนอนหนังสือผู้หนึ่ง มีความเข้าใจในเรื่องยุคบรรพกาลอยู่บ้าง
ยุคบรรพกาลนั้น ยังอยู่ก่อนยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปอีกเนิ่นนาน
จากเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาในปัจจุบัน ดินแดนในตอนนั้นบริบูณณ์ไปด้วยจิตวิญญาณที่สมบูรณ์พร้อม จนทำให้บังเกิดเทพเจ้าในบรรพกาลขึ้น….
แต่ว่าในภายหลังนั้นจิตวิญญาณทั้งหลายกระจัดกระจาย จนทำให้แม้แต่เทพบรรพกาลก็ยังต้องดับสูญไป
ทุกวันนี้ เกรงว่าเทพต่างๆที่อยู่มาแต่ยุคบรรพกาลคงมิได้หลงเหลืออยู่สักตนเดียวแล้ว
ต้นฮว๋ายต้นนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่มาแต่ยุคบรรพกาลอย่างนั้นนะหรือ?
ตู๋กูซิงหลันไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมตนเองถึงได้พบเจอและดึงเอาคฑาที่มีอักขระบรรพกาลออกมาจากต้นฮว๋ายใหญ่ท่ามกลางทะเลทรายได้
ไม้คฑาเมื่ออยู่ในมือของนาง ก็ทำให้นางบังเกิดความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ราวกับว่าเมื่อนานมาแล้ว นางก็เคยเป็นเจ้าของคฑานี่มาก่อน
ชั่วขณะนั้นเอง ในสมองของนางพลันบังเกิดภาพบางอย่างขึ้นมา เป็นภาพที่เลือนลาง…..
ขมับของนางเต้นดังตุ๊บๆ ชั่วขณะนั้นในสมองเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
มือของตู๋กูซิงหลันกุมไม้คฑาเอาไว้ เอนศีรษะลงไปพิงกับลำต้นของต้นฮว๋าย นางรู้สึกเหมือนกับว่าต้นฮว๋ายเองก็มีชีพจรอย่างไรอย่างนั้น
ติ๊งต๊องเองก็อยู่ที่ข้างกายนางนั่งกกเสมือนเป็นแม่ไก่ตัวหนึ่ง
ดวงตาไก่กุ๊กของมันมองออกไปรอบด้าน ด้วยความรู้สึกว่าที่นี่มีอันตรายอยู่เสมอ สายลมพัดหวิวหวิว ละอองทรายปลิวขึ้นไปบนฟ้าไม่มีหยุด และเพราะท้องฟ้าอึมครึมอยู่เสมอ ทำให้รอบด้านเหมือนจะมีตัวประหลาดผุดออกมาได้ทุกเมื่อ จนมันต้องจับตาดูด้วยแววตาเหน็บหนาวอยู่ตลอดเวลา
ขอเพียงพี่สาวตัวน้อยพลั้งเผลอเพียงเล็กน้อย เจ้าพวกนั้นก็พร้อมที่จะกระโจนออกมาเขมือบนางกลืนลงไปได้ทุกเมื่อ
ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ กลีบสีขาวของดอกฮว๋ายฮวาที่ผลิบานอยู่เหนือศีรษะปลิวลงมา นางคิดจะพักผ่อนสักครู่ค่อยเสาะหาเพิงพักในทะเลทรายของธารน้ำพุเหลืองต่อไป
ร่างกายอ่อนล้ามากแล้ว ศีรษะก็ปวดตุ๊บๆ หนังตาหนักลงเรื่อยๆ สองมือของนางแตกระแหงเพราะขุดสุสานจนเลือดไหลซิบๆมานานแล้ว
ยามนี้เมื่อได้พิงเข้ากับต้นฮว๋าย ก็เกิดความรู้สึกถึงความปลอดภัยที่แสนจะคุ้นเคย จนอดที่จะปิดตาลงไม่ได้
พอพึ่งจะปิดตาลง ศิลาโลหิตที่ซื่อมั่วมอบให้นางก็เรืองแสงขึ้นมา
แสงนั้นแผ่พุ่งออกมาจากในอกเสื้อของนาง สาดส่องลงไปบนต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านหลังนาง ชั่วพริบตา ต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านหลังก็พลันเรืองแสงขึ้นมาเช่นกัน
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆ ร่างถูกดูดกลืนเข้าไปในลำแสงนั้น
……………………….
ร่างกายกำลังตกลงไป ตกลงไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย รอบกายมีแต่ความดำมืด ราวกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุด
รอบด้านมีแต่ความหนาวเย็น ทั่วทั้งตัวเหมือนถูกห่อหุ้มอยู่ในแท่งน้ำแข็ง ความรู้สึกนี้ เหมือนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้จากร่างของอาจารย์และจีเฉวียน
คนทั้งสองมักมีร่างกายที่หนาวเย็นอยู่เสมอ แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาก็เย็นเฉียบ
ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตกลงไปเรื่อยๆนั้นเกิดขึ้นไม่รู้ว่านานถึงเมื่อไหร่ แต่ว่ามันเนิ่นนานมากจนตู๋กูซิงหลันชักจะคิดว่าตนเองคงจะชาจนหมดความรู้สึกไปแล้ว
รอจนนางได้สติขึ้นมา ก็เห็นว่าที่ด้านนอกมีแสงสว่างส่องประกาย
อยู่ในความมืดมิดมาเนิ่นนาน พออยู่ๆได้เห็นแสงสว่าง ก็รู้สึกเหมือนไม่คุ้นเคยขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง ยกมือขึ้นบังแสงเอาไว้ สายตาของนางก็ออกจะพร่าเลือนอยู่บ้าง พอลุกขึ้นมานั่งได้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากภายนอก
“ฝ่าบาท พระองค์ได้พระสติแล้ว” น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคย
ตู๋กูซิงหลันมองลอดระหว่างนิ้วก็เห็นคนผู้หนึ่ง “ต้าชิง?”
หลี่กงกงยินดีจนตกตะลึงพรึงเพริด น้ำตาไหลออกมาในทันที “ฝ่าบาท พระองค์ยังทรงจดจำชื่อของบ่าวได้ ….บ่าวรู้สึก….”
เขาทางหนึ่งเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งก็รีบสั่งให้เหล่านางกำนัลเร่งเข้ามาถวายการปรนนิบัติตู๋กูซิงหลันล้างหน้าเปลี่ยนชุด
สมองของตู๋กูซิงหลันยังคงเจ็บร้าว นางนวดขมับอยู่ตลอด หลังล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้ว สายตาค่อยพอจะสู้แสงสว่างได้อีกครั้ง
นางจึงค่อยกวาดตามองออกไปรอบๆอย่างละเอียด
ที่นี่คือพระตำหนักตี้หัวกง ตำหนักบรรทมของจีเฉวียน
เครื่องเรือนทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง….เพียงแต่ปราศจากเขาอีกต่อไป
นางถูกดึงดูดเข้าไปในแสงสว่างของต้นฮว๋าย หลังจากนั้นก็กลับมาที่แผ่นดินต้าโจวในโลกโบราณ
ก่อนหน้านี้อาจารย์ก็เคยบอกเอาไว้ว่า ที่ธารน้ำพุเหลืองมีช่องทางข้ามผ่านมิติ….บางทีต้นฮว๋ายต้นนั้นอาจจะเป็นพาหนะนำทาง…..แต่ว่าไม่รู้ทำไม ถึงได้ถูกนางเปิดขึ้นโดยบังเอิญ
“ฝ่าบาทสิ้นพระสติไปนานถึงห้าวันแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่นำพระองค์กลับมาจากเกาะร้างแห่งหนึ่ง ขอบคุณฟ้าดินคุ้มครอง ฝ่าบาท พระองค์ทรงปลอดภัยแล้ว”
………………………………..